ดุลูกยังไงไม่ให้เกิดบาดแผลในใจ เทคนิคสร้าง “เด็กดี” ด้วยความเข้าใจ

lead image

เมื่อลูกทำผิด เราก็ต้องดุและสอนสั่งเป็นธรรมดา แต่ยุคนี้ต้องมีวิธีที่แยบยล ดุได้ ลงโทษได้ แต่ต้องไม่สร้างบาดแผลทางใจให้ลูกนะคะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

“ไม้เรียว” เคยเป็นสัญลักษณ์ของการสั่งสอนลูกที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจจะคุ้นเคยกันอยู่บ้าง แต่ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การสร้าง “วินัยเชิงบวก” ได้กลายมาเป็นแนวทางการเลี้ยงดูที่ได้รับความนิยมมากกว่า เพราะเน้นการทำความเข้าใจ สื่อสาร และเคารพในตัวตนของเด็ก การดุลูกจึงไม่ใช่แค่การ “ลงโทษ” หรือ “ทำให้กลัว” แต่เป็นการ “สอน” ให้ลูกรู้จักผิดชอบชั่วดี และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ บทความนี้ จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปทลายกำแพงความเชื่อเดิมเกี่ยวกับการดุลูก ค้นให้พบเทคนิค ดุลูกยังไงไม่ให้เกิดบาดแผลในใจ เทคนิคสร้าง “เด็กดี” แบบ “เข้าใจ” และไม่ “ทำร้าย” จิตใจลูกค่ะ

ทำไม เด็กๆ ทักทำผิด

ลูกน้อยทำความผิด เข้าใจ ยอมรับ และเติบโตไปด้วยกัน

“ทำไมลูกถึงทำแบบนี้?” “โตขึ้นจะนิสัยไม่ดีหรือเปล่า?” อาจเป็นความกังวลใจของคุณพ่อคุณแม่เมื่อลูกน้อยทำความผิด ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ากังวลใจที่พอจะเข้าใจได้ค่ะ แต่เมื่อลูกทำผิดก่อนจะรีบร้อนดุหรือลงโทษ อยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองปรับมุมมอง ในอีกด้านหนึ่ง เพื่อมอง “ความผิดพลาด” เป็น “โอกาส” ในการเรียนรู้ และเติบโตไปด้วยกันดีกว่าค่ะ

เริ่มจากการค้นให้ลูกถึงเหตุผลว่า ทำไมลูกน้อยถึงทำผิด ซึ่งเกิดได้จากหลายปัจจัยมาก ดังนี้

ทำไม? ลูกถึงทำผิด มีปัจจัยไรเป็นสาเหตุได้บ้าง

พัฒนาการ เด็กๆ โดยเฉพาะเด็กเล็กนั้น ยังแยกแยะถูกผิด และควบคุมตัวเองได้ไม่ดีนักค่ะ การทำผิดพลาด จึงเป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้
อยากรู้อยากเห็น โลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจค่ะ สำหรับเด็กๆ การได้ลองผิดลองถูกคือวิธีการเรียนรู้และ ค้นพบสิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวเอง
เลียนแบบ เด็กจะเรียนรู้จากการสังเกต และเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ และคนรอบข้าง ดังนั้น พฤติกรรม “ไม่เหมาะสม” ของลูก อาจสะท้อนพฤติกรรมของผู้ใหญ่ก็เป็นได้ค่ะ
เรียกร้องความสนใจ บางครั้งพฤติกรรม “ดื้อ” หรือ “แกล้ง” อาจเป็นสัญญาณว่าลูกต้องการเวลา และความสนใจจากพ่อแม่มากขึ้น

เมื่อลูกทำผิด ควรจัดการยังไง? เทคนิค ดุลูกยังไงไม่ให้เกิดบาดแผลในใจ

การสร้างวินัยเชิงบวกด้วยความเข้าใจ ดุลูกยังไงไม่ให้เกิดบาดแผลในใจ นั้น มีขั้นตอนและวิธีที่จะแนะนำคุณพ่อคุณแม่ดังต่อไปนี้ค่ะ

