ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมสซาชูเสส แอมเฮิร์ส ได้ทำการศึกษาเด็ก 40 คน อายุ 3 – 5 ปี โดยสรุปออกมาว่าเด็กวัยนี้จะเรียนรู้และจำได้ดีกว่าเมื่อเขาได้นอนตอนกลางวัน นอนกลางวัน ช่วงหลังทานข้าวประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งความสามารถในการจดจำนี้นอกจากจะดีขึ้นในช่วงหลังการนอนกลางวันของวันนั้นแล้ว ยังทำให้เด็กจำได้ดีในวันถัดไปด้วย ซึ่งเป็นการตอบคำถามว่า ทำไมเราถึงควร ” เปลี่ยนพฤติกรรมการนอนกลางวันของลูก ”
ทำไมเราถึงต้อง เปลี่ยนพฤติกรรมการนอนกลางวันของลูก ?
นักวิจัยกล่าวว่า การนอนกลางวันเป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กมีกระบวนการด้านความจำดี การมอง และการเคลื่อนไหวก็ดีกว่า นอกจากนั้นการประมวลข้อมูลของสมองก็ดีขึ้นด้วย โรงเรียนอนุบาลหลายแห่งก็ยังคงถกเถียงหาข้อสรุปอยู่ว่าควรให้เด็กนอนกลางวันหรือไม่ ซึ่งผลการวิจัยนี้ก็จะช่วยเพิ่มน้ำหนักของการให้เด็กนอนกลางวันมากขึ้น เพราะผลการวิจัยชี้ว่าเด็กที่ได้นอนกลางวันจะสามารถจำได้ 10% มากกว่าเด็กที่ไม่ได้นอน
ในช่วงเวลานอนสมองจะทำงาน เพื่อเสริมทักษะในการกระตุ้นความจำ สร้างการเรียนรู้ และทักษะการแก้ปัญหา การได้นอนหลับที่ดีและเพียงพอจะช่วยให้ลูกสนใจจดจ่อ ในการเรียนที่โรงเรียน มีความสามารถที่จะตัดสินใจและมีความคิดสร้างสรรค์ จึงเป็นเหตุผลที่เราควร เปลี่ยนพฤติกรรมการนอนกลางวันของลูก เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการของตัวเด็กเอง
แต่จะเกิดอะไรขึ้น…เมื่อลูกน้อยไม่ได้รับการนอนหลับที่เพียงพอ แน่นอนผลลัพธ์ที่คุณพ่อคุณแม่เห็นก็คือ ภาวะขาดการนอนหลับ อาการสะลึมสะลือ ไม่สดชื่น แต่ความจริงแล้ว คุณพ่อคุณแม่จะประหลาดใจถ้ารู้ว่า ผลกระทบของมันจะค่อนข้างร้ายแรงต่อสุขภาพและความสุขของลูกน้อย
เปลี่ยนพฤติกรรมการนอนกลางวันของลูก ได้อย่างไร ?
1. น้ำเสียง และการสื่อสาร
การพูดคุยสื่อสารกับลูก แม้ว่าเด็กจะไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่คุณสื่อสาร แต่ด้วยน้ำเสียง และท่าทาง จะทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น และผ่อนคลาย ดังนั้นการพูดคุยเบา ๆ น้ำเสียงที่ราบเรียบ ไม่กระโชกโฮกฮาก จะทำให้ลูกน้อยรู้สึกเคลิบเคลิ้ม และหลับได้ในที่สุด
2. พาลูกนอนตามเวลา และสม่ำเสมอ
เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำให้เกิดความเสมอ เพราะเด็กจะถูกฝึกให้ร่างกายรู้สึกง่วงนอน เมื่อถึงเวลาโดยอัตโนมัติ โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องเหนื่อยแรง และหากลูกน้อยได้นอนพักผ่อนตามเวลาได้อย่างเพียงพอ การพัฒนาการด้านต่าง ๆ ก็จะสมบูรณ์ และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรจะเริ่มสังเกตลูกน้อย ว่าเมื่อไหร่ที่เด็กมีอาการหาว ขมวดคิ้ว ขยี้ตา นั่นหมายถึงมันคือเวลาเหมาะสมที่จะได้เขาได้พักผ่อนแล้ว และหากคุณทำเช่นนี้สม่ำเสมอ ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน เพียงแค่ 1-2 เดือน เด็กจะนอนหลับได้ตรงตามเวลาที่กำหนด และทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถวางแผนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงที่ลูกน้อยพักผ่อนได้อย่างชัดเจน
3. การสร้างสัญญาณ บอกช่วงเวลานอน
การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นประจำซ้ำ ๆ ก่อนที่จะเข้านอน เป็นสัญญาณบ่งบอกให้เขาได้รับรู้โดยอัตโนมัติว่า ถึงช่วงเวลาที่เขาจะต้องนอนพักผ่อนแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเล่านิทาน การเปิดเพลงกล่อม การอาบน้ำ การเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนผ้าอ้อม เมื่อทำสิ่งเหล่านี้ซ้ำ ๆ และต่อเนื่อง จะทำให้เด็กเรียนรู้ว่า มันคือช่วงเวลาที่เขาจะต้องพักผ่อน แม้ว่าในช่วงแรก ๆ อาจจะมีการต่อต้านบ้าง แต่ต่อไป เขาจะเกิดพฤติกรรมเรียนรู้ และปรับตัวเองได้ ดังนั้นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำคือ ความสม่ำเสมอนั่นเองค่ะ
4. การกอด และสัมผัสลูกน้อย
การที่จะทำให้ลูกน้อยสามารถนอนหลับได้เป็นอย่างดี คือการสร้างความมั่นคงทางจิตใจ และความรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อเขารู้สึกปลอดภัย เขาจะสามารถหลับนอนได้อย่างสนิทใจ และไม่ผวาตื่นในช่วงเวลานั้น ดังนั้น การกอด และการสัมผัสลูก เป็นประจำก่อนนอน จะทำให้ตัวเด็กรู้สึกผ่อนคลาย และปลอดภัย และเมื่อทำเช่นนี้ซ้ำ ๆ จะทำให้เขารู้ว่า การทำเช่นนี้ คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลาที่จะต้องหลับนอนแล้วนั่นเอง ซึ่งการกอด และการสัมผัสนี้ จะทำด้วยวิธีการตบก้น หรือตบเบา ๆ บริเวณหน้าอก เป็นต้น
5. การให้นมลูกตามตารางเวลา
ในช่วงทารกน้อยอายุ 1 – 3 เดือนแรก เด็กมักจะหิวบ่อย เนื่องจากเด็กต้องการสารอาหารในการพัฒนาส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และการปรับตัว นั่นเป็นสาเหตุที่เราจะต้องให้นมทุก ๆ 2 – 3 ชั่วโมง ซึ่งช่วงเวลานี้ สำหรับการนอนกลางวัน จะไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใด เนื่องจากการนอนกลางวันนั้น จะเป็นช่วงเวลานอนสั้น ๆ ซึ่งจะพอดีกับเวลาที่เว้นช่วงไปนั่นเอง แต่สำหรับตอนกลางคืนนั้น อาจจะต้องฝึกเด็กให้เว้นช่วงการทานนมให้นานมากยิ่งขึ้น โดยช่วงแรก ๆ เด็กอาจตื่นขึ้นมาร้องไห้กระจองอแง เพื่อต้องการกินนม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ อาจต้องใช้วิธีปลอบโยนลูก เพื่อให้นอนหลับให้ได้ยาวขึ้น โดยตั้งเวลาความถี่เอาไว้ว่า จากที่จะต้องให้ทุก ๆ 2 – 3 ชั่วโมง ในยามค่ำคืน อาจเพิ่มเป็น 3 – 4 ชั่วโมง แทน
บทความที่เกี่ยวข้อง : ทารกนอนกี่ชั่วโมง เทคนิคจัดตาราง การนอนของทารก เพื่อให้ลูกมีพัฒนาการที่ดี
คลิปจาก: YouTube Dek Noi Montessori
ความจริง VS ความเชื่อ ? นอนไม่พอตอนเด็ก เสี่ยงเกิดโรคตอนโต
แน่นอนว่า เราทุกคนล้วนทราบดีถึงประโยชน์ของการนอนหลับที่เพียงพอต่อสุขภาพร่างกายของเด็ก ซึ่งมีอยู่มากมาย ดร.ไมเคิล ลิม ที่ปรึกษาแผนกกุมารเวชกรรมโรคปอดเด็กและการนอนหลับ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ได้สรุปผลเสียของการนอนไม่เพียงพอ หรือภาวะการอดนอนของเด็กดังนี้
- การนอนหลับเพียงพอจะส่งเสริมการเจริญเติบโต และการพัฒนาของเด็ก เมื่อลูกน้อยอยู่ในช่วงการนอนหลับลึก ฮอร์โมนจะถูกปล่อยออกมาซึ่งไม่เพียงแต่ส่งเสริมการเจริญเติบโตของร่างกายของลูกแล้ว แต่ยังช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และช่วยในการซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อด้วย
- การนอนหลับจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของเด็กคงอยู่ในสภาพที่ดี การขาดการนอนหลับจะมีผลกระทบในเชิงลบกับการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- ช่วงเวลาการนอนของเด็กไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่ยังเป็นช่วงเวลาที่มีการซ่อมแซมหัวใจ และหลอดเลือดของเด็ก ดังนั้น การนอนหลับไม่เพียงพอ อาจนำไปสู่ความเสี่ยง ของการเกิดโรคหัวใจและโรคไต ความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานเมื่อเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่
- การนอนหลับจะช่วยให้เด็กรักษาสมดุลของฮอร์โมนที่ทำให้เขารู้สึกหิว (ghrelin) หรืออิ่ม (leptin) เมื่อลูกของคุณนอนหลับไม่เพียงพอก็จะส่งผลให้เขารู้สึกหิวมากกว่าตอนที่เขาได้รับการนอนหลับที่เพียงพอ และนี่อาจนำไปสู่ปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่องอาหารในอนาคต เช่น โรคอ้วน
กล่าวโดยสรุป ก็คือ “การนอนหลับ” อย่างเพียงพอ จะช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตทางสมองของลูกน้อย เพราะในช่วงที่ร่างกายมีการหลับลึก จะสร้างฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นส่วนต่าง ๆ ของสมองในการเรียนรู้ จดจำ เรียบเรียงความคิด และมีการตอบสนองอย่างรวดเร็ว อันเป็นรากฐานสำคัญของพัฒนาการของสมองที่ดี
บทความที่เกี่ยวข้อง : แนะนำ 10 ผ้าปูที่นอน เหมาะกับเด็กวัยกำลังโต เพื่อการพักผ่อนที่ดีที่สุดของลูกน้อย
5 ตัวช่วยสำคัญ เพื่อลูกน้อยได้รับการนอนหลับที่เพียงพอ
- มีเคล็ดลับหลายอย่างที่สามารถช่วยให้คุณพ่อคุณแม่แน่ใจว่า ลูกรักได้รับการนอนหลับที่มีคุณภาพในแต่ละคืน และสามารถนอนหลับได้เร็วขึ้น แต่เคล็ดลับที่ดีที่สุดก็คือ การให้ลูกได้ทานนมแม่ก่อนนอนค่ะ เพราะนมแม่มีสารอาหารที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารหลัก เช่น คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน รวมทั้ง “แอลฟา-แล็คตัลบูมิน” ซึ่งเป็นเวย์โปรตีนในน้ำนมแม่ที่ให้กรดอะมิโนจำเป็น ชื่อ “ทริปโตเฟน” ช่วยสร้างสารเซโรโทนิน ซึ่งมีส่วนช่วยควบคุมในการนอนหลับ โดยร่นระยะเวลานอน ให้หลับได้เร็วขึ้น จากการศึกษาของ Cubero, et. Al. พบว่า เด็กที่กินนมแม่จะนอนหลับได้ดีกว่า เนื่องจากนมแม่มีระดับทริปโตเฟนในช่วงกลางคืนสูงกว่าในช่วงกลางวัน ขณะที่เด็กกินนมผสมจะใช้ระยะเวลานานกว่าจะหลับ
- เรื่องของสภาพแวดล้อมการนอนหลับของเด็กก็มีความสำคัญเช่นเดียวกันค่ะ เพียงคุณพ่อคุณแม่รักษาอุณหภูมิห้องนอน ให้เย็นสบาย เงียบสงบ และมืด ก็จะช่วยให้เด็ก ๆ นอนหลับได้ง่ายขึ้นค่ะ
- สร้างกิจวัตรประจำวันที่จะช่วยให้ลูก ๆ ของคุณผ่อนคลายก่อนนอน เช่น การอ่านหนังสือนิทานก่อนนอนให้ลูกฟัง หรือร้องเพลงกล่อมเบา ๆ
- สร้างวินัยเวลาเข้านอนและเวลาตื่นนอนอย่างเคร่งครัดเป็นประจำวันทุกวัน (รวมทั้งสุดสัปดาห์และวันหยุด)
- ไม่ควรปล่อยให้ลูกน้อยใช้เวลางีบหลับในตอนกลางวันมากเกินไป เพราะจะทำให้ลูกหลับได้ยากขึ้นช่วงกลางคืน
ข้อแนะนำ ชั่วโมงการนอนหลับที่เหมาะสมสำหรับ เด็กแรกเกิด – 6 ปี
คุณพ่อคุณแม่อย่าเพิกเฉยเกี่ยวกับการนอนหลับของลูกนะคะ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกน้อยของคุณได้รับการนอนหลับเหมาะสมเพียงพอ เพราะการนอนไม่พอ..อาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตลูก ๆ ได้
บทความที่เกี่ยวข้อง : การถดถอยการนอนหลับทารก อาการของทารก ตื่นบ่อย ตื่นถี่ ไม่เป็นเวลา
เด็กควรนอนหลับ วันละกี่ชั่วโมง?
