ความเชื่อที่ว่าอาการ แพ้ท้องบอกเพศลูก ได้ โดยเฉพาะความอยากอาหารที่เฉพาะเจาะจง ไม่ว่าจะเป็นการอยากของเปรี้ยว/ของเค็มจะได้ลูกชาย หรือถ้าอยากของหวานจะได้ลูกสาวนั้น เป็นเรื่องที่สืบทอดและพูดคุยกันมารุ่นสู่รุ่น แต่ในมุมมองทางการแพทย์และความจริงทางวิทยาศาสตร์ ความเชื่อนี้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันในทุกแง่มุมกันค่ะ
เจาะลึกสาเหตุที่แท้จริงของ “อาการอยากอาหาร” ในคนท้อง
ก่อนที่เราจะไปหาคำตอบว่าการ แพ้ท้องบอกเพศลูก ได้หรือไม่นั้น เราต้องทำความเข้าใจถึงต้นตอที่แท้จริงของอาการอยากอาหารของคุณแม่ตั้งครรภ์กันก่อนนะคะ อาการนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด มีสถิติว่าคุณแม่ตั้งครรภ์กว่า 50-90% ทั่วโลกล้วนเคยมีประสบการณ์นี้ ซึ่งสาเหตุหลักในทางการแพทย์นั้นซับซ้อนและมาจากหลายปัจจัยร่วมกัน ดังนี้
1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างมหาศาล
นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดค่ะ ตลอดการตั้งครรภ์ร่างกายของคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลายชนิดในระดับที่สูงกว่าปกติอย่างมาก
- hCG (Human Chorionic Gonadotropin): เป็นฮอร์โมนตัวแรกๆ ที่ร่างกายผลิตขึ้นหลังการปฏิสนธิ และเป็นตัวที่ทำให้ผลตรวจการตั้งครรภ์ขึ้นสองขีดนั่นเอง ระดับ hCG จะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาสแรก ซึ่งเชื่อว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือ “อาการแพ้ท้อง” และยังส่งผลต่อการรับรู้รสชาติและกลิ่น ทำให้คุณแม่อาจจะเหม็นอาหารที่เคยชอบ หรืออยากกินอาหารที่ไม่เคยนึกอยากมาก่อน
- เอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone): ฮอร์โมนเพศหญิงสองชนิดนี้จะเพิ่มสูงขึ้นตลอดการตั้งครรภ์ มีบทบาทสำคัญในการดูแลการตั้งครรภ์ให้ดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น และยังมีผลข้างเคียงต่อประสาทสัมผัสต่างๆ โดยเฉพาะการรับรสและกลิ่นที่ไวขึ้นเป็นพิเศษ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณแม่บางคนถึงได้กลิ่นดีกว่าปกติ หรือรู้สึกว่ารสชาติอาหารเปลี่ยนไป ซึ่งนำไปสู่ความอยากอาหารบางอย่างที่เข้มข้นขึ้นได้
2. ความต้องการสารอาหารของร่างกาย
ร่างกายของเรามหัศจรรย์กว่าที่คิดค่ะ บางครั้งความอยากอาหารอาจเป็นสัญญาณที่ร่างกายพยายามสื่อสารว่ากำลังต้องการสารอาหารบางอย่างเพิ่มเป็นพิเศษเพื่อไปใช้ในการสร้างอวัยวะและพัฒนาร่างกายของทารกน้อย
- อยากของเค็ม: อาจสัมพันธ์กับการที่ร่างกายของคุณแม่มีปริมาตรเลือดเพิ่มขึ้นเกือบ 50% ตลอดการตั้งครรภ์ ทำให้ร่างกายต้องการโซเดียมเพื่อรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย
- อยากผลิตภัณฑ์จากนม ไอศกรีม หรือชีส: อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายต้องการแคลเซียมและโปรตีนเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในการสร้างกระดูกและฟันของทารก
- อยากกินเนื้อแดง: อาจบ่งชี้ว่าร่างกายต้องการธาตุเหล็กและโปรตีนเพิ่ม เพื่อป้องกันภาวะโลหิตจางและเสริมสร้างกล้ามเนื้อของทั้งแม่และลูก
3. ปัจจัยทางด้านจิตใจและสภาพแวดล้อม
การตั้งครรภ์เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ ความอยากอาหารบางครั้งจึงเป็นกลไกทางจิตใจที่ช่วยปลอบประโลมคุณแม่ได้ หรือที่เรียกว่า “Comfort Food” การได้ทานของที่ชอบสามารถช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวลได้ นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน เช่น หากคุณแม่เห็นโฆษณาอาหารชนิดใดบ่อยๆ ก็อาจกระตุ้นให้เกิดความอยากได้เช่นกัน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าความอยากอาหารของคุณแม่นั้นมีที่มาที่ไปตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนและความต้องการของร่างกายเป็นหลัก ไม่ได้มีปัจจัยจากเพศของทารกในครรภ์มาเกี่ยวข้องโดยตรงค่ะ

งานวิจัยและสถิติชี้ แพ้ท้องบอกเพศลูก ได้หรือไม่?
