เพื่อนในจินตนาการ คืออะไร คำถามคาใจพ่อแม่ เคยเห็นไหมคะ? เวลาลูกนั่งหัวเราะอยู่มุมห้อง บางทีก็พูดเหมือนกำลังคุยกับใครสักคน แต่เมื่อหันไปดู กลับไม่เห็นมีใครอยู่ตรงนั้นเลย หลายครั้งพ่อแม่อาจแอบสงสัย หรือถึงขั้นกังวลว่า “ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า?” หรือ “ทำไมลูกเหมือนมีเพื่อนที่ไม่มีตัวตน” แต่จริง ๆ แล้วนี่อาจเป็นเพียงอีกหนึ่งพัฒนาการที่ปกติของเด็กเล็ก ที่เรียกว่า “เพื่อนในจินตนาการ” สำหรับเด็ก วัยนี้คือช่วงที่สมองและจินตนาการกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด เด็กสามารถสร้างโลกสมมติขึ้นมาเอง เพื่อทดลองบทบาท ความคิด และอารมณ์ต่าง ๆ การมีเพื่อนในจินตนาการ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติ แต่เป็นสัญญาณที่ดีว่าลูกกำลังเรียนรู้ทักษะสำคัญในชีวิตผ่านการเล่น และความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง
เพื่อนในจินตนาการ คืออะไร
เพื่อนในจินตนาการ คือ ตัวละคร เพื่อนสนิท หรือแม้กระทั่งสัตว์วิเศษ ที่เด็กสร้างขึ้นมาในหัว เพื่อใช้ในการเล่นสมมติ บางครั้งเพื่อนในจินตนาการ อาจเป็นเพียงเสียงในหัวที่คอยพูดคุยกับเด็ก หรืออาจถูกแทนที่ด้วยของเล่น หรือตุ๊กตาที่มีชีวิตขึ้นมาในโลกของเขา
เด็กบางคนมีเพื่อนในจินตนาการเป็นหมีพูห์ สัตว์ประหลาดใจดี หรือแม้แต่ พี่สาวในอนาคต ที่เขาไม่เคยเห็นจริง ๆ เลยด้วยซ้ำ สิ่งเหล่านี้สะท้อนความสามารถด้าน การคิดเชิงนามธรรม (abstract thinking) และ ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ของเด็ก ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
เพื่อนในจินตนาการ มักเกิดขึ้นในช่วงวัยก่อนเข้าเรียน ที่เด็กเริ่มใช้ภาษาได้คล่อง และสนุกกับการเล่นสมมติ โดยเฉพาะในวัย 3–7 ปี ซึ่งสมองกำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในการสร้างเรื่องราว และบทบาทต่าง ๆ พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องกังวล หากพบว่าลูกมีเพื่อนในจินตนาการช่วงนี้ เพราะถือว่าเป็นช่วงวัยที่ปกติอย่างมาก เด็กส่วนใหญ่เมื่อโตขึ้น เข้าโรงเรียนประถมที่มีเพื่อนจริง ๆ และกิจกรรมทางสังคมมากขึ้น เพื่อนในจินตนาการก็มักจะค่อย ๆ เลือนหายไปเอง
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน พบว่า เด็กที่มีเพื่อนในจินตนาการมีจำนวนมากกว่าที่เราคิด โดยกว่า 65% ของเด็กเล็กเคยสร้างเพื่อนในจินตนาการ ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือยาวนาน และส่วนใหญ่จะหายไปเอง เมื่อเด็กเติบโตขึ้น และเข้าสู่โลกของเพื่อนจริง ๆ เพื่อนในจินตนาการจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นอีกหนึ่ง “ขั้นบันได” ที่เด็กใช้ปีนขึ้นสู่การพัฒนาทางอารมณ์และสังคมค่ะ

