ความปรารถนาที่จะยุติความสัมพันธ์ที่ toxic หรือหมดความรักลง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตคู่ แต่เมื่อมี “ลูก” เข้ามาเป็นโซ่ทองคล้องใจ ความรู้สึกผิด และความสงสาร ก็ถาโถมเข้ามาจนยากจะตัดสินใจ อยากหย่า แต่สงสารลูก จึงกลายเป็นวลีที่ก้องอยู่ในใจพ่อแม่หลายคู่ เป็นทางแยกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความกังวล
อย่างไรก็ตาม การจมอยู่กับความสงสารเพียงอย่างเดียว อาจไม่ได้เป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับใครเลย ทั้งตัวคุณเอง คู่สมรส และที่สำคัญที่สุดก็คือ “ลูก” การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ไม่มีความสุข หรือการทะเลาะเบาะแว้ง อาจส่งผลเสียต่อพัฒนาการทางอารมณ์ และจิตใจ ของลูกในระยะยาว พวกเขาอาจซึมซับความรู้สึกด้านลบเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว และเติบโตขึ้นมาพร้อมกับบาดแผลในใจได้

สิ่งที่ควรพิจารณาในการหย่าร้าง เมื่อมีลูก
การตัดสินใจหย่าร้างเมื่อมีลูก จึงต้องอาศัยการพิจารณาอย่างรอบด้าน ประเมินสถานการณ์ปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา มองไปถึงผลกระทบในระยะยาว และที่สำคัญที่สุดคือ “การเปิดใจพูดคุย” กับคู่สมรสเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับลูก
1. พูดคุยและปรึกษา
- พูดคุยกับคู่สมรส: พยายามเปิดใจพูดคุยถึงปัญหา และเหตุผล ของการต้องการหย่าร้าง อย่างตรงไปตรงมา ด้วยความเคารพซึ่งกันและกัน หากเป็นไปได้ ลองพูดคุยถึงแนวทางการเลี้ยงดูบุตรร่วมกัน หลังการหย่าร้างด้วย
- ปรึกษาทนายความ: การปรึกษาทนายความตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงสิทธิ และหน้าที่ตามกฎหมาย รวมถึงขั้นตอนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการหย่า และการดูแลบุตร ทนายความจะสามารถให้คำแนะนำเฉพาะเจาะจง กับสถานการณ์ของคุณได้
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากการสื่อสารกับคู่สมรสเป็นเรื่องยาก หรือคุณรู้สึกเครียด และกังวลมาก การปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือนักสังคมสงเคราะห์ อาจช่วยให้คุณจัดการกับอารมณ์ และหาแนวทางแก้ไขปัญหาได้
2. ข้อตกลงเรื่องบุตร
- อำนาจปกครองบุตร: ใครจะเป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว หรือจะเป็นอำนาจปกครองร่วมกัน ซึ่งหมายถึงทั้งสองฝ่าย มีสิทธิในการตัดสินใจเรื่องสำคัญในชีวิตของบุตร เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล
- สิทธิในการเลี้ยงดูบุตร: ใครจะเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรเป็นหลัก และอีกฝ่ายมีสิทธิในการเยี่ยมเยียนบุตรอย่างไร ความถี่ และเงื่อนไขต่าง ๆ
- ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร: พิจารณาว่า ฝ่ายใดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ในการเลี้ยงดูบุตร เป็นจำนวนเท่าใด และมีเงื่อนไขการจ่ายอย่างไร
3. ข้อตกลงเรื่องทรัพย์สิน
- การแบ่งทรัพย์สิน: ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินที่หามาได้ร่วมกันอย่างไร ตามกฎหมายแล้ว ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส ถือเป็นสินสมรส ซึ่งจะต้องแบ่งกันคนละครึ่ง เว้นแต่จะมีข้อตกลงก่อนสมรสเป็นอย่างอื่น