สำหรับความเชื่อเรื่องอยากกินเปรี้ยวได้ลูกชาย อยากกินหวานได้ลูกสาว ในทางการแพทย์ยังไม่มีงานวิจัยขนาดใหญ่ที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับ สามารถพิสูจน์หรือยืนยันความเชื่อมโยงระหว่างประเภทของอาหารที่คุณแม่อยากกินกับเพศของทารกในครรภ์ได้ค่ะ
ความพยายามในการศึกษาเรื่องนี้มีมาโดยตลอด แต่ผลลัพธ์ที่ได้ยังไม่มีนัยสำคัญทางสถิติพอที่จะสรุปเป็นข้อเท็จจริงได้
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ได้รับการยอมรับและตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Psychology ในปี 2014 ได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความอยากอาหารในหญิงตั้งครรภ์ ผลการศึกษาพบว่า อาหารที่คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ต้องการมากที่สุดคือ ของหวาน (เช่น ช็อกโกแลต, ไอศกรีม), ผลไม้, และอาหารที่มีไขมันสูง โดยไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างคุณแม่ที่อุ้มท้องทารกเพศชายและเพศหญิง นั่นหมายความว่า ไม่ว่าในท้องจะเป็นลูกสาวหรือลูกชาย คุณแม่ก็มีแนวโน้มที่จะอยากทานของหวานได้เหมือนๆ กัน
-
หลักการทางสถิติและความน่าจะเป็น
นี่คือจุดที่สำคัญที่สุดที่ช่วยอธิบายเรื่องนี้ได้ค่ะ โดยธรรมชาติแล้ว โอกาสในการมีลูกชายหรือลูกสาวนั้นมีอัตราส่วนอยู่ที่ประมาณ 50/50 อยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อคุณแม่ท่านหนึ่งอยากทานของเปรี้ยวแล้วได้ลูกชายจริงๆ ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ถึง 50% ซึ่งเป็นความบังเอิญทางสถิติเท่านั้นเอง สมองของเรามีแนวโน้มที่จะจดจำสิ่งที่ “ทายถูก” หรือที่เรียกว่า “อคติเพื่อยืนยัน (Confirmation Bias)” ได้ดีกว่าสิ่งที่ทายผิด ทำให้ความเชื่อเหล่านี้ยังคงถูกพูดถึงและส่งต่อกันไปเรื่อยๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงมีคุณแม่ที่อยากของเปรี้ยวแล้วได้ลูกสาว หรืออยากของหวานแล้วได้ลูกชายอีกมากมาย
สรุปได้ว่า ความเชื่อเรื่อง แพ้ท้องบอกเพศลูก นั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าสนุกๆ ที่ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับอย่างเพียงพอค่ะ
ถ้าอย่างนั้น… อะไรที่บอกเพศลูกได้อย่างแม่นยำ?
ในเมื่อความอยากอาหารไม่สามารถใช้ทายเพศลูกได้ แล้วมีวิธีไหนบ้างที่เชื่อถือได้? ในทางการแพทย์ปัจจุบัน เรามีเทคโนโลยีที่สามารถระบุเพศของทารกได้อย่างแม่นยำหลายวิธีค่ะ
1. การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound)
เป็นวิธีมาตรฐานที่ปลอดภัยและนิยมใช้กันมากที่สุด โดยสูตินรีแพทย์จะสามารถมองเห็นอวัยวะเพศของทารกได้ชัดเจนในช่วงไตรมาสที่สอง หรือประมาณอายุครรภ์ 18-22 สัปดาห์ขึ้นไป ความแม่นยำของวิธีนี้สูงถึง 95-99% ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ท่าทางของทารกในขณะตรวจ ปริมาณน้ำคร่ำ และความชำนาญของแพทย์ผู้ตรวจ
2. การตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซม (NIPT – Non-Invasive Prenatal Testing)
การตรวจ NIPT เป็นการเจาะเลือดของคุณแม่เพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์หา DNA ของลูกที่ปะปนอยู่ในกระแสเลือด วิธีนี้สามารถทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป และนอกจากจะช่วยคัดกรองความเสี่ยงของกลุ่มอาการดาวน์และโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ ได้แล้ว ยังสามารถบอกเพศของทารกได้ด้วยความแม่นยำสูงถึง 99%
3. การเจาะน้ำคร่ำ (Amniocentesis) หรือ การตรวจชิ้นเนื้อรก (Chorionic Villus Sampling – CVS)