มุมมองทางจิตวิทยาเด็ก: ทำไมเพื่อนในจินตนาการถึงสำคัญ
นักจิตวิทยาเด็กเคยอธิบายว่า การเล่นสมมติ เป็นหนึ่งในวิธีที่เด็กเรียนรู้โลก และฝึกทักษะใหม่ ๆ การมีเพื่อนในจินตนาการ จึงเป็นกลไกธรรมชาติ ที่ช่วยสร้างการเรียนรู้ในหลายมิติ
1. ฝึกการสื่อสาร
เวลาที่ลูกคุยกับเพื่อนในจินตนาการ เขากำลังฝึกการใช้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ ลองสังเกตสิคะ เด็กมักเล่าเรื่องเป็นฉาก ๆ ใส่อารมณ์เสียง และใช้คำพูดที่อาจไม่เคยใช้กับพ่อแม่มาก่อน เหมือนการซ้อมบทสนทนาไปในตัว
2. พัฒนาการแก้ปัญหา
เด็กอาจลองเจอสถานการณ์ที่ซับซ้อน เช่น เพื่อนสมมติแย่งของเล่น หรือไม่ยอมทำตามกติกา สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กต้องคิดหาทางแก้ เช่น การแบ่งปัน การเจรจา หรือการสร้างกฎใหม่ขึ้นมาเอง
3. เข้าใจอารมณ์และความรู้สึก
เวลาที่เด็กปลอบเพื่อนในจินตนาการที่ร้องไห้ หรือหัวเราะไปพร้อม ๆ กับเขา เด็กกำลังเรียนรู้การเข้าใจอารมณ์ผู้อื่น แม้เพื่อนนั้นจะไม่มีตัวตนจริง ๆ แต่สมองของเด็กกำลังฝึกกลไกด้านความเข้าใจผู้อื่น (Theory of Mind) ที่สำคัญต่อทักษะทางสังคม
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Bristol ยังชี้ว่า เด็กที่มีเพื่อนในจินตนาการมักจะมี ทักษะด้านสังคมและภาษา เหนือกว่าเด็กทั่วไป เมื่อโตขึ้น เพราะพวกเขามีโอกาส “ซ้อม” การอยู่ร่วมกับผู้อื่นมาตั้งแต่เล็ก

ประโยชน์ของเพื่อนในจินตนาการต่อการเติบโตของลูก
หลายครั้งพ่อแม่อาจคิดว่า เพื่อนในจินตนาการ คือสิ่งที่แปลก และควรถูกกำจัดออกไป แต่จริง ๆ แล้วมันกลับเป็นสิ่งที่ช่วยเสริมพัฒนาการในหลายด้าน
1. ลดความเหงา
เด็กบางคนอาจอยู่บ้านคนเดียวบ่อย ๆ หรือยังไม่มีเพื่อนเล่น เพื่อนในจินตนาการช่วยให้เขารู้สึกว่ามีคนอยู่เคียงข้าง ไม่เหงา และไม่โดดเดี่ยว
2. กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
การสร้างบทสนทนา เนื้อเรื่อง และตัวละครใหม่ ๆ คือการฝึกสมองให้คิดสร้างสรรค์ ซึ่งจะเป็นทักษะสำคัญในอนาคต ไม่ว่าจะในด้านการเรียน การทำงาน หรือการแก้ปัญหาชีวิต
3. เสริมความมั่นใจ
สำหรับเด็กขี้อาย เพื่อนในจินตนาการอาจเป็น “กำลังใจ” ให้เขากล้าทำสิ่งใหม่ ๆ เช่น กล้าขึ้นเวทีร้องเพลง หรือกล้าลองขี่จักรยาน เพราะรู้สึกว่ามีเพื่อนอยู่ด้วย
4. ช่องทางสื่อสารกับพ่อแม่
บางครั้งสิ่งที่ลูกพูดกับเพื่อนในจินตนาการ อาจสะท้อนสิ่งที่เขารู้สึกจริง ๆ แต่ยังพูดตรง ๆ กับพ่อแม่ไม่ได้ เช่น ความกลัว ความกังวล หรือแม้แต่ความสุข การฟังบทสนทนาเหล่านี้ ทำให้พ่อแม่เข้าใจโลกในใจของลูกได้มากขึ้น

พ่อแม่ควรสนับสนุนอย่างไร
