วันนี้ theAsianparent ขอนำเสนอเมนู เค้กช็อกโกแลต จาก REESE’S ใช้เวลาทำเพียง 2 นาที เมนูของหวานน่ากินสำหรับครอบครัวของคุณ
เค้กช็อกโกแลต REESE’S
เวลาเตรียม : 10 นาที
ส่วนประกอบ : (สําหรับ 2-3 คน)
1. แป้งเอนกประสงค์ 1⁄2 ถ้วย
2. ผงฟู 1⁄2 ช้อนชา
3. น้ําตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
4. ผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ
5. นมสด 1⁄2 ถ้วย
6. ไข่ไก่ 1 ฟอง
7. เนย 2 ช้อนโต๊ะ ละลายและปล่อยให้เย็น
8. ช็อกโกแลต Reese’s Nut Bar 1⁄2 แท่ง
เค้กช็อกโกแลต REESE’S
วิธีทําเค้กช็อกโกแลต REESE’S :
1. ผสมแป้ง ผงฟู น้ําตาลทราย ผงโกโก้ เข้าด้วยกัน
2. ใส่นมสด ไข่ไก่ และเนย ลงในส่วนผสมในข้อ 1 คนให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกัน
3. ใส่ส่วนผสมที่ได้ลงในถ้วยที่สามารถเข้าไมโครเวฟได้ โดยใส่ให้เกินครึ่งถ้วยมาเพียงเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ส่วนผสมล้นออกมานอกถ้วยตอนอบ
4. วางช็อกโกแลต Reese’s ไว้ตรงกลางถ้วย และนําเข้าไมโครเวฟ ตั้งไฟ กลาง-สูง เป็นเวลา 2 นาที
เค้กช็อกโกแลต REESE’S 2 นาที
เพียงเท่านี้เราก็จะได้เค้กช็อกโกแลตสอดไส้ Reese’s เยิ้ม ๆ อร่อยเหาะไว้กินกันในบ้าน คุณสามารถกินจากถ้วยได้ทันที หรือจะคว่ําถ้วยลงในจาน เสิร์ฟคู่กับไอศครีมหรือวิปครีมก็อร่อยไม่แพ้กัน
ประเภทของช็อกโกแลต
- ช็อกโกแลตดำ (dark chocolate) ประกอบด้วย น้ำตาล เนยโกโก้หรือไขมันที่ได้จากเมล็ดโกโก้ น้ำที่คั้นจากเมล็ดโกโก้บดละเอียด และอาจเพิ่มวานิลลาเข้าไปด้วย
- ช็อกโกแลตขาว (white chocolate) ประกอบด้วย น้ำตาล เนยโกโก้หรือไขมันที่ได้จากเมล็ดโกโก้ นมหรือผงนม และวานิลลา โดยไม่มีการใส่น้ำที่คั้นจากเมล็ดโกโก้บดละเอียด
- ช็อกโกแลตนม (milk chocolate) เป็นการเพิ่มนม หรือผงนมเข้าไปในช็อกโกแลตดำ
เนื่องจาก โกโก้ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของช็อกโกแลตนั้น มีส่วนประกอบของสารเคมีหลายชนิด เช่น สารต้านอนุมูลอิสระฟลาโวนอยด์ (flavonoids) สารฟีนิลเอทิลลามีน (phenylethylamine) และสารโพลีฟีนอล (polyphenol) จึงเชื่อว่าการบริโภคช็อกโกแลตอาจทำให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายได้ในหลายด้าน
ประโยชน์ของช็อกโกแลต
1.ลดภาวะความดันโลหิตสูง
เป็นอาการที่ความดันภายในหลอดเลือดแดงสูงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีความรุนแรง และเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
เนื่องจากช็อกโกแลตมีส่วนประกอบเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากมายจากโกโก้ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อร่างกายได้ จึงมีการนำตัวอย่างช็อกโกแลตบางชนิดมาทำการศึกษาทดลอง จากหลาย ๆ งานวิจัยพบว่า หลังกลุ่มทดลองบริโภคดาร์คช็อกโกแลตแล้ว ระดับความดันโลหิตตัวบน (Systolic Blood Pressure) ลดลงไปได้ถึง 2.8-4.7 มิลลิเมตรปรอท ในขณะที่ระดับความดันโลหิตตัวล่าง (Diastolic Blood Pressure) ลดลงไปถึง 1.9-2.8 มิลลิเมตรปรอท ทั้งจากการทดลองในกลุ่มผู้ป่วยภาวะความดันโลหิตสูงและผู้ที่มีความดันอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ส่วนงานวิจัยหนึ่งที่เปรียบเทียบประสิทธิผลในการลดระดับความดันโลหิตของช็อกโกแลต พบว่า ผู้ทดลองที่บริโภคดาร์คช็อกโกแลตมีระดับความดันโลหิตตัวบน (Systolic Blood Pressure) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉลี่ยถึง 5 จุด และมีระดับความดันโลหิตตัวล่าง (Diastolic Blood Pressure) ลดลงโดยเฉลี่ย 2 จุด ในขณะที่ไม่พบประสิทธิผลในด้านนี้ในกลุ่มผู้ทดลองที่บริโภคไวท์ช็อกโกแลตแต่อย่างใด
