TAP top app download banner
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้า
เข้าสู่ระบบ
  • TAP Awards 2025
  • อยากท้อง
  • แม่ท้อง แม่ให้นม
    • ระยะการตั้งครรภ์
    • โภชนาการเเม่ท้อง
    • โภชนาการแม่ให้นม
    • ตั้งชื่อลูก
    • พัฒนาการสมอง
  • แม่ผ่าคลอด
    • พัฒนาการเด็กผ่าคลอด
    • เตรียมตัวผ่าคลอด
    • สุขภาพเด็กผ่าคลอด
    • คู่มือคุณแม่ผ่าคลอด
    • การดูแลหลังผ่าคลอด
    • โภชนาการเด็กผ่าคลอด
  • หลังคลอด
    • คลอดธรรมชาติ
    • ผ่าคลอด
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
    • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
    • TAPpedia
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • ไลฟ์สไตล์
    • ที่เที่ยว
    • ที่กิน
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • VIP

พลังของการเล่านิทาน ในยุคที่ทุกอย่างเป็นวิดีโอ ทำไมเด็กยังต้องฟังนิทาน

บทความ 5 นาที
พลังของการเล่านิทาน ในยุคที่ทุกอย่างเป็นวิดีโอ ทำไมเด็กยังต้องฟังนิทาน

ในยุคที่ทุกอย่างเป็นวิดีโอ หลายบ้านอาจเล่านิทานน้อยลง แต่เหตุผลว่า ทำไมเด็กยังต้องฟังนิทาน คือพลังในการเสริมพัฒนาการที่สื่อดิจิทัลแทนไม่ได้

ทุกวันนี้ เด็กเล็กจำนวนมากใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันอยู่กับหน้าจอ YouTube Kids หรือ TikTok เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นวิดีโอสั้นที่ตัดต่อรวดเร็ว เต็มไปด้วยสีสัน และเสียงเอฟเฟกต์ที่ดึงดูดความสนใจทันที พ่อแม่จำนวนไม่น้อยรู้สึกสบายใจ เพราะลูกดูเพลิน เงียบ และไม่งอแง แต่สิ่งที่ค่อย ๆ หายไปจากหลายบ้านคือ “ช่วงเวลานิทานก่อนนอน” ที่พ่อแม่เคยนั่งข้างเตียง เล่าเรื่องให้ลูกฟัง จนเปลือกตาค่อย ๆ ปิดลง การเปลี่ยนแปลงนี้นำมาซึ่งคำถามสำคัญว่า ทำไมเด็กยังต้องฟังนิทาน ในเมื่อมีสื่อวิดีโอมากมายให้เลือกดู และดูเหมือนจะสนุกกว่าด้วยซ้ำ

ทำไมเด็กยังต้องฟังนิทาน

รากเหง้าและบทบาทของการเล่านิทานในวัฒนธรรมมนุษย์

ก่อนที่หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ หรืออินเทอร์เน็ตจะถือกำเนิด มนุษย์ใช้การเล่าเรื่องเป็นวิธีหลักในการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และค่านิยมรุ่นต่อรุ่น ในประเทศไทย เรามีทั้งนิทานพื้นบ้าน เช่น ปลาบู่ทอง สังข์ทอง และชาดกจากพุทธศาสนา อย่าง พระเวสสันดรชาดกที่เล่าผ่านเทศน์มหาชาติ ขณะที่ในตะวันตก นิทานก่อนนอน (bedtime story) กลายเป็นพิธีกรรมครอบครัว พ่อแม่เล่าเรื่อง The Little Prince, Peter Pan หรือ Cinderella ให้ลูกฟังเพื่อส่งเข้านอน

การเล่านิทาน ไม่เพียงสร้างความบันเทิง แต่ยังเป็นเครื่องมือสอนคุณธรรม เช่น ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ และความเพียรพยายาม นิทานพื้นบ้านหลายเรื่อง ถูกออกแบบให้จำง่าย มีจังหวะและคำซ้ำ เพื่อให้เด็กซึมซับโดยไม่รู้ตัว การได้ยินเสียงพ่อแม่เล่าด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปตามอารมณ์ของเรื่อง ยังสร้างความผูกพันทางใจที่หนังสือเสียง หรือวิดีโอสำเร็จรูปไม่สามารถให้ได้