- หนี้สิน: ตกลงกันว่าจะรับผิดชอบหนี้สินที่มีร่วมกันอย่างไร
4. ขั้นตอนทางกฎหมาย
- การยื่นฟ้องหย่า: หากไม่สามารถตกลงกันได้ หรือต้องการให้การหย่า มีผลทางกฎหมาย จะต้องยื่นฟ้องหย่าต่อศาล
- การไกล่เกลี่ย: ศาลอาจสั่งให้มีการไกล่เกลี่ย เพื่อหาทางออกร่วมกัน ก่อนการพิจารณาคดี
- การพิจารณาคดี: หากไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลจะทำการพิจารณาคดี และมีคำพิพากษาในเรื่องการหย่า อำนาจปกครองบุตร สิทธิในการเลี้ยงดูบุตร ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร และการแบ่งทรัพย์สิน

อยากหย่า แต่สงสารลูก ทำยังไงดี
ความรู้สึกสงสารลูก เมื่อคิดถึงเรื่องหย่าร้าง เป็นสิ่งที่เข้าใจได้มาก ๆ ค่ะ มันเป็นสัญญาณว่า คุณเป็นพ่อแม่ที่รัก และห่วงใยลูกอย่างแท้จริง ความขัดแย้งในใจระหว่างความต้องการที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ไม่ดี กับความกังวลว่า การหย่าร้างจะส่งผลเสียต่อลูก จึงเป็นเรื่องที่หนักหนาสำหรับทุกครอบครัว
1. ประเมินสถานการณ์ปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา
- ความสุขและสภาพจิตใจของคุณ: คุณมีความสุขหรือไม่? สภาพจิตใจของคุณเป็นอย่างไร? การอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ดี ส่งผลกระทบต่อตัวคุณอย่างไรบ้าง?
- บรรยากาศในบ้าน: บรรยากาศในบ้านเป็นอย่างไร? มีความตึงเครียด ความขัดแย้ง หรือความไม่สงบสุขเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน? สิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อลูกอย่างไรบ้าง?
- ความสัมพันธ์ของลูกกับพ่อแม่: ลูกมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งคุณและคู่สมรสหรือไม่? พวกเขารับรู้ถึงปัญหา หรือความไม่ลงรอยในความสัมพันธ์ของคุณหรือไม่?
- ผลกระทบต่อลูกในระยะยาว: การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดีเช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางอารมณ์ จิตใจ และพฤติกรรมของลูกในระยะยาวอย่างไร? บางครั้ง การอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง อาจส่งผลเสียต่อเด็กมากกว่าการที่พ่อแม่แยกกันอยู่ แต่ยังคงทำหน้าที่พ่อแม่ที่ดีได้
2. มองไปข้างหน้า
- ชีวิตหลังการหย่าร้าง: คุณวาดภาพชีวิตหลังการหย่าร้างไว้อย่างไร? คุณคิดว่าคุณจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่มั่นคง และมีความสุขให้กับลูกได้อย่างไร?
- การเลี้ยงดูบุตรร่วมกัน: คุณและคู่สมรส สามารถตกลงที่จะร่วมมือกันเลี้ยงดูบุตรหลังการหย่าร้างได้หรือไม่? การที่พ่อแม่ยังคงสื่อสาร และร่วมมือกันเพื่อลูก เป็นสิ่งสำคัญมาก
- ความสุขของลูกในระยะยาว: คุณคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด สำหรับความสุขและอนาคตของลูกในระยะยาว? บางครั้ง การที่พ่อแม่มีความสุข และมีสภาพจิตใจที่ดี ก็ส่งผลดีต่อลูกด้วยเช่นกัน
3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
- นักจิตวิทยาเด็ก: พวกเขาจะช่วยประเมิน ผลกระทบทางจิตใจ ที่อาจเกิดขึ้นกับลูก และให้คำแนะนำในการพูดคุยกับลูก รวมถึงวิธีช่วยเหลือลูกในการปรับตัว