  1. ควบคุมอารมณ์

“สติ” คือสิ่งสำคัญมาสำหรับการเป็นคุณพ่อคุณแม่นะคะ เมื่อไรก็ตามที่ลูกทำผิด “ตั้งสติ” ก่อนค่ะ แล้วควบคุมอารมณ์โกรธ หรือไม่พอใจของตัวเองให้ได้ อย่า “ลงโทษ” ลูก ด้วยความโมโห หรืออารมณ์ชั่ววูบ ท่องไว้เพื่อเตือนใจว่า ประสบการณ์ เหตุผล และความรู้ผิดถูกของเรากับลูกนั้น “คนละเลเวล” กัน จะใช้มาตรฐานของวัยวุฒิตัวเองตัดสินลงโทษลูกในทันทีทันใดไม่ได้ และควรหลีกเลี่ยงคำพูดที่รุนแรง หรือเสียงตวาดที่แรงและดุดันเกินไป แต่ให้ใช้น้ำเสียงที่นิ่ง สงบ และมีเหตุผลค่ะ

คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก เสี่ยงแผลในใจ-ต่อต้าน

คำสั่งห้าม เช่น “ไม่ อย่า หยุด”
  • จะทำให้ลูกขาดความมั่นใจ เพราะกลัวทำผิด หรือทำแล้วไม่ถูกใจผู้อื่น
  • ลูกจะไม่กล้าคิดและไม่กล้าทดลองทำสิ่งใหม่ๆ อาจเสียโอกาสที่จะเรียนรู้ว่าตัวเองมีความสามารถด้านไหน ชอบหรือไม่ชอบอะไร และทำอะไรได้
  • ใช้คำห้ามได้แต่ต้องอธิบายให้ลูกเข้าใจถึงเหตุผลว่า ทำสิ่งนี้ไม่ได้เพราะอะไร
คำพูดขู่
  • ทำให้ลูกเกิดความหวาดระแวง กลายเป็นคนขี้กลัว
  • สร้างความเข้าใจผิดให้กับลูกว่า การได้มาซึ่งความรักจะต้องมีเงื่อนไขเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจนำไปสู่การสูญเสียความนับถือในตัวเองและผู้อื่น
  • ลูกไม่สามารถใช้ความคิดและเหตุผลในการไตร่ตรองสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เกิดความเปราะบางทางด้านจิตใจ
  • เมื่อเจอปัญหา ลูกจะกลัวและไม่สามารถหาทางแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง
พูดเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น
  • เป็นการทำร้ายจิตใจ และรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า ไม่มีความสามารถ ไม่เก่งหรือไม่ดีพอเท่ากับเด็กคนอื่น
  • ส่งผลให้ลูกกลายเป็นเด็กที่ไม่กล้าแสดงออก ขาดความมั่นใจ
  • อาจทำให้เกิดนิสัยขี้อิจฉา สร้างความเกลียดชังให้กับคนที่ถูกนำมาเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัว
  • ลูกอาจต่อต้าน บางคนอาจแสดงออกด้วยความก้าวร้าว รุนแรง และพยายามทำตัวเองให้อยู่ด้านตรงกันข้ามกับที่คุณพ่อคุณแม่ต้องการ  
พูดเชิงบังคับ เคี่ยวเข็ญ
  • ลูกรู้สึกไม่มีคุณค่า ไม่กล้าแสดงออก เครียด และกดดันตัวเอง
  • กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย
  • ไม่ไว้ใจผู้อื่น หรือมุ่งสู่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจคนรอบข้าง
  • อาจแสดงความก้าวร้าว รุนแรง ต่อต้านผู้ปกครอง
ตวาดหรือพูดด้วยอารมณ์ เมื่อโมโห หรือขาดสติ
  • เกิดการจดจำและนำไปลอกเลียนแบบได้ เพราะลูกจะซึมซับและคิดว่าการพูดไม่ดีเป็นสิ่งที่ทำได้
  • กลายเป็นเด็กก้าวร้าวในอนาคต
สั่งลูกไม่ให้ร้องไห้
  • ลูกอาจรู้สึกกลัวมากขึ้น และไม่สามารถหยุดร้อง หรือจัดการกับอารมณ์ตัวเองได้
  • รู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็นทุกข์อยู่
ใช้คำพูดล้อเลียน
  • รู้สึกอาย ไม่มั่นใจในตัวเอง
  • หวาดกลัวที่จะโดนล้อเลียนจากครอบครัวและผู้อื่น
  • ทำให้ลูกไม่ชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็น จนอาจกลายเป็นปมในใจได้
พูดเข้าข้างเมื่อลูกทำผิด
  • เป็นการสร้างนิสัยเอาแต่ใจและไม่ยอมคนให้กับลูก เป็นการตามใจลูกในทางที่ผิด
  • ทำให้ลูกไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี เมื่อโตขึ้นก็จะรับไม่ได้เมื่อถูกต่อว่าหรือตำหนิ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  1. ฟังความรู้สึกของลูก