วิทยาศาสตร์และงานวิจัยที่ยืนยันพลังของการเล่านิทาน

หลายงานวิจัยในด้านประสาทวิทยา (neuroscience) แสดงให้เห็นว่า การฟังเรื่องเล่ามีผลต่อสมองเด็กในเชิงบวกอย่างมาก ดร. John Hutton จาก Cincinnati Children’s Hospital Medical Center ศึกษาพัฒนาการทางสมองของเด็ก อายุ 3–5 ปี ขณะฟังนิทาน พบว่ามีการกระตุ้นในส่วนการประมวลผลภาษา (language processing), การสร้างภาพในใจ (mental imagery) และการเข้าใจเรื่องราว (narrative comprehension) ในระดับสูง ในทางตรงกันข้าม เด็กที่ดูวิดีโอ แม้จะมีการกระตุ้นสมองส่วนการมองเห็นอย่างมาก แต่กลับไม่กระตุ้นสมองส่วนสร้างภาพจินตนาการ เพราะภาพถูกส่งมาให้พร้อมแล้ว

การฟังนิทานจึงเป็นการฝึก “long-form attention” หรือสมาธิแบบต่อเนื่อง เด็กต้องจดจ่อ ฟังคำพูด และสร้างภาพในหัวจากข้อมูลเสียง ต่างจากการดูคลิปสั้นที่ตัดต่อรวดเร็ว ซึ่งฝึกให้เด็กคุ้นชินกับการเปลี่ยนฉากเร็วเกินไป เมื่ออยู่ในสถานการณ์จริงที่ต้องใช้เวลาและความอดทน เด็กอาจรู้สึกเบื่อหรือหงุดหงิดง่าย

ทำไมเด็กยังต้องฟังนิทาน

ประโยชน์ของการเล่านิทาน ทำไมเด็กยังต้องฟังนิทาน

1. ด้านภาษา

การเล่านิทาน เป็นการขยายคลังคำศัพท์ของเด็กอย่างเป็นธรรมชาติ เด็กได้ยินคำใหม่ ๆ และเรียนรู้การใช้ประโยคหลากหลายรูปแบบ เสียงของพ่อแม่เป็นต้นแบบในการออกเสียง การเว้นวรรค และการเน้นคำ ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพูด และการสื่อสารที่ดี

2. ด้านอารมณ์

การติดตามเรื่องราวทำให้เด็กเรียนรู้ที่จะเข้าใจความรู้สึกของตัวละคร ทั้งความสุข ความกลัว ความเศร้า หรือความตื่นเต้น กระบวนการนี้เป็นรากฐานของการพัฒนา empathy หรือความเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น

3. ด้านสังคม

ขณะฟังนิทาน เด็กฝึกการรอ ฟังอย่างตั้งใจ และโต้ตอบอย่างเหมาะสม การแสดงความคิดเห็น หรือถามคำถามระหว่างเล่า ยังช่วยฝึกการสื่อสารแบบสองทางที่มีคุณภาพ

4. ด้านความคิดสร้างสรรค์

การฟังนิทานเปิดพื้นที่ให้เด็กสร้างภาพในหัวจากคำบรรยาย ฝึกเชื่อมโยงเหตุการณ์ และคิดแก้ปัญหาผ่านจินตนาการของตนเอง

ทำไมเด็กยังต้องฟังนิทาน

วิธีเลือกนิทานให้เหมาะกับวัยและสถานการณ์

การเลือกนิทานที่เหมาะสมกับวัยและอารมณ์ของลูกเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนิทานที่ดีไม่เพียงต้องสนุก แต่ต้องสอดคล้องกับพัฒนาการ และความสนใจของเด็กในช่วงวัยนั้น ๆ

