การแท้งบุตร เป็นภาวะที่คุณแม่หลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้น ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเกิดจากภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ หรือความผิดปกติของทารกในครรภ์ ส่วนใหญ่แล้วการแท้งบุตรมักจะเกิดในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาสแรก ทำให้คุณแม่หลายคนไม่ทันได้ระวังตัว แต่สำหรับคุณแม่ที่เคยแท้งลูกมาก่อนแล้ว อาจสงสัยว่า การแท้งบุตรส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์หรือไม่ บทความนี้มีคำตอบ
การแท้งบุตร คืออะไร
การแท้งลูก หรือ การแท้งบุตร (Miscarriage) หมายถึง การสิ้นสุดของการตั้งครรภ์ซึ่งตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์ถูกขับออกมาก่อนตั้งครรภ์ได้ 28 สัปดาห์* ถือเป็นภาวะผิดปกติอย่างหนึ่งของการตั้งครรภ์ ซึ่งพบได้ประมาณ 10-15% ของการตั้งครรภ์ทั้งหมด โดยการแท้งนั้นอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เมื่อคุณแม่มีอายุครรภ์ได้ 2-3 สัปดาห์ไปจนถึง 28 สัปดาห์ แต่การแท้งมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่คุณแม่มีอายุครรภ์ประมาณ 4-20 สัปดาห์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 13 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์)
ในประเทศไทยจะใช้เกณฑ์การตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 28 สัปดาห์เป็นเกณฑ์การแท้ง ส่วนองค์การอนามัยโลกจะใช้เกณฑ์น้อยกว่า 22 สัปดาห์ และสำหรับในยุโรปหรือในสหรัฐอเมริกาจะใช้เกณฑ์การแท้งเมื่ออายุครรภ์น้อยกว่าหรือเท่ากับ 20 สัปดาห์ ส่วนการที่เกณฑ์อายุครรภ์วินิจฉัยการแท้งต่างกันนั้น เป็นเพราะว่าความสามารถในการเลี้ยงทารกให้มีชีวิตรอดมีความแตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันโรงพยาบาลที่มีแพทย์และมีอุปกรณ์ในการดูแลทารกคลอดก่อนกำหนดอย่างสมบูรณ์ก็สามารถเลี้ยงดูทารกที่คลอดได้ตั้งแต่อายุครรภ์มากกว่า 24 สัปดาห์ โรงพยาบาลบางแห่งจึงใช้เกณฑ์อายุครรภ์น้อยกว่า 24 สัปดาห์ถือเป็นการแท้ง และหากคลอดเมื่ออายุครรภ์มากกว่า 24 สัปดาห์ จะถือเป็นการคลอดก่อนกำหนด ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษอีกแบบหนึ่ง
การแท้งบุตรเองโดยธรรมชาติ ในภาษาอังกฤษมักจะใช้คำว่า “Miscarriage” ส่วนคำว่า “Abortion” ที่เห็นใช้กันอยู่บ่อยนั้น ๆ ในความหมายที่แท้จริงแล้วจะหมายถึง “การที่ต้องชักนำให้เกิดการแท้งหรือสื่อถึงนัยของการทำแท้งที่ผิดกฎหมาย”แต่ในประเทศไทยนั้นจะใช้ทั้ง 2 คำนี้ในการสื่อถึงการแท้งเองตามธรรมชาติ ส่วนการทำแท้งที่ผิดกฎหมายนั้นจะใช้คำว่า “Il-legal abortion”
บทความที่เกี่ยวข้อง : แท้งลูกเกิดจากอะไร? สัญญาณอะไรบ่งบอกว่าคุณอาจแท้ง อาการเป็นไง?