หลายครั้งที่พ่อแม่เห็นลูกเล่นกับ เพื่อนในจินตนาการ อาจรู้สึกทั้งขำ ทั้งสงสัย และบางครั้งก็เผลอหลุดคำพูดล้อเลียนออกมา เช่น “คุยกับใครเนี่ย ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นหรอก” หรือ “โตแล้วเลิกเล่นเพื่อนสมมติได้แล้ว” คำพูดเหล่านี้อาจทำให้ลูกปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง และไม่กล้าเล่าให้พ่อแม่ฟังอีก เพราะกลัวว่าจะถูกหัวเราะเยาะ
จริง ๆ แล้วพ่อแม่สามารถใช้โอกาสนี้เป็น “สะพาน” เข้าไปในโลกของลูกได้เลยค่ะ เพราะเพื่อนในจินตนาการมักสะท้อนสิ่งที่เด็กกำลังคิด กำลังรู้สึก หรือกำลังประสบอยู่ ลองมาดูกันว่าวิธีสนับสนุนที่เหมาะสมทำได้อย่างไรบ้าง
1. ฟังและให้ความสนใจ
เวลาที่ลูกเล่าเรื่องเกี่ยวกับ เพื่อนในจินตนาการ อย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธ หรือทำเป็นไม่สนใจ แต่ลองตั้งใจฟังเหมือนลูกกำลังเล่าเรื่องจริง ๆ เช่น ถ้าลูกบอกว่า “วันนี้เพื่อนหนูไม่อยากไปโรงเรียน” แทนที่จะตอบว่า “ไม่มีเพื่อนหรอกลูก” พ่อแม่อาจตอบว่า “อ๋อ ทำไมเพื่อนหนูไม่อยากไปล่ะคะ หนูคิดว่าเพื่อนรู้สึกยังไง”
สิ่งนี้จะทำให้ลูกได้ฝึกคิด และอธิบายอารมณ์ของตัวเอง โดยผ่านตัวละครสมมติ
2. ใช้เพื่อนในจินตนาการเป็น “หน้าต่างส่องใจลูก”
บ่อยครั้งสิ่งที่เด็กโยนให้เพื่อนในจินตนาการ อาจเป็นสิ่งที่เขารู้สึกเอง เช่น ถ้าลูกพูดว่า “เพื่อนหนูเศร้ามากเลย เพราะไม่มีใครเล่นด้วย” อาจสะท้อนว่าลูกกำลังรู้สึกโดดเดี่ยวจริง ๆ ในโลกความเป็นจริง พ่อแม่สามารถใช้สิ่งนี้เป็นเบาะแส เข้าไปปลอบใจหรือช่วยหาทางแก้ เช่น จัดเวลาให้ลูกได้เจอเพื่อน ๆ หรือเล่นกับลูกมากขึ้น
3. ไม่ตัดสินหรือล้อเลียน
อย่าลืมว่าโลกในจินตนาการสำหรับเด็ก “จริง” ไม่แพ้โลกความจริง การที่พ่อแม่พูดล้อว่า “บ้าไปแล้ว มีเพื่อนไม่มีตัวตน” จะทำให้เด็กไม่กล้าเปิดเผยสิ่งที่คิดอีกต่อไป ในทางกลับกัน ถ้าพ่อแม่แสดงออกว่าเข้าใจ ลูกจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่า
4. เสริมบทบาทของพ่อแม่ในโลกสมมติ
บางครั้งพ่อแม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมกับเพื่อนในจินตนาการของลูกได้ เช่น ถามว่า “วันนี้แม่ทำขนมเผื่อเพื่อนของหนูด้วยนะ” หรือ “เพื่อนหนูอยากเล่นเกมนี้ด้วยไหม” วิธีนี้ช่วยให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่ยอมรับโลกของเขา และยังเป็นการฝึกให้ลูกเรียนรู้การมีส่วนร่วมและแบ่งปัน
5. ไม่กดดันให้เลิก
เพื่อนในจินตนาการมักหายไปเองเมื่อเด็กโตขึ้น และเริ่มมีเพื่อนจริง ๆ ที่โรงเรียน การไปบังคับให้ลูก “เลิกเล่น” จะสร้างแรงต้าน และทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองผิดปกติ ควรปล่อยให้การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

เมื่อไรที่พ่อแม่ควรกังวล
แม้ว่าเพื่อนในจินตนาการจะถือเป็นพัฒนาการปกติ แต่พ่อแม่ก็ต้องรู้จัก “เส้นบาง ๆ” ที่แบ่งระหว่างความปกติ และสัญญาณที่อาจต้องการการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