ดังนั้น จากหลากหลายกระบวนการทดลอง จึงอาจสรุปได้ว่า ช็อกโกแลตช่วยในเรื่องการลดระดับความดันโลหิตลงได้ ซึ่งเป็นผลดีต่อการรักษาฟื้นฟูอาการในผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง แต่ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรศึกษาปริมาณและวิธีการบริโภคช็อกโกแลตในแต่ละรูปแบบอย่างเหมาะสมกับสุขภาพของตน เพราะช็อกโกแลตแต่ละชนิดก็มีส่วนผสมที่แตกต่างกัน และอาจส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพในทางอื่น ๆ ได้ด้วยเช่นกัน
2.อาการเมื่อยล้าเรื้อรัง
Chronic Fatigue Syndrome: CFS เป็นอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากความเมื่อยล้า หรือเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก โดยอาการเหล่านั้นไม่ดีขึ้นหรือหายไปแม้ได้รับการพักผ่อนมากพอแล้ว ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นอาจเป็นสัญญาณของโรคและการเจ็บป่วยอื่น ๆ ที่รุนแรงได้ โดยสาเหตุของกลุ่มอาการเมื่อยล้าเรื้อรังไม่อาจปรากฏอย่างชัดเจนเสมอไป อาจเกิดจากการป่วยติดเชื้อไวรัสต่าง ๆ ความเครียด หรืออาการทางจิต หรืออาจมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบ
ดังนั้น จึงมีนักวิจัยทำการทดลองด้วยสมมติฐานที่ว่า สารเคมีในช็อกโกแลตอาจช่วยกระตุ้นการทำงานของสารสื่อประสาทในสมองอย่างสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งจะช่วยปรับเกี่ยวกับสภาพอารมณ์และส่งผลต่อการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอที่อาจช่วยบรรเทากลุ่มอาการเมื่อยล้าเรื้อรังได้ โดยการทดลองดังกล่าวดำเนินขึ้นโดยให้กลุ่มผู้ทดลองจำนวนหนึ่ง ที่มีภาวะอาการเมื่อยล้าเรื้อรังบริโภคช็อกโกแลตดำทุกวัน เป็นเวลา 8 สัปดาห์ หลังสิ้นสุดกระบวนการทดลอง พบว่าผู้ร่วมทดลองรู้สึกมีอาการเมื่อยล้าลดน้อยลงหลังรับประทานช็อกโกแลต และพบว่าในกลุ่มผู้ทดลองไม่มีการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม การทดลองดังกล่าวเป็นงานวิจัยขนาดเล็กในประเทศอังกฤษ และทำการทดลองในช่วงเวลาสั้น ๆ จึงควรมีการศึกษาเพิ่มเติมถึงประสิทธิผลของช็อกโกแลต เพื่อให้ได้ข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนในด้านผลลัพธ์ของการบริโภคช็อกโกแลต ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในระบบต่าง ๆ เพิ่มเติมต่อไป
3.กระบวนการทางจิต
สารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ในช็อกโกแลต อาจเกี่ยวข้องกับการทำงานทางระบบประสาท และหลอดเลือดหัวใจ จึงมีสมมติฐานว่าช็อกโกแลตอาจมีผลต่อระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการคิด และสภาพจิตใจได้ด้วย จึงมีงานทดลองหนึ่งที่ให้ผู้เข้ารับการทดลองจำนวน 101 รายบริโภคดาร์คช็อกโกแลต และผลิตภัณฑ์จากโกโก้เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ผลการทดลองพบว่า ไม่มีหลักฐานสนับสนุนใดที่ชี้ว่า การบริโภคช็อกโกแลตจะมีประสิทธิผลต่อสุขภาพทางประสาทจิตวิทยา หรือสุขภาพของหลอดเลือดหัวใจแต่อย่างใด
นอกจากนี้ มีงานวิจัยบางส่วนที่สนับสนุนว่าช็อกโกแลตไม่ส่งผลอย่างแน่ชัดต่อกระบวนการ และสภาวะทางจิต ในขณะที่งานวิจัยอีกส่วนหนึ่งกลับชี้ว่า ส่วนผสมในช็อกโกแลตอาจช่วยในกระบวนการทางจิตในบางด้าน ดังนั้น จึงควรมีการศึกษาค้นคว้าต่อไป ถึงประสิทธิผล และคุณประโยชน์ของช็อกโกแลตทั้งในทางสุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิต เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทางการแพทย์ต่อไปในอนาคต
ที่มา : pobpad
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เจดี เซ็นทรัล เอาใจคุณแม่นักช้อปด้วย แคมเปญ “Mommy Thursday ช้อปของแท้ คุณแม่มั่นใจ” พร้อมดีลเด็ด ๆ และ สินค้าราคาสุดคุ้ม ทุกวันพฤหัสบดี
9+ GOLD MOM CLINIC EP.1 สารอาหารสำคัญ & เพื่อ 1,000 วันแรก ที่สมบูรณ์ โดย พญ.นพรัตน์ ไชยบูรณะพันธ์กุล สูตินรีแพทย์ประจำ รพ. พญาไท 3
ชี้เป้า ของตัวแม่ต้องมี (10 MUST HAVE ITEMS FOR WOMAN & MOM) ช้อปสนุก หยุดไม่อยู่ ในเดือนแห่งแม่ กับ JD CENTRAL ตลอดเดือนสิงหาคม
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!