- ทนายความ: ทนายความจะให้คำแนะนำด้านกฎหมาย เกี่ยวกับการหย่าร้าง สิทธิในการเลี้ยงดูบุตร อำนาจปกครองบุตร และค่าอุปการะเลี้ยงดู ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าใจสิทธิหน้าที่ของคุณ และวางแผนได้อย่างเหมาะสม
- นักสังคมสงเคราะห์: พวกเขาอาจมีมุมมอง และทรัพยากร ที่สามารถช่วยเหลือครอบครัว ที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้
4. ให้ความสำคัญกับความรู้สึกของลูก
- สังเกตและรับฟัง: สังเกตพฤติกรรม และอารมณ์ของลูกอย่างใกล้ชิด เปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความรู้สึก และความคิดเห็น
- พูดคุยอย่างตรงไปตรงมา: อธิบายสถานการณ์ให้ลูกเข้าใจ ด้วยภาษาที่เหมาะสมกับวัย ย้ำว่าความรักของคุณและอีกฝ่ายที่มีต่อลูกนั้นไม่เปลี่ยนแปลง และพวกเขาจะไม่ถูกทอดทิ้ง
- ให้ความมั่นคงและสม่ำเสมอ: พยายามรักษากิจวัตรประจำวันของลูก ให้เหมือนเดิมมากที่สุด สร้างความมั่นคงทางอารมณ์ โดยการให้ความรัก ความเข้าใจ และเวลาที่มีคุณภาพ
5. ข้อควรจำ
- การอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ดี ไม่ได้เป็นผลดีต่อลูกเสมอไป: เด็ก ๆ รับรู้ถึงความตึงเครียด และความไม่มีความสุขในบ้าน และบรรยากาศเหล่านี้ อาจส่งผลเสียต่อพวกเขาได้
- การหย่าร้าง ไม่ใช่จุดจบของความเป็นพ่อแม่: แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันในฐานะคู่สมรส แต่คุณและคู่สมรสยังคงเป็นพ่อแม่ของลูก และสามารถร่วมมือกันเลี้ยงดูพวกเขา ให้เติบโตอย่างมีความสุขได้
- ความสุขของคุณก็สำคัญ: การที่คุณมีความสุข และมีสภาพจิตใจที่ดี จะส่งผลดีต่อการเลี้ยงดูบุตรด้วยเช่นกัน

แนวทางการบอกลูกเรื่องการหย่าร้าง
การบอกลูกเรื่องการหย่าร้าง เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความอดทน และความเข้าใจอย่างมาก สิ่งสำคัญคือ การสื่อสารด้วยความรัก และซื่อสัตย์ เพื่อให้ลูกรู้สึกปลอดภัย และได้รับการสนับสนุนในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ค่ะ
1. เตรียมตัวและวางแผน
- คุยกันระหว่างพ่อแม่ก่อน: ตกลงกันถึงสิ่งที่จะพูด วิธีการพูด และใครจะเป็นคนพูดหลัก พยายามให้เนื้อหา และน้ำเสียงสอดคล้องกัน เพื่อไม่ให้ลูกสับสน
- เลือกเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม: เลือกเวลาที่ลูกรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดภัย และมีเวลาพอที่จะพูดคุยและรับฟัง อาจเป็นช่วงสุดสัปดาห์ หรือเวลาที่ไม่มีกิจกรรมเร่งรีบ
- เตรียมคำตอบ สำหรับคำถามที่อาจเกิดขึ้น: ลูกอาจมีคำถามมากมาย เตรียมคำตอบที่ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา และเหมาะสมกับวัยของพวกเขา
2. วิธีการบอกลูกตามช่วงวัย
เด็กเล็ก (ต่ำกว่า 6 ขวบ):
- ใช้ภาษาที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา และเน้นความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลง เช่น “พ่อกับแม่จะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันแล้ว แต่พ่อกับแม่รักหนูเหมือนเดิม และเราจะยังคงดูแลหนูด้วยกัน”
- หลีกเลี่ยงการพูดถึงรายละเอียดความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่
- ให้ความมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ถูกทอดทิ้ง และยังคงได้รับการดูแลจากทั้งสองคน
