TAP top app download banner
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้า
เข้าสู่ระบบ
  • TAP Awards 2025
  • อยากท้อง
  • แม่ท้อง แม่ให้นม
    • ระยะการตั้งครรภ์
    • โภชนาการเเม่ท้อง
    • โภชนาการแม่ให้นม
    • ตั้งชื่อลูก
    • พัฒนาการสมอง
  • แม่ผ่าคลอด
    • พัฒนาการเด็กผ่าคลอด
    • เตรียมตัวผ่าคลอด
    • สุขภาพเด็กผ่าคลอด
    • คู่มือคุณแม่ผ่าคลอด
    • การดูแลหลังผ่าคลอด
    • โภชนาการเด็กผ่าคลอด
  • หลังคลอด
    • คลอดธรรมชาติ
    • ผ่าคลอด
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
    • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
    • TAPpedia
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • ไลฟ์สไตล์
    • ที่เที่ยว
    • ที่กิน
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • VIP

ค่าเทอมลูก ควรเป็นกี่ % ของรายได้ คู่มือวางแผนการเงินฉบับพ่อแม่ยุคใหม่

บทความ 5 นาที
ค่าเทอมลูก ควรเป็นกี่ % ของรายได้ คู่มือวางแผนการเงินฉบับพ่อแม่ยุคใหม่

ค่าเทอมลูก ควรเป็นกี่%ของรายได้? บทความนี้จะช่วยคุณแม่วางแผนการเงินเพื่อการศึกษาลูกอย่างสมดุล ไม่กระทบเป้าหมายออมเงินและเกษียณ

พ่อแม่ทุกคนอยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเสมอ และการศึกษาก็คือการลงทุนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่เราจะให้เขาได้ แต่การลงทุนนี้ควรจะหนักแค่ไหน ถึงจะไม่สั่นคลอนความมั่นคงของทั้งครอบครัวในระยะยาว วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันค่ะว่า ค่าเทอมลูก ควรเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ ถึงจะเรียกว่า “พอดี” เพื่อให้เราสามารถส่งลูกเรียนในโรงเรียนที่ฝันไว้ พร้อม ๆ กับการสร้างอนาคตที่มั่นคงให้ตัวเองในวัยเกษียณ และยังคงมีเงินเก็บสำหรับเป้าหมายอื่น ๆ ของครอบครัวได้ด้วยค่ะ

เปิดภาพใหญ่ ค่าใช้จ่ายการศึกษาในไทย

ก่อนจะไปถึงสูตรคำนวณ เรามาดูภาพรวม ค่าเทอมลูก ในปัจจุบันกันก่อนดีกว่าค่ะ เพื่อให้เห็นภาพว่าค่าใช้จ่ายที่รอเราอยู่นั้นมีหน้าตาประมาณไหน ข้อมูลนี้เป็นค่าประมาณการเฉลี่ยต่อปีนะคะ อาจมีบวกลบตามแต่ละสถาบันค่ะ

  • ค่าเทอมโรงเรียนรัฐบาล : อยู่ในเกณฑ์ที่สบายใจได้ค่ะ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 50,000 บาทต่อปี (หรืออาจสูงกว่า สำหรับห้องเรียนพิเศษ) 
  • ค่าเทอมโรงเรียนเอกชน (หลักสูตรสามัญ): ขยับขึ้นมาอีกระดับค่ะ จะอยู่ที่ประมาณ 50,000 – 150,000 บาทต่อปี ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงและสิ่งอำนวยความสะดวก
  • ค่าเทอมโรงเรียนสองภาษา (Bilingual): เป็นตัวเลือกยอดนิยมของคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 150,000 – 400,000 บาทต่อปี
  • ค่าเทอมโรงเรียนนานาชาติ (International School): กลุ่มนี้ค่าใช้จ่ายจะสูงที่สุดค่ะ เริ่มต้นที่ประมาณ 400,000 บาท และอาจสูงไปถึง 1,000,000+ บาทต่อปี ยังไม่รวมค่าแรกเข้า ค่ากิจกรรม และค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ นะคะ

เห็นตัวเลข ค่าเทอมลูก แล้วอย่าเพิ่งตกใจค่ะ! เป้าหมายไม่ใช่การบอกว่าแบบไหนดีที่สุด แต่เพื่อให้เราเตรียมพร้อม เพราะการเลือกโรงเรียนให้ลูก ไม่ใช่แค่การเลือกหลักสูตร แต่คือการเลือกแผนการเงินระยะยาว 15-20 ปีเลยทีเดียว นอกจากนี้ ต้องเตรียมพร้อมสำหรับเงินเฟ้อทางการศึกษาด้วย เช่น ค่าเทอมเพิ่มขึ้นปีละ 6 – 7% มีบางโรงเรียนค่าเทอมอาจเพิ่มขึ้นถึงปีละ 10%