1. เลือกนิทานให้เหมาะกับช่วงอายุ

  • วัย 1–3 ขวบ: เด็กวัยนี้กำลังเรียนรู้คำศัพท์พื้นฐาน และเริ่มเข้าใจความหมายของสิ่งรอบตัว จึงควรเลือกนิทานภาพที่มีสีสันสดใส เนื้อเรื่องสั้น กระชับ และใช้ประโยคซ้ำ เพื่อช่วยให้จำง่าย ตัวละครควรเป็นสัตว์ ของเล่น หรือสิ่งของที่เด็กคุ้นเคย เนื้อหาควรเน้นความอบอุ่น ปลอดภัย และจบด้วยความสุข เพื่อสร้างความมั่นคงทางอารมณ์
  • วัย 4–6 ขวบ: เด็กวัยนี้สามารถติดตามโครงเรื่องที่มีหลายเหตุการณ์ต่อเนื่องกันได้ ควรเลือกนิทานที่มีบทสนทนา การผจญภัย และข้อคิดสอดแทรก เนื้อเรื่องสามารถซับซ้อนขึ้น มีปมปัญหาและการแก้ไข เพื่อฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหา ตัวละครสามารถมีบุคลิกหลากหลาย เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ความแตกต่างของคนในสังคม

2. เลือกนิทานตามสถานการณ์ หรืออารมณ์ของลูก

บางวันเด็กอาจรู้สึกเหนื่อย งอแง หรือกังวล พ่อแม่สามารถเลือกนิทานที่ช่วยปรับอารมณ์ เช่น นิทานที่มีจังหวะเล่าเนิบช้า และเนื้อหาอบอุ่น เพื่อให้ลูกผ่อนคลายก่อนนอน ในวันที่ลูกมีเหตุการณ์สำคัญ เช่น วันแรกไปโรงเรียน อาจเลือกนิทานที่ตัวละครเผชิญสถานการณ์คล้ายกัน และผ่านไปได้ด้วยดี เพื่อช่วยให้ลูกมีกำลังใจ และรู้สึกว่าเขาไม่ได้เผชิญสิ่งนั้นเพียงลำพัง

3. เลือกนิทานที่สอดแทรกคุณธรรมและการเรียนรู้

นิทานเป็นสื่อที่ทรงพลังในการปลูกฝังค่านิยม และความคิดพื้นฐาน พ่อแม่ควรเลือกเรื่องที่สอดแทรกคุณธรรม เช่น ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู ความมีน้ำใจ หรือการช่วยเหลือผู้อื่น และควรเลือกเนื้อเรื่องที่สอดคล้องกับหลักวัฒนธรรมไทย เช่น นิทานพื้นบ้าน หรือเรื่องราวที่มีสำนวน สุภาษิต และคำสอนที่ลูกสามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้

ทำไมเด็กยังต้องฟังนิทาน

8 เทคนิคเล่านิทานให้ลูกฟังอย่างสนุก

แม้ว่านิทานจะมีเนื้อเรื่องที่ดีแค่ไหน แต่ถ้าวิธีเล่าไม่น่าสนใจ เด็กก็อาจฟังไปเพียงครู่เดียวแล้วเสียสมาธิ พ่อแม่จึงควรรู้เทคนิคการเล่าให้สนุก มีชีวิตชีวา และดึงเด็กให้มีส่วนร่วมตลอดเรื่อง ที่จะช่วยให้ช่วงเวลาก่อนนอน กลายเป็นช่วงเวลาที่ทั้งครอบครัวรอคอย

1. ใช้น้ำเสียงที่หลากหลายและเหมาะกับตัวละคร

เสียงเล่าเป็นหัวใจของการสร้างบรรยากาศ ลองปรับโทนเสียงตามตัวละคร เช่น เสียงทุ้มต่ำสำหรับยักษ์ เสียงสูงแหลมสำหรับนกน้อย หรือเสียงกระซิบเบา ๆ เวลามีเหตุการณ์ลึกลับ การเปลี่ยนโทนเสียงช่วยให้เด็กแยกแยะตัวละครได้ง่าย และทำให้เรื่องราวดูมีชีวิตขึ้น

2. ใช้จังหวะเว้นและหยุด เพื่อสร้างความตื่นเต้น

บางครั้ง การหยุดเล่าเพียง 2–3 วินาที ในช่วงที่เนื้อเรื่องกำลังน่าลุ้น จะทำให้เด็กตั้งใจฟังมากขึ้น เทคนิคนี้คล้ายกับ “ดนตรีเงียบ” ในภาพยนตร์ที่ทำให้คนดูเกร็งรอ การเว้นจังหวะยังช่วยให้เด็กมีเวลาคิดตาม และจินตนาการภาพในหัวได้ชัดขึ้น