- อาจใช้ตุ๊กตาหรือนิทานช่วยในการอธิบาย
เด็กวัยเรียน (6-12 ขวบ):
- อธิบายด้วยเหตุผลที่ง่ายต่อการเข้าใจ เช่น “บางครั้งผู้ใหญ่ก็ไม่สามารถอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้ แม้ว่าเราจะพยายามแล้วก็ตาม”
- ย้ำว่าการหย่าร้าง ไม่ใช่ความผิดของพวกเขา
- เปิดโอกาสให้พวกเขาถามคำถาม และแสดงความรู้สึก
- อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เช่น ใครจะอยู่บ้านไหน ตารางการเยี่ยมเยียน
วัยรุ่น (13 ปีขึ้นไป):
- พูดคุยอย่างตรงไปตรงมา และให้เกียรติความคิดเห็นของพวกเขา
- อธิบายถึงเหตุผลของการหย่าร้าง ในระดับที่พวกเขาเข้าใจได้ โดยไม่ต้องลงรายละเอียดที่มากเกินไป
- รับฟังความรู้สึกโกรธ เสียใจ หรือสับสนของพวกเขา และให้การสนับสนุน
- เน้นย้ำว่าการหย่าร้าง ไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์กับพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งจะสิ้นสุดลง
3. สิ่งที่ควรเน้นย้ำ
- ความรักที่ไม่เปลี่ยนแปลง: บอกลูกซ้ำ ๆ ว่าความรักของพ่อและแม่ ที่มีต่อพวกเขานั้น จะไม่เปลี่ยนแปลงไป
- ไม่ใช่ความผิดของลูก: ย้ำว่าการตัดสินใจหย่าร้าง เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ และไม่ใช่ความผิดของพวกเขา
- ความปลอดภัยและความมั่นคง: ให้ความมั่นใจ ว่าพวกเขาจะยังคงได้รับการดูแล และมีชีวิตที่มั่นคง
- การสนับสนุน: บอกลูกว่าคุณจะอยู่เคียงข้าง และสนับสนุนพวกเขาเสมอ
4. สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- การโทษอีกฝ่าย: หลีกเลี่ยงการพูดถึงข้อเสีย หรือการตำหนิอีกฝ่ายให้ลูกฟัง เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกแย่และลำบากใจ
- การใช้ลูกเป็นเครื่องมือ: อย่าพยายามให้ลูกเข้าข้าง หรือเป็นคนกลางในการสื่อสาร ระหว่างคุณกับคู่สมรส
- การให้รายละเอียดที่ไม่จำเป็น: ไม่จำเป็นต้องเล่ารายละเอียดความขัดแย้งที่ซับซ้อนให้ลูกฟัง
- การสัญญาในสิ่งที่ไม่แน่นอน: อย่าสัญญาในสิ่งที่คุณไม่แน่ใจว่าจะทำได้
5. หลังจากการบอก
- ให้เวลาลูกปรับตัว: ลูกอาจต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ และปรับตัวกับสถานการณ์ใหม่
- สังเกตและรับฟัง: สังเกตพฤติกรรม และอารมณ์ของลูกอย่างใกล้ชิด พร้อมที่จะรับฟัง และให้กำลังใจ
- ขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ: หากลูกมีปัญหาในการปรับตัว หรือคุณรู้สึกว่าไม่สามารถรับมือได้ด้วยตัวเอง การปรึกษานักจิตวิทยาเด็ก อาจเป็นประโยชน์
การตัดสินใจเป็นของคุณค่ะ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด แต่การพิจารณาอย่างรอบด้าน การขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ และการให้ความสำคัญกับความรู้สึกของลูก จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างดีที่สุด และวางแผนเพื่ออนาคตของลูกได้อย่างเหมาะสมค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สาวท้องโตปล่อยโฮ แม่ผัวไล่ ไม่ให้อาบน้ำที่บ้าน สุดท้ายถูกถ้ำมอง จนเกือบหย่า!
เผย 8 สาเหตุการหย่าร้าง จากประสบการณ์จริง เพราะทำแบบนี้ถึงได้บ้านแตก
อย่าเพิ่งรีบหย่า ถ้ายังไม่ได้อ่านเรื่องนี้ ขอหย่ายังไง ให้จบดีที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!