สาเหตุของการแท้ง เกิดจากอะไร
คุณแม่หลายคนมักตั้งคำถามว่า “ทำไมจึงเกิดการแท้งบุตรได้ ทั้ง ๆ ที่อยากมีลูกและพยายามระมัดระวังทุกอย่างแล้ว” ซึ่งสาเหตุของการแท้งบุตรนั้นมีอยู่ด้วยกันหลากหลายสาเหตุ ดังนี้
1. การแท้งบุตรที่เกิดจากทารก
ประมาณ 60% หรือประมาณ 3 ใน 4 ของการแท้งทั้งหมดมักเกิดจากความผิดปกติของทารกเป็นหลัก (ความผิดปกติทางด้านโครโมโซม) ซึ่งทารกอาจไม่เจริญเติบโตเลย ไข่ที่ถูกผสมแล้วไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปเป็นตัวเด็กได้ ซึ่งมักพบเป็นลักษณะที่เรียกว่า “ไข่ฝ่อ” (Blighted ovum)
ภายในโพรงมดลูกมีรกถุงน้ำคร่ำ การตรวจปัสสาวะพบว่ายังให้ผลบวก แสดงว่ามีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นแล้วแต่ไม่มีตัวทารก เพราะมีแต่รกเท่านั้นที่เจริญเติบโตได้ต่อไปสักระยะหนึ่งแล้วคุณแม่จึงมีเลือดออก หรือทารกอาจมีความพิการบางอย่างก็เลยถูกขับออกมาเองตามกลไกธรรมชาติ ก่อนที่จะปล่อยให้มีเด็กพิการเกิดขึ้น
2. การแท้งที่เกิดจากคุณแม่
การแท้งที่เกิดจากความผิดปกติของคุณแม่มีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน เช่น
- คุณแม่มีอายุมากกว่า 35 ปี หรือมีอายุน้อยกว่า 15 ปี จากข้อมูลพบว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุมากจะมีความเสี่ยงที่จะแท้งบุตรได้มากกว่าคุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีอายุน้อย
- เคยมีการแท้งบุตรมาก่อน
- เคยมีการขูดมดลูกจากสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งทำให้ตัวอ่อนที่ฝังตัวไม่สามารถเจริญเติบโตได้
- คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หรือติดยาเสพติด
- คุณแม่ที่มีสุขภาพไม่ดี เจ็บป่วยเรื้อรังหรือมีระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำงานหนัก และมีความเครียดสูง ก็จะทำให้แท้งบุตรได้ง่ายขึ้น
- มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคเอสแอลอี (SLE) โรคพีซีโอเอส (PCOS) โรคภูมิแพ้ตัวเอง (Lupus) หรือโรคติดเชื้อต่าง ๆ (เช่น หัด หัดเยอรมัน มาลาเรีย โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์)
- มีความผิดปกติเกี่ยวกับการสร้างฮอร์โมนจากรังไข่ ทำให้ไม่สามารถเลี้ยงตัวอ่อนได้นานพอ โดยพบว่าคุณแม่ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนต่ำ เมื่อฮอร์โมนน้อยเยื่อบุโพรงมดลูกก็จะมีสภาพไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ตัวอ่อนจึงไม่สามารถเจริญเติบโตได้และทำให้มีการแท้งเกิดขึ้น