โดยคุณพ่อคุณแม่ต้องเปิดใจรับฟัง ให้โอกาสลูก “อธิบาย” หรือ “แก้ตัว” เพื่อฟังความรู้สึกของลูกด้วยความเข้าใจ มองในมุมของความเป็นเด็ก และพยายามเข้าใจสถานการณ์ และความคิดของลูก

  1. ดุที่ “พฤติกรรม” ไม่ใช่ “ตัวตน”

เวลาลูกทำผิดให้ “ดุที่การกระทำ” ของลูก เช่น “หนูไม่ควรตีน้องนะ มันทำให้เจ็บ” แทนที่จะ “ดุที่ตัวตน” เช่น “หนูเป็นเด็กไม่ดี ชอบรังแกน้อง” ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องแยกแยะ “คน” กับ “ปัญหา” ออกจากกัน ให้ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่รักและยอมรับในตัวลูกเสมอ แม้ว่าลูกจะทำผิด แต่พ่อแม่ไม่พอใจในพฤติกรรมนั้นๆ ไม่ใช่ไม่พอใจตัวลูก

  1. อธิบายเหตุผล

ภายหลังจากการดุที่พฤติกรรมแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนให้ลูกเข้าใจโดยอธิบายเหตุผลว่า ทำไมพ่อแม่ถึงดุ เช่น “ที่แม่ดุ เพราะแม่เป็นห่วง กลัวหนูจะได้รับอันตราย” รวมถึงควรสร้างกฎและขอบเขตให้ลูกเข้าใจผลที่จะตามมา เมื่อลูกละเมิดกฎ ที่สำคัญคือ ควรเป็นกฎที่บังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันในบ้าน ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่ หรือลูกน้อย ต่างต้องยึดเป็นหลักปฏิบัติร่วมกัน โดยควรได้รับความยินยอมจากสมาชิกภายในบ้านทุกคนในการตั้งกฎกติกาด้วย

  1. สอน และแก้ไข

ด้วยการให้คำแนะนำ และให้อภัย คือ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • ให้คำแนะนำ หลังจากดุ ให้ “สอน” และ “แนะนำ” วิธีที่ถูกต้องในการแก้ไขปัญหา หรือปรับปรุงพฤติกรรม
  • ให้อภัย เมื่อลูก “สำนึกผิด” และ “ขอโทษ” คุณพ่อคุณแม่ต้อง “ให้อภัย” ลูก และให้โอกาสลูก “แก้ตัว” และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ดีขึ้น
  1. แสดงความรัก

หลังจากดุลูกด้วยเหตุผลแล้ว สิ่งสำคัญที่อย่าละเลยคือ การมอบความรักให้กับลูกเหมือนเดิน ด้วยการกอดและบอกรักลูก เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัย รวมถึงเกิดความมั่นใจว่าพ่อแม่ยังคงรักลูกเสมอ นอกจากนี้ ยังควรใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เช่น เล่นเกม อ่านหนังสือ เพื่อช่วยกระชับความสัมพันธ์ และเยียวยาความรู้สึกต่างๆ ที่อาจเกิดตามมาหลังการถูกดุหรือถูกลงโทษด้วยค่ะ

ดุลูกยังไงไม่ให้เกิดบาดแผลในใจ วิธีลงโทษลูกอย่างสร้างสรรค์

จริงๆ แล้วการปรับพฤติกรรมลูกน้อยนั้นมีหลักการง่ายๆ คือ เพิ่มพฤติกรรมดีด้วยการให้แรงเสริม เช่น คำชม รางวัล แต่หากอยากลดพฤติกรรมไม่ดี ก็ต้องลงโทษ ซึ่งการลงโทษนั้นมีหลายวิธีค่ะ แต่เราขอแนะนำเฉพาะวิธีที่จะไม่สร้างบาดแผลในใจให้กับลูก หรือการลงโทษที่สร้างสรรค์ ดังนี้