3. ทำเสียงเอฟเฟกต์ประกอบ

เสียง “โครม!” เวลามีของตก เสียง “ฟู่” ของลม หรือเสียง “จ๊อก ๆ” ของท้องที่หิว สามารถทำให้เรื่องเล่ามีชีวิตชีวามากขึ้น เด็กจะรู้สึกว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์จริง และบางครั้งอาจหัวเราะ หรือเลียนแบบเสียงเหล่านี้ร่วมกับพ่อแม่

4. ใช้ภาษากายและท่าทางประกอบ

การเล่านิทานไม่จำเป็นต้องใช้แค่เสียง ลองใช้มือทำท่าบิน เวลามีตัวละครนก หรือขยับคอเลียนแบบยีราฟ เด็กเล็กจะสนุกกับการดูท่าทางและอาจทำตาม ซึ่งนอกจากจะช่วยดึงความสนใจ ยังเป็นการกระตุ้นการเคลื่อนไหว และพัฒนาการด้านมอเตอร์สกิลของลูกไปพร้อมกัน

5. เปิดโอกาสให้ลูกเดาเนื้อเรื่อง

แทนที่จะเล่าต่อเนื่องจนจบ ลองหยุดแล้วถามว่า “หนูคิดว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น” หรือ “ถ้าเป็นหนูจะทำยังไง” การให้ลูกเดาเนื้อเรื่อง ช่วยฝึกทักษะการคาดเดา การคิดเชื่อมโยง และทำให้เด็กรู้สึกมีส่วนร่วมในเรื่องมากขึ้น

6. ใช้สิ่งของประกอบ (props)

การมีตุ๊กตาหรือของเล่นที่แทนตัวละคร จะช่วยให้เด็กเชื่อมโยงเรื่องราวได้ง่ายขึ้น เช่น ใช้ตุ๊กตาหมีแทนตัวเอก หรือผ้าห่มแทนทะเล การใช้ props ยังช่วยให้เด็กได้สัมผัสของจริง ซึ่งกระตุ้นประสาทสัมผัสหลายด้านพร้อมกัน

7. ปรับเนื้อเรื่องให้ใกล้ตัวลูก

บางครั้งการเปลี่ยนชื่อตัวละครให้เหมือนชื่อลูก หรือใส่เหตุการณ์ที่ลูกเคยเจอ เช่น ไปสวนสัตว์ หรือเล่นกับเพื่อน ทำให้เด็กอินกับเรื่องมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์

8. ให้ลูกมีบทบาทร่วมเล่า

ชวนลูกพูดประโยคซ้ำ ๆ ที่ปรากฏในเรื่อง หรือให้ช่วยพูดเสียงตัวละครบางตัว วิธีนี้ช่วยให้เด็กได้ฝึกการใช้ภาษา การออกเสียง และสร้างความมั่นใจในการพูด

ความท้าทายของพ่อแม่ยุคดิจิทัล

เวลาที่จำกัด ความเหนื่อยล้า และแรงดึงดูดจากสื่อวิดีโอ ทำให้หลายบ้านละเลยการเล่านิทาน วิธีแก้คือการตั้งเป้าหมายเล่านิทาน 10–15 นาทีต่อวัน ทำให้เป็นกิจวัตร ใช้ audiobook หรือ ASMR นิทานช่วยในวันที่เหนื่อยมาก แต่ไม่ควรแทนที่การเล่าเอง เพราะความอบอุ่นจากเสียง และสายตาของพ่อแม่ คือสิ่งที่ไม่มีสื่อไหนให้ได้

เหตุผลว่า ทำไมเด็กยังต้องฟังนิทาน นั่นเพราะนิทานไม่เพียงพัฒนาสมอง ภาษา และจินตนาการ แต่ยังสร้างสายใยความรักและความผูกพันระหว่างพ่อแม่กับลูก ในยุคที่ทุกอย่างเป็นวิดีโอ ลองเริ่มด้วย “7 วันเล่านิทานก่อนนอนต่อเนื่อง” แล้วคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลง ทั้งในรอยยิ้มของลูก และความอบอุ่นในครอบครัว

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

รวมฮิต 20 บอร์ดเกมที่พี่น้องเล่นด้วยกันได้ สนุก เล่นง่าย ฝึกสมอง ไม่ง้อจอ!

รวม 100+ นิทานเสริมพัฒนาการ ของลูกน้อย จัดเต็มทั้งหนังสือและคลิป

ลูกทำอะไรช้าไปหมด: เข้าใจ “ความช้า” ของเด็กเล็ก และวิธีเลี้ยงลูกให้เติบโตตามจังหวะตัวเอง

บทความจากพันธมิตร
การมีสติ ฉบับเด็ก ๆ เป็นอย่างไร ฝึกลูกให้มีสติ ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย
การมีสติ ฉบับเด็ก ๆ เป็นอย่างไร ฝึกลูกให้มีสติ ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย
ส่งเสริมพัฒนาการเด็กยุคใหม่ด้วย ทักษะ Executive Function
ส่งเสริมพัฒนาการเด็กยุคใหม่ด้วย ทักษะ Executive Function
ปี 2567 เด็กป่วยด้วยโรคอะไร? LUMA แบ่งปันสถิติให้เข้าใจมากขึ้น
ปี 2567 เด็กป่วยด้วยโรคอะไร? LUMA แบ่งปันสถิติให้เข้าใจมากขึ้น
Value Health (Kids) ประกันสุขภาพสำหรับลูกน้อย เจ้าของรางวัล Most Promising จากเวที TAP Awards 2023
Value Health (Kids) ประกันสุขภาพสำหรับลูกน้อย เจ้าของรางวัล Most Promising จากเวที TAP Awards 2023

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

PP.

  • หน้าแรก
  • /
  • ชีวิตครอบครัว
  • /
  • พลังของการเล่านิทาน ในยุคที่ทุกอย่างเป็นวิดีโอ ทำไมเด็กยังต้องฟังนิทาน
แชร์ :
  • ลูกบ่นเหนื่อย พ่อแม่ควรตอบอย่างไร? ให้ลูกได้ 'พลังใจ' ไม่ใช่ 'แผลใจ'

    ลูกบ่นเหนื่อย พ่อแม่ควรตอบอย่างไร? ให้ลูกได้ 'พลังใจ' ไม่ใช่ 'แผลใจ'

  • ลูกติดมือถือ? ส่อง 4 ภัยออนไลน์ในเด็ก ที่พ่อแม่ต้องรู้ทัน พร้อมวิธีป้องกัน

    ลูกติดมือถือ? ส่อง 4 ภัยออนไลน์ในเด็ก ที่พ่อแม่ต้องรู้ทัน พร้อมวิธีป้องกัน

  • ค่าเทอมลูก ควรเป็นกี่ % ของรายได้ คู่มือวางแผนการเงินฉบับพ่อแม่ยุคใหม่

    ค่าเทอมลูก ควรเป็นกี่ % ของรายได้ คู่มือวางแผนการเงินฉบับพ่อแม่ยุคใหม่

powered by
  • ลูกบ่นเหนื่อย พ่อแม่ควรตอบอย่างไร? ให้ลูกได้ 'พลังใจ' ไม่ใช่ 'แผลใจ'

    ลูกบ่นเหนื่อย พ่อแม่ควรตอบอย่างไร? ให้ลูกได้ 'พลังใจ' ไม่ใช่ 'แผลใจ'

  • ลูกติดมือถือ? ส่อง 4 ภัยออนไลน์ในเด็ก ที่พ่อแม่ต้องรู้ทัน พร้อมวิธีป้องกัน

    ลูกติดมือถือ? ส่อง 4 ภัยออนไลน์ในเด็ก ที่พ่อแม่ต้องรู้ทัน พร้อมวิธีป้องกัน

  • ค่าเทอมลูก ควรเป็นกี่ % ของรายได้ คู่มือวางแผนการเงินฉบับพ่อแม่ยุคใหม่

    ค่าเทอมลูก ควรเป็นกี่ % ของรายได้ คู่มือวางแผนการเงินฉบับพ่อแม่ยุคใหม่

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • พัฒนาการลูก
  • ชีวิตครอบครัว
  • ระยะการตั้งครรภ์
  • โภชนาการ
  • ไลฟ์สไตล์
  • TAP สังคมออนไลน์
  • ติดต่อโฆษณา
  • ติดต่อเรา
  • Influencer Marketing (KOL)
  • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Vietnam flag Vietnam
© Copyright theAsianparent 2025. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว