อย่างที่เราทราบกันดีกว่า การคุมกำเนิดนั้น มีด้วยกันหลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคน แต่ละครอบครัวนั้น จะสะดวกใช้วิธีไหนในการช่วยในเรื่องของการคุมกำเนิด และอีกหนึ่งวิธีที่เหมาะสำหรับคุณผู้หญิงที่มักจะลืมทานยาอยู่บ่อยครั้ง การเลือกทานยาคุมกำเนิดคงจะไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร อีกทั้งการลืมทานยาคุม บ่อย ๆ ก็ยังส่งผลให้เกิดการคุมกำเนิดนั้นไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการ ฉีดยาคุมกำเนิด จึงเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อย แต่การฉีดยาคุม จะดีหรือไม่ ควรฉีดยาคุมตอนไหน และมีราคาเท่าไหร่ เรามีมาฝากกันค่ะ
ยาคุมกำเนิดชนิดฉีด
ยาคุมกำเนิดแบบฉีด (Injectable contraceptive) เป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวแบบหนึ่ง โดยจะเป็นการฉีดตัวยาเข้าไปในบริเวณกล้ามเนื้อของผู้ที่ต้องการคุมกำเนิด ในระยะเวลาตามที่แพทย์กำหนด หลังจากฉีดตัวยาจะค่อย ๆ ขับฮอร์โมนออกมา ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมใช้กันมากในรายที่ต้องการเว้นระยะการมีบุตรในระยะเวลาที่ต้องการ เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง ทำได้ง่าย สะดวก และมีราคาถูก
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิด โดยวิธีนี้จะเหมาะกับผู้ที่มีความต้องการคุมกำเนิดในระยะสั้น ๆ และไม่สะดวกที่จะทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำ หรือสม่ำเสมอ โดยยาคุมกำเนิดแบบฉีดนี้ จะมีทั้งแบบ 1 เดือน และแบบ 3 เดือน ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ที่รับการฉีด อีกทั้งราคายังไม่สูงมาก ซึ่งจะอยู่ประมาณ 150 – 400 บาท เท่านั้น ถือว่าไม่แตกต่างจากการคุมกำเนิดด้วยการทานยาเม็ดฮอร์โมน
โดยตัวยาจะไปกระตุ้นฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) ซึ่งจะเป็นตัวยับยั้งการตกไข่ ทำให้ไม่มีไข่มารอปฏิสนธิ นอกจากนั้นยังทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวทำให้ไข่ไม่สามารถฝังตัวได้ และยังทำให้มูกบริเวณปากมดลูกมีความเหนียวข้น ส่งผลให้เป็นอุปสรรคกับตัวอสุจิที่จะว่ายผ่านเข้าไปผสมกับไข่ได้ยากยิ่งขึ้น จึงสามารถช่วยคุมกำเนิดได้
บทความที่เกี่ยวข้อง : ยาคุมยี่ห้อไหนดี ยาคุมแต่ละยี่ห้อ มีความแตกต่างกันอย่างไร?
ฉีดยาคุมกำเนิด แบบไหนดี ราคาเท่าไหร่ ?
สำหรับการฉีดยาคุมกำเนิดนั้น สามารถเลือกได้ 2 แบบ คือ การฉีดชนิดรายเดือน และชนิด 3 เดือน ซึ่งจะมีข้อแตกต่างดังนี้
1. ยาคุมแบบฉีด ชนิด 1 เดือน (Cyclofem, 25 mg.)
- เป็นยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม (มีทั้งฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสติน)
- นัดฉีดทุก ๆ 1 เดือน
- โดยประจำเดือนจะมาเป็นปกติในทุก ๆ เดือน
- ผู้ที่ให้นมบุตรไม่ควรฉีด เพราะตัวยาจะทำให้น้ำนมแห้ง
- ฉีดบริเวณต้นแขน
- ราคาเข็มละ 300-400 บาท
2. ยาคุมแบบฉีด ชนิด 3 เดือน (DMPA, 150 mg.)
- เป็นยาคุมชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (ฮอร์โมนโปรเจสติน)
- นัดฉีดทุก ๆ 3 เดือน
- จะทำให้ประจำเดือนไม่มา แต่ไม่ส่งผลถึงสุขภาพโดยรวม
- สามารถให้น้ำนมบุตรได้ตามปกติ
- ฉีดบริเวณสะโพก
- ราคาเข็มละ 150-300 บาท
ยาคุมกำเนิด ฉีดตอนไหนถึงได้ผลมากที่สุด
โดยทั่วไป การฉีดยาคุมกำเนิดมักจะฉีดภายใน 5 วันหลังจากประจำเดือนมา ซึ่งหากฉีดในระยะนี้ ตัวยาจะออกฤทธิ์ในการคุมกำเนิดได้ในทันที แต่หากเลือกฉีดยาคุมหลังจากเวลาที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ ผู้รับการฉีดจะต้องใช้เวลาประมาณ 7 วัน เพื่อรอให้ตัวยาเริ่มออกฤทธิ์ และสามารถคุมกำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากคุณจะต้องมีเพศสัมพันธ์ ในช่วงเวลาดังกล่าว ก็ควรจะใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย เป็นต้น
ฉีดยาคุมกำเนิดหลังคลอดบุตร
สำหรับผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดหลังจากคลอดบุตร ด้วยวิธีการฉีดยาคุม ในกรณีที่มารดาไม่ได้ให้นมบุตรหลังคลอด ก็สามารถฉีดยาคุมกำเนิดได้ในทันที ในขณะที่มารดาที่จะต้องให้นมบุตร จำเป็นจะต้องทิ้งช่วงหลังจากคลอดบุตร ไม่ต่ำกว่า 6 สัปดาห์ แต่ถ้ามีความจำเป็นจะต้องฉีดยาคุมกำเนิดก่อนเวลาดังกล่าว ก็สามารถทำได้ แต่ควรจะปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน
ฉีดยาคุมหลังคลอดบุตร ได้ตอนไหน
- ในกรณีฉีดยาคุมกำเนิดภายใน 21 วัน หลังทำการคลอดบุตร ตัวยาคุมกำเนิดจะออกฤทธิ์ในการคุมกำเนิดได้ในทันที
- ในกรณีฉีดยาคุมกำเนิดหลังจากวันที่ 21 นับจากทำการคลอดบุตร จะต้องรอให้ตัวยาคุมออกฤทธิ์ประมาณ 7 วัน
ขณะที่ผู้ที่ผ่านการทำแท้ง หรือมีการแท้งเองโดยธรรมชาติ สามารถฉีดยาคุมกำเนิดได้ในทันที แม้ว่าการฉีดยาคุมกำเนิดจะมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้แต่อย่างใด ดังนั้น การใช้ถุงยางอนามัย ในการป้องกันร่วมด้วยก็จะทำให้คุณปลอดภัยกับโรคติดต่อได้อีกด้วย
ผลข้างเคียงเมื่อฉีดยาคุมกำเนิด ?
สำหรับผลข้างเคียงเมื่อฉีดยาคุมกำเนิดนั้น อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ในบางคนอาจจะมีอาการเกือบครบทุกข้อ แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่มีอาการต่าง ๆ เหล่านั้นเลยก็เป็นได้ ซึ่งอาการโดยรวมที่เรารวบรวมมาได้มีดังนี้
- ยาคุมชนิดฉีด แบบ 1 เดือน: ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีเลือดออกกะปริดกะปรอย ปวด หรือเวียนศีรษะอยู่บ่อยครั้ง มีอาการคัดตึงบริเวณเต้านม
- ยาคุมชนิดฉีด แบบ 3 เดือน: ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือประจำเดือนหยุดตลอด 3 เดือนเลยก็เป็นได้ มีเลือดออกกะปริดกะปรอย บริเวณช่องคลอดแห้ง ปวดกระดูก โพรงกระดูกพรุน (ซึ่งจะดีขึ้นหลังจากหยุดฉีดยา)
ทั้งนี้ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดของการฉีดทั้งสองชนิดนี้ มีความแตกต่างกันเพียงแค่ระยะเวลาของการเข้ารับการฉีด หากแต่ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดนั้นมีเท่ากัน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล
บทความที่เกี่ยวข้อง : กินยาคุมตอนท้อง ท้องแล้วกินยาคุม จะอันตรายต่อลูกในท้องไหม
ใครเหมาะกับการฉีดยาคุมกำเนิด
- สตรีที่ต้องการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่มีประสิทธิภาพสูง และปลอดภัย
- สตรีที่ลืมรับประทานยาคุมกำเนิดบ่อย ๆ ต้องการความสะดวก ไม่ต้องการรับประทานยาคุมกำเนิดแบบเดิมทุก ๆ วัน
- สตรีหลังคลอดที่กำลังให้นมบุตร (ต้องเป็นยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว)