  1. ใช้กฎ Time out

คือ ให้ลูกหยุดทำกิจกรรมชั่วคราว และสงบอารมณ์ด้วยตัวเอง ทำได้โดยตั้งกติกาให้ลูกรับรู้ว่าเมื่อมีอารมณ์หรือพฤติกรรมไม่เหมาะสม ต้องมาอยู่ในบริเวณที่กำหนดไว้จนกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ โดยต้องเป็นบริเวณที่ปลอดภัย สงบ ไม่มีสิ่งกระตุ้น เมื่อลูกสงบแล้ว สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำ Time in ทันที โดยเข้าไปชื่นชมที่ลูกสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ กอดให้กำลังใจ ตามด้วยการสอนสิ่งที่ถูกต้องเพื่อไม่ให้ลูกทำผิดซ้ำค่ะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  1. การตัดสิทธิ์

หมายถึงการงดกิจกรรม หรือหยิบจับ เล่น สิ่งของที่ลูกชอบ แต่ก็ควรมีการทำข้อตกลงร่วมกันก่อนล่วงหน้าว่ามีกติกาข้อนี้ภายในบ้าน เช่น งดการดูการ์ตูน งดกินขนมที่ชอบ งดการเล่นของเล่น เมื่อลูกทำผิดหรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม

  1. ให้แสดงความรับผิดชอบ

เมื่อลูกทำผิด นอกจากต้องเรียนรู้และยอมรับผิดแล้ว ยังต้องเรียนรู้การแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปด้วยค่ะ โดยควรลูกให้ทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ และสร้างสรรค์ แต่ต้องเป็นกิจกรรมที่ลูกไม่ชอบนักนะคะ (เพราะเป็นการลงโทษนี่นา) เช่น ให้ทำงานบ้านที่ลูกสามารถทำได้ หรือให้เก็บออมเงินเพื่อชดเชยข้าวของที่เสียหาย เป็นต้น

  1. ลงโทษด้วยการวางเฉย

ไม่ได้บอกว่าให้เลิกสนใจลูกนะคะ แต่หมายถึง ต้องไม่ให้ความสนใจใดๆ ใช้กับพฤติกรรมที่เรียกร้องความสนใจของลูก ซึ่งต้องอยู่ในขอบเขตที่ไม่มีอันตรายด้วย เช่น ส่งเสียงดัง งอแง แต่หากมีพฤติกรรมรุนแรง อย่างทุบตีตัวเองหรือคนอื่น พังหรือขว้างปาสิ่งของ ต้องจับหยุดทันทีเพื่อป้องกันอันตราย และให้ลูกเรียนรู้ว่าทำพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้ เมื่อพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจหยุดลงให้รีบชื่นชมทันที เพื่อให้แรงเสริมกับพฤติกรรมดี ซึ่งลูกจะดีขึ้นเองโดยไม่ต้องใช้การดุ บ่น หรือเตือนบ่อยๆ ค่ะ

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่จะทำให้การลงโทษอย่างสร้างสรรค์มีประสิทธิภาพสูงสุด คือ การที่คุณพ่อคุณแม่มีสติรู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองก่อนการลงโทษลูก ไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม และต้องระลึกไว้ว่าการลงโทษอย่างเดียวเป็นแค่การลดพฤติกรรมไม่ดีเท่านั้น หากจะให้เกิดประโยชน์มากที่สุดควรใช้ควบคู่กับการให้แรงเสริมทางบวกกับพฤติกรรมดีๆ เสมอ เมื่อเกิดพฤติกรรมดีมากขึ้น พฤติกรรมไม่ดีจะค่อยๆ หายไปเองค่ะ

การดุลูกเป็น “ศิลปะ” อย่างหนึ่งที่ต้องใช้ “ความรัก” “ความเข้าใจ” และ “สติปัญญา” นะคะ ซึ่งการดุที่ถูกวิธีจะช่วยให้ลูกเรียนรู้ เติบโต และพัฒนาเป็นคนดีได้อย่างแท้จริง เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกบ้านนะคะ

 

 

ที่มา : www.pptvhd36.com , สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

สอนลูกให้รู้เท่าทันควันบุหรี่ เมื่อขนมหน้า ร.ร. อาจเพิ่มความเสี่ยงเด็กสูบบุหรี่ไฟฟ้า

7 วิธี สอนลูกให้มี Logical Thinking รู้ถูกผิด รู้หน้าที่ อยู่เป็น คิดได้

อย่าเพิ่งตื่นตูม! ลูกพูดคำหยาบ กำราบอย่างนุ่มนวลได้ด้วย 7 เทคนิคง่ายๆ

บทความโดย

จันทนา ชัยมี