1. แยกไม่ออกระหว่างจริงกับจินตนาการ
หากลูกเริ่มเชื่อมั่นว่าเพื่อนสมมติ “มีอยู่จริง” จนไม่สามารถแยกความต่างระหว่างโลกจริง กับโลกจินตนาการได้ เช่น ยืนยันหนักแน่นว่ามีคนเดินตาม หรือมีใครมากินข้าวด้วย ทั้งที่ไม่ใช่แค่การเล่น แต่กลายเป็น “ความเชื่อถาวร” แบบนี้ควรใส่ใจ เพราะอาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
2. พฤติกรรมรุนแรงที่อ้างว่าเพื่อนสมมติสั่ง
ถ้าเด็กเริ่มทำพฤติกรรมก้าวร้าว เช่น ทำร้ายสัตว์เลี้ยงหรือเพื่อน แล้วบอกว่า “เพื่อนบอกให้ทำ” อันนี้ไม่ใช่เรื่องของการเล่นสมมติปกติ แต่เป็นสัญญาณที่ควรพาลูกไปพบผู้เชี่ยวชาญ เพื่อแยกแยะว่าเป็นเพียงการเล่น หรือมีปัญหาพฤติกรรมที่ต้องจัดการ
3. ปฏิเสธเพื่อนในโลกแห่งความจริง
โดยทั่วไป เด็กที่มีเพื่อนในจินตนาการยังสามารถเข้าสังคมกับเพื่อนจริงได้ แต่ถ้าลูกเริ่ม “เลือกเพื่อนสมมติแทนเพื่อนจริง” อย่างชัดเจน เช่น ไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากเจอใคร เพราะอยากอยู่กับเพื่อนสมมติเท่านั้น แบบนี้อาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางสังคม
4. การเล่นในโลกสมมตินานผิดปกติ
เพื่อนในจินตนาการมักอยู่กับเด็กเป็นช่วง ๆ และค่อย ๆ จางหายไปเมื่อโตขึ้น แต่หากยังคงอยู่ในระดับที่รบกวนชีวิตประจำวัน เช่น เล่นกับเพื่อนในจินตนาการทั้งวัน ไม่ยอมทำการบ้าน ไม่ยอมอาบน้ำ หรือกินข้าว แบบนี้ควรปรึกษานักจิตวิทยาเด็ก เพื่อประเมินว่าผิดปกติหรือไม่
5. พฤติกรรมที่บ่งบอกถึงความทุกข์ใจ
บางครั้งเด็กอาจใช้เพื่อนในจินตนาการเป็น “ที่หลบภัย” จากปัญหา เช่น การถูกบูลลี่ การทะเลาะในบ้าน หรือการรู้สึกไม่ปลอดภัย หากพ่อแม่สังเกตว่า เวลาลูกพูดถึงเพื่อนในจินตนาการ จะมาพร้อมกับอารมณ์เศร้า กังวล หรือกลัว ควรใช้สิ่งนี้เป็นสัญญาณว่า เด็กอาจต้องการการช่วยเหลือด้านอารมณ์
เพื่อนในจินตนาการคือ ของขวัญทางพัฒนาการ ที่ช่วยเสริมทั้งความคิดสร้างสรรค์ ความมั่นใจ และทักษะการเข้าใจผู้อื่น แต่พ่อแม่ต้องมีบทบาทสำคัญในการ สนับสนุนอย่างเข้าใจ และ สังเกตสัญญาณผิดปกติ ไปพร้อมกัน การเปิดพื้นที่ให้ลูกเล่าเรื่องราวของเพื่อนในจินตนาการอย่างปลอดภัย จะช่วยให้พ่อแม่เข้าใจโลกในใจลูกได้ลึกซึ้งขึ้น และทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวแน่นแฟ้นกว่าเดิม
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
พลังของการเล่านิทาน ในยุคที่ทุกอย่างเป็นวิดีโอ ทำไมเด็กยังต้องฟังนิทาน
เล่นให้พอ ลูกงอแงน้อยลง การเล่นคือสิ่งสำคัญ ที่พ่อแม่มักมองข้าม
9 นิทานเสริมพัฒนาการเด็ก สร้างการเรียนรู้เปี่ยมจินตนาการให้ลูกน้อย
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!