 

ค่าเทอมลูก ควรเป็นกี่%ของรายได้

สูตรไม่ลับ! สัดส่วนเพื่อการศึกษาลูก

จากประสบการณ์และหลักการวางแผนการเงินที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำว่า ภาระค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของลูกทั้งหมด (รวมค่าเทอม, ค่ากิจกรรม, ค่าเรียนพิเศษ) ไม่ควรเกิน 10-15% ของรายได้รวมทั้งครอบครัว

ทำไมต้องเป็น 10-15%?

เพราะสัดส่วนนี้เป็นจุดที่สมดุลที่สุด ที่จะทำให้ครอบครัวของเรายังไปต่อในมิติอื่น ๆ มาดูกันค่ะว่าถ้าเราจัดสรรตามสัดส่วนนี้ จะเป็นอย่างไร

ตัวอย่างการคำนวณ:

  • ครอบครัว A: รายได้รวม (พ่อ+แม่) 80,000 บาท/เดือน
    • สัดส่วน ค่าเทอมลูก ที่เหมาะสม (10-15%): 8,000 – 12,000 บาท/เดือน
    • แปลว่า: สามารถมองหาโรงเรียนเอกชนหรือสองภาษาบางแห่งที่มีค่าเทอมอยู่ในเกณฑ์นี้ได้
  • ครอบครัว B: รายได้รวม (พ่อ+แม่) 200,000 บาท/เดือน
    • สัดส่วน ค่าเทอมลูก ที่เหมาะสม (10-15%): 20,000 – 30,000 บาท/เดือน
    • แปลว่า: มีทางเลือกมากขึ้น อาจจะมองโรงเรียนสองภาษาเต็มรูปแบบ หรือโรงเรียนนานาชาติบางแห่งได้

แล้วเงินที่เหลืออีก 85-90% หายไปไหน? นี่คือหัวใจสำคัญค่ะ! เงินก้อนนั้นต้องถูกจัดสรรไปเพื่อความมั่นคงของครอบครัวทั้งหมด ซึ่งได้แก่

  1. ค่าใช้จ่ายจำเป็น (50-60%): ค่าผ่อนบ้าน/รถ, ค่าน้ำไฟ, ค่าอาหาร, ค่าเดินทาง ฯลฯ
  2. เงินออมและลงทุนเพื่อเกษียณ (10-15%): ส่วนนี้สำคัญมาก! เพราะอนาคตของเราในวันที่ไม่มีแรงทำงาน ของขวัญที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้ลูกได้คือ การที่เราดูแลตัวเองได้ในวัยชรา และไม่สร้างภาระให้ลูกโดยไม่ตั้งใจ
  3. เงินออมเป้าหมายอื่นและไลฟ์สไตล์ (10-20%): เงินสำหรับท่องเที่ยว, ซื้อของที่อยากได้, เงินสำรองฉุกเฉิน, เงินดาวน์รถคันใหม่ เป็นส่วนที่เติมเต็มความสุขให้ครอบครัว

การส่งลูกเรียนในโรงเรียนค่าเทอมสูงลิ่วอาจทำให้เรารู้สึกดีในวันนี้ แต่หากมันต้องแลกมากับการไม่มีเงินเก็บเพื่อวัยเกษียณของตัวเองเลย นั่นอาจหมายความว่า เราอาจเป็นภาระให้ลูกในอนาคตโดยไม่รู้ตัวนะคะ

 

ค่าเทอมลูก ควรเป็นกี่%ของรายได้

 

3 ขั้นตอนสร้างแผนการเงินเพื่อ “ลูก-เรา-อนาคต”

เมื่อเราเข้าใจหลักการแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือทำทีละสเต็ปค่ะ

Step 1: สำรวจและตั้งเป้าหมาย

ก่อนจะออกเดินทาง ต้องรู้ก่อนว่าเราอยู่ตรงไหนและจะไปที่ไหนใช่ไหมคะ? การเงินก็เหมือนกันค่ะ