- มีภาวะหมู่เลือดของคุณแม่และทารกเข้ากันไม่ได้ (Rh incompatability)
บทความที่เกี่ยวข้อง : สาเหตุของการแท้งลูก และวิธีป้องกัน แม่จะป้องกันการแท้งบุตรได้อย่างไร
- ปากมดลูกฉีกขาดมากจากการคลอดครั้งก่อนหรือจากการทำแท้งที่ไม่ถูกวิธี จึงทำให้ปากมดลูกไม่แข็งแรงและปิดไม่สนิท จึงเกิดการแท้งได้ง่าย
- มดลูกมีความผิดปกติ เช่น มีความผิดปกติของมดลูกแต่กำเนิดหรือมดลูกมีรูปร่างผิดปกติ, ในโพรงมดลูกมีก้อนเนื้องอกหรือมีผนังกั้นในโพรงมดลูก
- เกิดจากการอักเสบในช่องคลอดและมดลูก การติดเชื้อในร่างกายหรืออุ้งเชิงกราน หรือการอักเสบทั่วร่างกายอย่างรุนแรง มีไข้สูง จนทำให้ทารกในครรภ์เสียชีวิตและแท้งออกมา
- เกิดจากการติดเชื้ออย่างรุนแรงจากมารดาและเชื้อโรคได้เคลื่อนผ่านรกไปถึงทารก จนเป็นสาเหตุทำให้ทารกเสียชีวิตและแท้งในเวลาต่อมา
- การได้รับสารหรือจากการใช้ยาบางชนิด เช่น ยารักษาไข้มาลาเรียในกลุ่มควินิน อาจทำให้แท้งได้เพราะมีฤทธิ์ทำให้มดลูกบีบตัว, ยารักษาโรคมะเร็งหรือการได้รับสารตะกั่ว มีผลทำให้ทารกเสียชีวิตและแท้งได้, การได้รับสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมเป็นเวลานาน ๆ ไม่ว่าจะสูดดมหรือสัมผัส ย่อมเป็นสาเหตุให้เกิดการแท้งได้เช่นกัน
- การตั้งใจกินยาขับหรือให้คนทำแท้ง เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการแท้ง แต่ยาขับเลือดที่ขายตามท้องตลาดที่บางรายไปซื้อมากินเพื่อให้แท้งนั้นส่วนใหญ่แล้วจะไม่ทำให้แท้งได้
- คุณแม่ขาดสารอาหารมาก ๆ โดยเฉพาะการขาดกรดโฟลิกและวิตามินซี ซึ่งจะทำให้คุณแม่แท้งบุตรได้ง่าย
- การได้รับอุบัติเหตุ ทำให้มดลูกได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เช่น หกล้ม เดินชนมุมโต๊ะ ถูกกระแทกบริเวณท้องน้อย ฯลฯ ก็อาจทำให้เกิดการแท้งได้เช่นกัน
- การทำงานหรือการออกกำลังกาย ไม่ใช่เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณแม่แท้งบุตรเสมอไป ยกเว้นในกรณีที่คุณแม่เคยแท้งบุตรมาก่อน ก็ควรทำงานเบา ๆ เลี่ยงการทำงานหนัก และงดการออกกำลังกาย
3. การแท้งที่เกิดจากคุณพ่อ
อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้คุณแม่แท้งบุตร อาจเกิดขึ้นจากคุณพ่อที่มีปัญหาทางสุขภาพ เช่น กลุ่มเลือดมีปัญหาหรืออสุจิของคุณพ่อผิดปกติ เป็นต้น
4. ไม่พบสาเหตุ
ในบางรายอาจหาสาเหตุไม่ได้หรือไม่พบสาเหตุที่ชัดเจนของการแท้งบุตร ซึ่งก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่พบได้บ่อย
บทความที่เกี่ยวข้อง : กินอะไรเสี่ยงแท้ง ห้ามกินสิ่งเหล่านี้ถ้าไม่อยากแท้งลูก!