เจาะน้ำคร่ำเป็นการตรวจวินิจฉัยที่มักจะทำในกรณีที่คุณแม่มีความเสี่ยงสูง เช่น อายุมาก หรือผลตรวจคัดกรองผิดปกติ วิธีเหล่านี้สามารถบอกเพศและความผิดปกติทางโครโมโซมได้แม่นยำ 100% แต่เนื่องจากเป็นหัตถการที่มีความเสี่ยงต่อการแท้งเล็กน้อย จึงไม่ได้ทำในคุณแม่ทุกราย

จัดการกับความอยากอาหารอย่างไรให้ “สุขภาพดี” ทั้งแม่และลูก
แม้ว่าการ แพ้ท้องบอกเพศลูก จะไม่เป็นความจริง แต่ “ความอยากอาหาร” นั้นเป็นเรื่องจริงที่คุณแม่ต้องเผชิญ การจัดการกับความอยากเหล่านี้อย่างชาญฉลาดคือหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพดีตลอดการตั้งครรภ์ค่ะ
- รับฟังร่างกาย แต่ใช้สติกำกับ: การตามใจปากบ้างไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะและสมดุล
- เลือกกินของทดแทนที่ดีต่อสุขภาพ:
- อยากของหวาน: แทนที่จะทานเค้กหรือไอศกรีม ลองเปลี่ยนเป็นผลไม้สดรสหวาน เช่น มะม่วงสุก, กล้วย, อินทผลัม หรืออาจจะเป็นกรีกโยเกิร์ตรสธรรมชาติใส่น้ำผึ้งเล็กน้อยและผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
- อยากของเค็ม: แทนที่จะทานมันฝรั่งทอดกรอบหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ลองเปลี่ยนเป็นถั่วอัลมอนด์อบเกลือต่ำ, ถั่วแระญี่ปุ่น, ข้าวโพดต้ม, หรือปลาเล็กปลาน้อย
- อยากของเปรี้ยว: เลือกทานผลไม้รสเปรี้ยวโดยตรง เช่น ส้ม, สับปะรด, กีวี, มะม่วงดิบ (ทานคู่กับเครื่องจิ้มที่น้ำตาลและโซเดียมต่ำ) หรือดื่มน้ำเปล่าผสมมะนาวฝานเพื่อความสดชื่น
- ข้อควรระวังเป็นพิเศษ:
- อยากทานของแปลกที่ไม่ใช่อาหาร: หากคุณแม่มีความรู้สึกอยากทานของที่ไม่ใช่อาหารอย่างรุนแรง เช่น ดิน, ทราย, ชอล์ก, แป้งดิบ, หรือน้ำแข็ง ต้องรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณของการขาดแร่ธาตุที่สำคัญอย่างรุนแรง เช่น ธาตุเหล็กหรือสังกะสี
- ระวังน้ำตาลและโซเดียมแฝง: การทานของหวานและของเค็มจัดมากเกินไปต่อเนื่อง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ และภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ได้
สนุกกับการทาย แต่อย่าจริงจัง
โดยสรุปแล้ว ความเชื่อที่ว่าอาการ แพ้ท้องบอกเพศลูก ได้นั้น เป็นเพียงตำนานและความเชื่อที่ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาสนับสนุนค่ะ ความอยากอาหารของคุณแม่เป็นผลลัพธ์ที่ซับซ้อนจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปและความต้องการสารอาหารของร่างกายในช่วงเวลาพิเศษนี้
การทายเพศลูกจากอาการแพ้ท้องหรือความอยากอาหารสามารถเป็นกิจกรรมสนุกๆ ในครอบครัว แต่ไม่ควรยึดถือเป็นเรื่องจริงจังจนเกิดความเครียดนะคะ
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าอาการแพ้ท้องจะบอกเพศลูกได้แม่นยำหรือไม่ หรือไม่ว่าทารกในครรภ์จะเป็นเพศหญิงหรือชาย สิ่งที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือการดูแลสุขภาพของคุณแม่ให้สมบูรณ์แข็งแรงที่สุด ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ พักผ่อนให้เพียงพอ และมาฝากครรภ์ตามที่คุณหมอนัดอย่างสม่ำเสมอ เพราะการได้เห็นลูกน้อยลืมตาดูโลกอย่างปลอดภัยและมีสุขภาพที่แข็งแรง คือของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับครอบครัวค่ะ
ที่มา : Frontiers in psychology , Cleveland Clinic , Mayo Clinic , ACOG
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
12 วิธีรับมืออาการแพ้ท้อง แพ้ท้อง ทำไงดี? ให้สุขภาพดีทั้งแม่และลูก
ทายเพศลูกตามความเชื่อ จริงไหม ท้องแหลมได้ลูกชาย ท้องกลมได้ลูกสาว
ทายเพศลูกตามความเชื่อโบราณ สีปัสสาวะบอกเพศลูก ผิวแม่ท้องบอกเพศลูก จริงไหม?
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!