  • กางบัญชีรายรับ-รายจ่าย: ลองทำบัญชีง่าย ๆ สัก 1-2 เดือน เพื่อให้เห็นภาพที่แท้จริงว่าเงินของเราไหลไปที่ไหนบ้าง อาจจะตกใจนิดหน่อย แต่ขั้นตอนนี้สำคัญมากค่ะ!
  • คุยกันเรื่อง “โรงเรียนในฝัน”: นั่งคุยกับคู่ชีวิตของเราอย่างจริงจังว่าเราอยากให้ลูกเรียนโรงเรียนแนวไหน? ลองหาข้อมูลค่าเทอมของโรงเรียนเป้าหมาย 2-3 แห่ง เพื่อให้มีตัวเลขในใจ
  • วาดฝันวัยเกษียณของเรา: ลองจินตนาการภาพตัวเองตอนอายุ 60 เราอยากใช้ชีวิตแบบไหน? อยากมีเงินใช้จ่ายเดือนละเท่าไหร่? การมีภาพที่ชัดเจน จะทำให้เรามีแรงฮึดในการออมค่ะ

Step 2: จัดสรรงบประมาณแบบแม่ยุคใหม่

เมื่อเห็นภาพรวมแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการแบ่งสรรปันส่วนเงินเดือนของเรากันค่ะ ขอแนะนำ กฎ 50/30/20 ที่เข้าใจง่ายและใช้ได้ผลดีมาก ๆ

  • 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น (Needs): ค่าบ้าน, ค่ารถ, ค่าน้ำไฟ, ค่าอาหาร, ค่าเดินทางไปทำงาน
  • 30% สำหรับสิ่งที่อยากได้ (Wants): ช้อปปิ้ง, ท่องเที่ยว, กินข้าวนอกบ้าน, กิจกรรมสันทนาการ
  • 20% สำหรับการออมและลงทุน (Savings & Investment): หัวใจอยู่ตรงนี้ค่ะ!

 

วางแผนการเงิน

 

จากนั้น ให้เรา “เจาะลึก” เงิน 20% ก้อนนี้ เพื่อแบ่งไปยังเป้าหมายต่าง ๆ เช่น

  • 10% สำหรับการเกษียณ: ใส่ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), RMF, SSF ก่อนเลยค่ะ
  • 5-7% สำหรับการศึกษาลูก: นี่คือส่วนที่เราจะนำไปลงทุนเพื่อเป้าหมายค่าเทอม
  • 3-5% สำหรับเป้าหมายอื่น: เงินสำรองฉุกเฉิน, เงินดาวน์บ้าน/รถ

Tips: เมื่อเงินเดือนออก ให้ “หักออม 20% นี้ก่อน” แล้วค่อยนำที่เหลือไปใช้จ่ายนะคะ วิธีนี้จะช่วยให้เรามีเงินเก็บแน่นอนทุกเดือนค่ะ

Step 3: ให้เงินทำงานแทนเรา (Investment Tools)

การเก็บเงินค่าเทอมไว้ในบัญชีออมทรัพย์เฉย ๆ อาจไม่ทันเงินเฟ้อนะคะ เราต้องรู้จักเลือกใช้เครื่องมือที่ช่วยให้เงินของเราเติบโตขึ้นด้วย มาดูกันว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง

  • สำหรับเป้าหมาย “การศึกษาลูก” (ระยะกลาง-ยาว 10-18 ปี):
    • กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) หรือ กองทุนรวมหุ้น (Equity Fund): เหมาะที่สุดสำหรับการลงทุนระยะยาวค่ะ เพราะมีโอกาสให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าเงินฝากมาก แนะนำให้ใช้วิธี DCA (Dollar-Cost Averaging) คือการตั้งโอนเงินลงทุนจำนวนเท่ากันทุกเดือน เช่น เดือนละ 3,000 บาท วิธีนี้ช่วยสร้างวินัยและลดความเสี่ยงจากตลาดที่ผันผวนได้ดีมากค่ะ
    • ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-Linked): เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะได้ทั้งความคุ้มครองชีวิตของคุณพ่อคุณแม่ (หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ลูกยังมีเงินเรียนต่อ) และโอกาสที่เงินจะเติบโตจากการลงทุนในกองทุนรวม
  • สำหรับเป้าหมาย “ชีวิตหลังเกษียณ” (ระยะยาวมาก ๆ)
    • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กบข.: อันนี้คือภาคบังคับที่ต้องใส่ให้เต็มสิทธิ์เลยค่ะ เพราะมีนายจ้างช่วยสมทบ เหมือนเราได้เงินเพิ่มฟรี ๆ
    • กองทุน RMF (เพื่อการเลี้ยงชีพ) / SSF (เพื่อการออม): เป็นตัวช่วยชั้นดีในการสร้างพอร์ตเกษียณ แถมยังได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเป็นของแถมด้วย

 