การแท้งบุตรส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์หรือไม่
จริง ๆ แล้วการแท้งบุตรส่งผลกระทบต่อร่างกายของคุณแม่หลายด้าน ซึ่งแต่ละด้านนั้น อาจส่งผลต่อสุขภาพร่างกายและภาวะเจริญพันธุ์ ดังต่อไปนี้
1. ผลกระทบของการแท้งบุตรต่อการมีลูก
การแท้งบุตรไม่มีผลโดยตรงต่อความสามารถในการมีลูกครั้งต่อไป ผู้หญิงหลายคนที่เคยแท้งบุตรอย่างกะทันหันก็สามารถมีลูกที่สมบูรณ์แข็งแรงได้ปกติในภายหลัง แต่การแท้งบุตรอาจเกี่ยวเนื่องกับภาวะเจริญพันธุ์ทางอ้อมหากเราพิจารณาผลกระทบที่ผู้หญิงได้รับจากเหตุการณ์ดังกล่าว
2. ผลกระทบต่อร่างกาย
การแท้งบุตรอาจส่งผลต่อร่างกายได้มากกว่าหากเกิดขึ้นหลังสัปดาห์ที่ 10 ของการตั้งครรภ์ โดยปกติร่างกายจะกำจัดเนื้อเยื่อออกได้เองหลังจากผ่านช่วงประจำเดือนไปแล้ว 1 ครั้ง และร่างกายก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติ แต่หากอายุครรภ์เกิน 10 สัปดาห์ จะยังคงมีเศษเนื้อเยื่อตัวอ่อนตกค้างอยู่ซึ่งจำเป็นต้องเอาออกโดยการผ่าตัด
วิธีการดังกล่าวเรียกว่า “การขูดมดลูก” เป็นการขุดเอาเนื้อเยื่อที่ติดอยู่กับผนังมดลูกออก วิธีการนี้อาจทำให้เกิดอาการติดเชื้อ มดลูกเป็นรู แผลเป็นที่ปากมดลูก หรืออาการตกเลือด ซึ่งอาจมีผลต่อความสามารถในการมีลูกของผู้หญิงในอนาคต
3. ผลกระทบต่อฮอร์โมน
การแท้งบุตรยังสามารถส่งผลกระทบต่อระดับฮอร์โมนภายในร่างกายได้ และอาจต้องใช้เวลา 2-3 เดือนกว่าจะกลับสู่สภาวะปกติ การแท้งบุตรอาจมีสาเหตุมาจากระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติเพียงอย่างเดียว ดังนั้นคุณจึงควรรับการตรวจเช็กก่อนที่จะตัดสินมีลูกอีกครั้ง
นอกจากนี้คุณยังควรใส่ใจกับเรื่องอาหารการกินและโภชนาการเป็นพิเศษ การขาดสารโอเมกา-3 และกรดไขมันที่จำเป็นอื่น ๆ อาจทำให้ระดับฮอร์โมนผิดปกติได้
4. ผลกระทบต่ออารมณ์และสุขภาพจิต
การแท้งบุตรเป็นเหตุการณ์อันน่าสลดที่ส่งผลต่อสภาพจิตใจของผู้เป็นพ่อแม่อย่างรุนแรง อาจเกิดได้จากปัจจัยหลายอย่าง คุณจึงไม่ควรโทษตัวเอง คุณอาจจะอยากรีบลองใหม่อีกครั้งโดยเร็วที่สุด แต่พึงระลึกไว้ว่าความเครียดอาจส่งผลต่อความสามารถในการมีลูกของคุณได้เช่นกัน บางครั้งแค่เห็นภาพแม่ลูกก็อาจทำให้คุณสะเทือนใจได้ ให้เวลาตัวเองได้ทำใจและอย่ากดดันตัวเองมากเกินไป คุณควรออกไปพักผ่อนเพื่อทำให้ตัวเองและสามีกลับมาสบายใจเหมือนเดิมก่อนที่จะพยายามอีกครั้ง
การแท้งบุตรเกี่ยวเนื่องกับสภาวะเจริญพันธุ์ในหลายด้าน หากคุณเคยแท้งบุตรมาก่อน และอยากพยายามใหม่อีกครั้ง คุณควรปรึกษาแพทย์และตรวจร่างกายให้ละเอียดก่อน ผู้เชี่ยวชาญจะสามารถให้คำแนะนำคุณเกี่ยวกับสาเหตุของการแท้งและวิธีเตรียมตัวให้คุณพร้อมสำหรับตั้งครรภ์ครั้งใหม่
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ยุติการตั้งครรภ์ หรือ การทำแท้งลูกอย่างถูกกฎหมาย
อาหารหลังแท้งลูก เมนูไหนควรกินบำรุงร่างกาย เมนูไหนควรเลี่ยง?
ติดกรรมแท้งลูก ลูกหลุดขณะท้อง หรือทำแท้ง แก้กรรมแท้งลูกได้อย่างไร
ที่มา : nhs.uk
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!