- สตรีที่มีอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ
- สตรีที่สูบบุหรี่
ข้อดีของการฉีดยาคุมกำเนิด
- ให้ความสะดวก ใช้งานง่าย ฉีดครั้งเดียวก็สามารถคุมกำเนิดได้นานถึง 1 – 3 เดือน โดยไม่ต้องใช้ทุกวันเหมือนยาเม็ดคุมกำเนิด
- มีประสิทธิภาพการคุมกำเนิดสูงถึงกว่า 99 % เมื่อได้รับการฉีดอย่างถูกต้อง (มากกว่าหรือเทียบเท่ากับการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด)
- ไม่เป็นอุปสรรคต่อการมีเพศสัมพันธ์ (คุณผู้หญิงบางท่านอาจมีอาการแพ้ถุงยางอนามัย)
- อาจช่วยแก้ปัญหาในเรื่องโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ และอาการปวดประจำเดือน
- สามารถรับบริการได้ง่าย เนื่องจากวิธีการและอุปกรณ์สำหรับการให้บริการไม่ยุ่งยาก เลือกให้บริการแก่สตรีทั่วไปได้อย่างกว้างขวาง เพราะยาฉีดมีข้อห้ามในการใช้ยาน้อย
- ราคาถูกเมื่อเทียบกับวิธีคุมกำเนิดแบบอื่น เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด หรือ การใส่ห่วงอนามัย
- ไม่ขัดขวางขั้นตอนต่าง ๆ ของการร่วมเพศ
- สามารถใช้ได้ดีในขณะให้นมลูก เพราะไม่ทำให้น้ำนมแห้ง
- การไม่มีประจำเดือนภายหลังการฉีดมีผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง
- ไม่ต้องพบแพทย์เมื่อต้องการหยุดการคุมกำเนิด ฤทธิ์ของยาจะค่อย ๆ หมดไปเองหากไม่ได้รับการฉีดตามหมอนัด
ข้อเสียของการฉีดยาคุมกำเนิด
- ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ เช่น โรคเอดส์ ซิฟิลิส หูดหงอนไก่ และหนองใน เป็นต้น
- ต้องเดินทางไปพบแพทย์ทุก ๆ 1 เดือน หรือ 3 เดือน
- ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดอาจลดลง ถ้าไม่ได้ฉีดตามวันที่คุณหมอนัด
- จะต้องเสียเวลาไปสถานที่รับบริการบ้างและอาจทำให้ลืมเวลานัดได้
- ต้องให้แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางสาธารณสุขเป็นคนฉีดยาให้
- ประจำเดือนอาจเปลี่ยนแปลง มาไม่สม่ำเสมอ มากะปริดกะปรอย หรือไม่มีประจำเดือน และหลาย ๆ รายอาจมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- เนื่องจากการที่มีเลือดออกแบบกะปริดกะปรอย (ในช่วงแรกของการฉีด หรืออาจจะหลายเดือน) จึงทำให้ต้องใส่ผ้าอนามัยอยู่ตลอดเวลา จะไม่ใส่ก็ไม่ได้ เพราะบางครั้งก็มาโดยไม่ได้นัดแนะ ปัญหาที่ตามมาก็คือทำให้เกิดความอับชื้น มีตกขาว เป็นต้น
- ผลข้างเคียงอาจไม่หยุดทันทีหลังจากหยุดฉีดยา เมื่อเกิดอาการข้างเคียงจะต้องรอจนกว่ายาคุมจะหมดฤทธิ์ อาการถึงจะหายไปเอง
- เมื่อหยุดฉีดร่างกายจะยังไม่พร้อมมีลูกได้ทันที (มีลูกได้ช้ากว่าการคุมกำเนิดแบบอื่น) โดยอาจจะต้องรอไปเกือบ 1 ปี ทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าการฉีดยานาน ๆ จะทำให้เป็นหมัน เรื่องนี้ไม่จริง แต่อาจจะทำให้มีลูกได้ช้า ไม่ทันใจ คนที่ฉีดยาคุมกำเนิดจึงต้องวางแผนไว้อย่างดี เพราะไม่ใช่เมื่อพร้อมจะมีลูกก็จะหยุดฉีดแล้วจะมีได้ทันที แต่ต้องรอไประยะหนึ่งก่อน เช่น บางคนฉีดยาไป 3 ปีกว่า กว่ายาจะหมดฤทธิ์ก็ต้องรอไปอีก 10 เดือน แต่ถ้าฉีดนานกว่านั้นก็อาจจะรอยาวนานขึ้นไปอีก
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
10 ข้อ ควรรู้เกี่ยวกับยาคุมกำเนิด ที่สาว ๆ ไม่ควรมองข้าม
ฝังยาคุม กับ กินยาคุม ต่างกันอย่างไร ? มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
ลืมกินยาคุม 2 วัน จะทำอย่างไรดี มีผลกระทบหรือไม่?
กินยาคุมกำเนิดมานานจะท้องได้หรือไม่ หยุดกินยาคุมจะท้องไหม กับความเชื่อผิดๆ
ที่มา : thaiinterhospital , raknareeclinic
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!