การวางแผนการเงินเพื่อลูก ไม่ได้จบแค่การเลือกโรงเรียนที่ดีที่สุด แต่คือการสร้างความมั่นคงที่ยั่งยืนให้กับทั้งครอบครัวค่ะ การศึกษาของลูกสำคัญมาก แต่สุขภาพทางการเงินและความสุขในวัยเกษียณของเราก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะ…ของขวัญที่ดีที่สุดที่เราจะมอบให้ลูกได้ ไม่ใช่โรงเรียนที่แพงที่สุด แต่คือพ่อแม่ที่มีความสุขและสามารถดูแลตัวเองได้ในวัยชรา โดยไม่ทิ้งภาระไว้ให้เขาต้องแบกรับ

ที่มา : 9choke.com , ตลาดหลักทรัพย์แหล่งประเทศไทย, Finnomena

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

บทความจากพันธมิตร
การมีสติ ฉบับเด็ก ๆ เป็นอย่างไร ฝึกลูกให้มีสติ ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย
การมีสติ ฉบับเด็ก ๆ เป็นอย่างไร ฝึกลูกให้มีสติ ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย
ส่งเสริมพัฒนาการเด็กยุคใหม่ด้วย ทักษะ Executive Function
ส่งเสริมพัฒนาการเด็กยุคใหม่ด้วย ทักษะ Executive Function
ปี 2567 เด็กป่วยด้วยโรคอะไร? LUMA แบ่งปันสถิติให้เข้าใจมากขึ้น
ปี 2567 เด็กป่วยด้วยโรคอะไร? LUMA แบ่งปันสถิติให้เข้าใจมากขึ้น
Value Health (Kids) ประกันสุขภาพสำหรับลูกน้อย เจ้าของรางวัล Most Promising จากเวที TAP Awards 2023
Value Health (Kids) ประกันสุขภาพสำหรับลูกน้อย เจ้าของรางวัล Most Promising จากเวที TAP Awards 2023

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

สิริลักษณ์ อุทยารัตน์

  • หน้าแรก
  • /
  • การวางแผนการเงิน
  • /
  • ค่าเทอมลูก ควรเป็นกี่ % ของรายได้ คู่มือวางแผนการเงินฉบับพ่อแม่ยุคใหม่
แชร์ :
  • 7 สิ่งที่ลูกมักได้จากพ่อ พันธุกรรมนี้พ่อให้มาล้วนๆ เช็กเลย!

    7 สิ่งที่ลูกมักได้จากพ่อ พันธุกรรมนี้พ่อให้มาล้วนๆ เช็กเลย!

  • เด็กยุค AI ฉลาด...แต่ รับมือโลกจริงไหวไหม? หมอแนะวิธีเลี้ยงลูกให้แกร่ง

    เด็กยุค AI ฉลาด...แต่ รับมือโลกจริงไหวไหม? หมอแนะวิธีเลี้ยงลูกให้แกร่ง

  • กฎหมายแรงงานใหม่ 2568: ทำไมสิทธิ์ พ่อลาเลี้ยงลูก 15 วัน ถึงสำคัญ?

    กฎหมายแรงงานใหม่ 2568: ทำไมสิทธิ์ พ่อลาเลี้ยงลูก 15 วัน ถึงสำคัญ?

  • 7 สิ่งที่ลูกมักได้จากพ่อ พันธุกรรมนี้พ่อให้มาล้วนๆ เช็กเลย!

    7 สิ่งที่ลูกมักได้จากพ่อ พันธุกรรมนี้พ่อให้มาล้วนๆ เช็กเลย!

  • เด็กยุค AI ฉลาด...แต่ รับมือโลกจริงไหวไหม? หมอแนะวิธีเลี้ยงลูกให้แกร่ง

    เด็กยุค AI ฉลาด...แต่ รับมือโลกจริงไหวไหม? หมอแนะวิธีเลี้ยงลูกให้แกร่ง

  • กฎหมายแรงงานใหม่ 2568: ทำไมสิทธิ์ พ่อลาเลี้ยงลูก 15 วัน ถึงสำคัญ?

    กฎหมายแรงงานใหม่ 2568: ทำไมสิทธิ์ พ่อลาเลี้ยงลูก 15 วัน ถึงสำคัญ?

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • พัฒนาการลูก
  • ชีวิตครอบครัว
  • ระยะการตั้งครรภ์
  • โภชนาการ
  • ไลฟ์สไตล์
  • TAP สังคมออนไลน์
  • ติดต่อโฆษณา
  • ติดต่อเรา
  • Influencer Marketing (KOL)
  • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Vietnam flag Vietnam
© Copyright theAsianparent 2025. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว