การที่ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ เป็นปัญหาที่พ่อแม่หลายคนมักพบเจอ โดยเฉพาะในช่วงวัยอนุบาลและประถมศึกษา ซึ่งอาจทำให้รู้สึกกังวลและไม่แน่ใจว่าเกิดจากอะไร และควรจะดูแลอย่างไร เพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพดี บทความนี้จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจว่า ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อย เป็นสัญญาณเตือนอะไรหรือเปล่า มีสาเหตุ วิธีป้องกัน และการดูแลอย่างไร

เลือดกำเดา คืออะไร? ทำไม ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อย
เลือดกำเดา คือ เลือดที่ออกทางจมูก ซึ่งอาการ เลือดกำเดาไหล (Epistaxis/Nosebleeds) คือ ภาวะที่มีเลือดไหลออกทางโพรงจมูกข้างเดียว หรือทั้งสองข้าง เนื่องจากเส้นเลือดฝอยซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากภายในบริเวณโพรงจมูกแตก ฉีกขาด จนทำให้มีเลือดไหลออกมา และเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่มักพบได้ในเด็กเล็กวัยอนุบาลไปจนถึงวัยประถมได้บ่อยกว่ากลุ่มอื่นๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เลือดกำเดาไหลในเด็กส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตราย ยกเว้นบางกรณีที่เลือดกำเดาไหลอาจเป็นสัญญาณของความผิดปกติบางอย่าง หรือโรคซับซ้อนอื่นๆ ได้ เช่น เนื้องอกในจมูกหรือโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก ความผิดปกติของหลอดเลือดบริเวณโพรงจมูก หรือเลือดแข็งตัวช้าผิดปกติ โดยสาเหตุที่ทำให้ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อยมีหลายปัจจัย เช่น
อากาศที่แห้งเกินไป ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกแห้งและเกิดการแตกของหลอดเลือดภายในจมูกได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวหรือในห้องที่เปิดเครื่องปรับอากาศที่มีความชื้นต่ำ อาจทำให้รู้สึกคันซึ่งหากลูกแคะ แกะ หรือเกาจมูก จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการเลือดกำเดาไหลมากขึ้น
การแคะ แกะ เกาจมูก เป็นพฤติกรรมที่เด็กๆ มักทำ ทำให้เส้นเลือดฝอยในจมูกแตกและมีเลือดออก
-
ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
หากลูกน้อยมีอาการหวัด หรือโรคภูมิแพ้ ซึ่งทำให้มีน้ำมูกมาก ลูกต้องใช้มือเช็ดหรือขยี้จมูกบ่อยๆ เสี่ยงทำให้เยื่อบุโพรงจมูกบวมและอักเสบ และเลือดออกง่ายขึ้น
การเกิดอุบัติเหตุหรือถูกกระแทกบริเวณจมูก หรือใบหน้า ทำให้เส้นเลือดฝอยในจมูกแตกและมีเลือดออก หรือเด็กเล็กบางคนอาจใช้ของเล่นแยงจมูก ส่งผลให้หลอดเลือดภายในจมูกเกิดความเสียหายและมีเลือดกำเดาไหลได้
ในบางกรณีการที่ ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อย อาจเป็นสัญญาณของภาวะเลือดออกผิดปกติ เช่น โรคฮีโมฟีเลีย หรือเกล็ดเลือดต่ำ
ยาบางชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้ คัน หรือคัดจมูก อาจส่งผลให้เนื้อเยื่อภายในโพรงจมูกแห้งและเสี่ยงต่อการเกิดอาการเลือดกำเดาไหลได้ง่ายขึ้น บางกรณีอาจเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดหรือความดันในจมูกที่สูงขึ้นได้ด้วย
นอกจากนี้ การที่ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อยยังอาจเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่นได้ เช่น การสูดดมสารพิษ การติดเชื้อแบคทีเรีย ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ มีโครงสร้างจมูกผิดปกติ หรือมีเนื้องอกภายในจมูก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้ยังถือว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยค่ะ
|
ตำแหน่งที่มีเลือดกำเดาออกในจมูก
|
โพรงจมูกส่วนหน้า |
พบการเกิดเลือดออกได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็ก เนื่องจากหลอดเลือดฝอยบริเวณนี้มักแตกได้ง่าย |
โพรงจมูกส่วนหลัง |
มักเกี่ยวข้องกับหลอดเลือดที่ใหญ่กว่าบริเวณด้านหลังโพรงจมูก ซึ่งพบได้น้อยกว่าประเภทแรก |

วิธีดูแลเมื่อลูกเลือดกำเดาไหล
หากลูกน้อยมีอาการเลือดกำเดาไหล คุณพ่อคุณแม่ควรดูแลและปฐมพยาบาลตามขั้นตอนต่อไปนี้ค่ะ
- ให้ลูกนั่งตัวตรงและโน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนลงไปในคอ ซึ่งอาจทำให้ลูกสำลักหรืออาเจียน
- บีบจมูกส่วนที่อ่อนนุ่มเบาๆ ค้างไว้ประมาณ 10-15 นาที โดยให้ลูกหายใจทางปาก จะช่วยหยุดเลือดได้เร็วขึ้น
- ประคบเย็นบริเวณสันจมูก เพื่อลดการบวม ช่วยให้เส้นเลือดหดตัวและหยุดเลือด
- ให้ลูกพักผ่อนก่อน อย่าเพิ่งนอนทันที และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก
ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อย แบบไหน? ควรไปพบแพทย์
แม้เลือดกำเดาไหลจะเป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่การที่ ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อย อาจเป็นอาการของโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โดยคุณพ่อคุณแม่ควรรู้และสังเกตได้ว่าเมื่อไร แบบไหน ที่ลูกน้อยมีเลือดกำเดาไหลมากจนอาจเกิดอันตรายและควรพาไปพบแพทย์ ซึ่งอาการที่ควรปรึกษาแพทยืคือ
- เลือดกำเดาไหลไม่หยุดภายใน 20 นาที
- เลือดกำเดาไหลปริมาณมาก
- ลูกมีอาการวิงเวียนศีรษะ หรือหน้ามืดรุนแรง
- เลือดกำเดาไหลร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น มีไข้สูง หรือปวดศีรษะ หรือมีเลือดออกตามไรฟัน ลิ้น ร่วมด้วย
- เลือดกำเดาไหลนาน ร่วมกับที่ผิวหนังมีรอยเลือดออก เช่น มีพรายย้ำ จ้ำเขียว หรือ มีจุดแดงหรือจุดเลือดออกตามตัวร่วมด้วย
- มีปัสสาวะสีน้ำล้างเนื้อ หรืออุจจาระสีดำคล้ายยางมะตอย หรือปนเลือดร่วมด้วย
- ลูกมีอาการอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง หรือซีดลง เพราะเลือดกำเดาไหลบ่อยและเป็นเวลานานจนขาดธาตุเหล็ก

ป้องกันยังไง? ไม่ให้ ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อย
การป้องกันไม่ให้ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้ค่ะ
- รักษาความชื้นในอากาศ โดยใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในอากาศ หรือวางถ้วยน้ำไว้ใกล้เตียงนอน ช่วยลดความแห้งของเยื่อบุจมูก
- สอนลูกไม่ให้แคะจมูก คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกหลีกเลี่ยงการขยี้จมูกหรือแคะจมูก เพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บและเลือดกำเดาไหล รวมถึงตัดเล็บลูกให้สั้น และสอนลูกให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าสะอาดเช็ดจมูกเบาๆ
- รักษาโรคประจำตัว หากลูกมีโรคประจำตัว เช่น ภูมิแพ้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อควบคุมอาการ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาแก้หวัด หรือยาแก้แพ้ เนื่องจากอาจทำให้เยื่อบุโพรงจมูกแห้ง
- บำรุงจมูกด้วยน้ำเกลือ การใช้สเปรย์น้ำเกลือทำความสะอาดจมูก ช่วยให้จมูกลูกน้อยไม่แห้ง และลดโอกาสที่เลือดกำเดาจะไหลได้ค่ะ
|
ลูกเลือดกำเดาไหลบ่อย สัญญาณบอกโรค?
|
โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม |
- ทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ เช่น โรควอนวิลล์แบรนด์ (von Willebrand disease – VWD) ซึ่งอาจมีประวัติเลือดออกง่ายหยุดยากในครอบครัวร่วมด้วย
|
โรคที่เกิดขึ้นภายหลัง
(ทำให้เกล็ดเลือดมีปริมาณต่ำลง) |
- โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิต้านทานตนเอง (immune thrombocytopenia – ITP) เป็นภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่พบบ่อยในเด็ก
- โรคไขกระดูกฝ่อ ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดทุกชนิดได้อย่างพอเพียง มีโลหิตจาง ติดเชื้อง่าย เนื่องจากมีเม็ดเลือดขาวต่ำลง และเกล็ดเลือดต่ำ ทำให้เลือดออกง่าย
- โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ที่มีเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวแทรกซึมอยู่ในไขกระดูก ทำให้สร้างเม็ดเลือดที่ปกติได้ลดลง
|

จะเห็นได้ว่าลูกเลือดกำเดาไหลบ่อยเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งแม้จะเป็นอาการที่พบได้บ่อยในเด็ก แต่คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถป้องกันและดูแลลูกน้อยได้ด้วยวิธีที่ถูกต้อง หากลูกมีเลือดกำเดาไหลเป็นประจำ ควรพาไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพดีและหลีกเลี่ยงปัญหาหรือโรคอื่นๆ ที่อาจเกิดตามมาในอนาคต
ที่มา : www.pobpad.com , www.tsh.or.th , www.medparkhospital.com
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
พฤติกรรม ลูกตีพ่อแม่ แก้ยังไง? วิธีจัดการอย่างสร้างสรรค์ และได้ผล
ควรชมลูกว่าฉลาด หรือไม่ ? 7 วิธีชมลูกแบบใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ “เก่ง” หรือ “ฉลาด”
ของเล่นที่ดี เลือกยังไง? ให้เหมาะกับพัฒนาการลูกแต่ละช่วงวัย
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!