การนอน ถือว่าเป็น 1 ในสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพของตัวเอง และยิ่งในวัยเด็กแล้ว การนอนถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญไม่ว่าจะทั้งสุขภาพ พัฒนาการการเจริญเติบโตของเด็ก ๆ ด้วย และวันนี้เรามาสำรวจกันค่ะว่า เด็กในแต่ละช่วงอายุควรจะนอนประมาณเท่าไหร่กันบ้าง
สำหรับทารกควรนอนประมาณ 14 – 18 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเด็กจะตื่นขึ้นทุก ๆ 1 ถึง 3 ชั่วโมง จนกระทั่งอายุ 4 เดือน การนอนของเด็กก็จะเริ่มเป็นเวลามากขึ้น ซึ่งเด็กเล็กส่วนใหญ่จะนอนตอนกลางคืนประมาณ 9 – 12 ชั่วโมง และถูกปลุกมากินอาหาร และ จะนอนกลางวันประมาณ 3 ครั้ง และใช้เวลาประมาณ 30 นาที – 2 ชั่วโมงในแต่ละการนอน
สำหรับเด็กอายุ 6 – 12 เดือน จะหลับประมาณ 14 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งรวมการนอนสั้น ๆ ระหว่างวัน 2 ครั้ง ซึ่งจะนอนประมาณ 20 นาที หรือบางคนก็จะประมาณชั่วโมง ซึ่งเด็กในวัยนี้จะเริ่มเจอความวิตกกังวลระหว่างนอนจนเป็นสาเหตุในการถูกรบกวนเวลานอนก็ได้นะ
สำหรับเด็กวัยหัดเดินต้องนอนประมาณ 12 – 14 ชั่วโมงต่อวัน โดยที่รวมการนอนกลางวันประมาณ 1 ถึง 3 ชั่วโมง สำหรับเด็กบางคนอาจจะยังอยากงีบ 2 ครั้งแต่การงีบดังกล่าว ก็ไม่ควรใกล้เวลานอนมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้เด็กนอนหลับได้ยากขึ้นด้วย
สำหรับเด็กในวัยนี้จะนอนตอนกลางคืนประมาณ 11 – 12 ชั่วโมงรวมการนอนกลางวันแล้ว และจะเลิกนอนกลางวันตอนอายุ 5 ขวบ
สำหรับเด็กวัยกำลังเรียนจะนอนประมาณ 10 – 11 ชั่วโมงต่อคืน และในเด็ก 5 ขวบบางคนยังอาจจะต้องมีการนอนกลางวันบ้าง และถ้าการไม่สามารถงีบระหว่างวันได้ เด็ก ๆ อาจจะต้องเข้านอนเร็วขึ้นนั่นเอง
พัฒนาเด็กนอนกลางวัน เป็นสิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไป การให้เด็กได้นอนในเวลาที่เหมาะสม และสม่ำเสมอ จะทำให้เด็กมีพัฒนาการที่มีประสิทธิภาพ และมีความมั่นคงทางจิตใจ พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ดังนั้น สิ่งเล็ก ๆ น้อย เพียงแค่การนอนหลับในแต่ละช่วงเวลา ของแต่ละช่วงอายุนั้น เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองไม่ควรมองข้าม และไม่ควรใช้เกณฑ์ของผู้ใหญ่เป็นตัวกำหนด เพราะร่างกายของแต่ละช่วงวัยนั้น แตกต่างกัน
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ที่มา : parentsone
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!