ปัจจุบันทั่วโลกยอมรับว่านมแม่เป็นอาหารที่ดี และเหมาะสมสำหรับลูกมากที่สุด แล้วถ้าหากนมแม่นั้นได้รับบริจาคมาล่ะจะมั่นใจได้อย่างไรว่าปลอดภัย เพราะจากสถิติแล้ว มีเชื้อโรคเกิดใหม่มากมายขึ้นทุกวัน ซึ่งอาจปนเปื้อนอยู่ในน้ำนมได้ วันนี้ theAsianparent Thailand จะพามาดูกันว่า บริจาคนมแม่ ทำอย่างไร ควรรับบริจาคนมแม่ไหม ใครสงสัยอยู่ ตามไปดูกันเลย
อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า นมแม่ถือเป็นอาหารที่ดี และเหมาะสมสำหรับลูกมากที่สุด ซึ่งมีแนวโน้มว่าแม่จะหันมาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มากขึ้นแต่มีบางครั้งที่แม่ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ด้วยนมของตนเองจากปัจจัยต่าง ๆ จึงได้มีการนำนมแม่คนอื่นมาเลี้ยงลูก สำหรับประเทศไทยได้เกิดวัฒนธรรมเช่นนี้มานานแล้ว ที่เรียกกันว่า “แม่นม” แต่ปัจจุบันมีเชื้อโรคใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย หลายคนจึงเกิดคำถามขึ้นมาแล้วทารกจะได้รับเชื้อนั้น ๆ หรือไม่
ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน กล่าวว่า มีงานวิจัยจากสมาคมธนาคารนมแม่ระบุว่า คุณแม่ที่มาบริจาคนม 1,091 คน แม้จะมาด้วยจิตใจเมตตาที่บริสุทธิ์ที่จะเป็นผู้ให้ อีกทั้งตอบแบบสอบถามการคัดกรองเบื้องต้นที่น่าจะเข้าข่าย “ผู้เสี่ยงโรคต่ำ” สามารถบริจาคนมได้ แต่เมื่อตรวจทางแล็บโดยละเอียดกลับพบว่า มีคุณแม่จำนวนมากที่ติดเชื้อไวรัสเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว เช่น ติดเชื้อ HTLV 6 คนเชื้อซิฟิลิส 6 คน เชื้อตับอักเสบ บี 17 คน เชื้อตับอักเสบ ซี 3 คน และติดเชื้อ HIV 4คน ซึ่งเชื้อเหล่านี้สามารถติดเชื้อต่อไปยังทารกที่กินนมได้ ดังนั้น ก่อนที่จะให้ลูกกินนมคนอื่นต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะติดโรคและธนาคารนมแม่ทุกแห่งควรตรวจหาเชื้อโรคก่อนเสมอเพื่อความปลอดภัยของทารก”
นายแพทย์ประชา นันท์นฤมิต หัวหน้าหน่วยทารกแรกเกิด ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้ความรู้เกี่ยวกับการแพร่ของเชื้อโรคสู่ทารกว่า โดยทั่วไปเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย มีโอกาสติดต่อผ่านทางน้ำนมได้ แต่กรณีที่แม่ติดเชื้อไวรัสหรือเชื้อแบคทีเรีย ไม่ได้หมายความว่าลูกจะกินนมแม่ไม่ได้ ในกรณีทารกปกติทั่วไปที่ร่างกายแข็งแรง เช่น ถ้าแม่เป็นหวัด เป็นไปได้ว่าอาจมีเชื้อหวัดจำนวนเล็กน้อยออกทางน้ำนมได้ แต่ทารกจะไม่มีอาการและเป็นปกติ เพราะการติดเชื้อหวัดส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับเสมหะ การไอ การจาม แต่ถ้าเป็นทารกที่มีความเสี่ยง เช่น ทารกที่คลอดก่อนกำหนดอาจทำให้เกิดมีปัญหาได้ แต่ที่น่ากลัวมาก ๆ คือ เอดส์ หรือเชื้อเอชไอวี เพราะมีข้อมูลชัดเจนว่าถ้าแม่ติดเชื้อ HIV เราจะไม่ให้กินนมแม่ เพราะเด็กมีโอกาสเสี่ยงที่จะติดเชื้อ HIV จากแม่ได้ ทั้งนี้นายแพทย์ประชา ได้แสดงความคิดเห็นถึงการรับนมจากแม่คนอื่นว่า แม่ควรให้นมลูกด้วยตนเอง หากมีความจำเป็นจริง ๆ ควรรับนมจากหน่วยงานที่ได้รับมาตรฐานเพราะมีการตรวจสุขภาพผู้มาขอบริจาคและซักประวัติอย่างละเอียดเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดกับทารกได้
มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ได้ให้คำแนะนำว่า การบริจาคหรือการให้นมแก่ลูกคนอื่นนั้นต้องอยู่ภายในความสมัครใจและความยินยอมทั้งสองฝ่าย และสิ่งสำคัญการคุ้มครองสิทธิเด็กให้ได้รับอาหารที่ปลอดภัย โดยแม่ที่ให้นมแก่ลูกคนอื่นนั้น จะต้องได้รับการรับรองจากสถาบันทางการแพทย์ว่าไม่มีโรคติดเชื้อต่าง ๆ ได้แก่ เชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบ บี และซี และไซโตเมกกาโลไวรัส (CMV) รวมทั้งแม่ที่เสพสารเสพติดทุกชนิด เช่น สูบบุหรี่ และดื่มสุรา สรุปว่า การให้นมแม่แก่ลุกคนอื่นนั้นมีความเสี่ยงแม้จะไม่สูง แต่เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ทารกสูงสุด จึงควรมีระบบการจัดการในการบริจาค ต้องมีกระบวนการคัดกรองเป็นอย่างดี
บทความที่เกี่ยวข้อง : วิธีปั๊มนม ปั๊มนมให้เกลี้ยงเต้า เอาใจคุณแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาว่าง

รู้จักธนาคารนมแม่รามาธิบดี
ธนาคารนมแม่รามาธิบดีเป็นธนาคารนมแม่ที่เปิดรับบริจาคน้ำนมมารดาเพื่อนำไปใช้กับทารกป่วย หรือมีข้อจำกัดในการรับนมมารดา เช่น แม่เป็นโรคเลือด มีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม ติดสิ่งเสพติด ติดเชื้อเอชไอวี หัวนมแตก หรือในช่วงแรกที่แม่ยังไม่มีน้ำนม รวมถึงกรณีเด็กคลอดก่อนกำหนดหรือมีน้ำหนักตัวน้อยให้ได้รับนมแม่
นางสิริมนต์ คงถาวร พยาบาลวิชาชีพเฉพาะทาง ผู้ดูแลธนาคารนมแม่ เปิดเผยว่า สัปดาห์หนึ่งจะมีผู้มาบริจาคนม 2 – 3 ราย แต่ละรายสามารถบีบน้ำนมออกมาได้เฉลี่ย 50 ถุง ถุงละ 5 ออนซ์ หรือเทียบเท่ากับปริมาณของขวดนมขนาดเล็ก 2 – 3 ขวด มีเด็กทารกที่ได้รับน้ำนมเฉลี่ยสัปดาห์ละ 4 คน จ่ายน้ำนมขั้นต่ำประมาณ 7 ขวด/คน/สัปดาห์ ถือว่ามีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการ แม่ที่มาบริจาคส่วนใหญ่จะเป็นหมอหรือพยาบาลที่ทำงานภายในโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยแม่จะมาบีบน้ำนมสดที่ศูนย์ ส่วนบุคคลภายนอกที่จะมาบริจาคจะมีการตรวจประวัติอย่างละเอียดก่อน โดยน้ำนมแม่จะผ่านกระบวนการพาสเจอไรซ์เพื่อยืนยันความปลอดภัย ทั้งนี้ที่ผ่านมาธนาคารนมแม่ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากทั่วโลก ยังไม่เคยมีเด็กรับบริจาคติดเชื้อเลย”
ในทางปฏิบัติคุณแม่ควร รับ บริจาคนมแม่ หรือไม่
ความจริงแล้ว หากคุณแม่คลอดลูกใหม่ ๆ ควรพยายามให้นมลูกด้วยตนเอง การรับบริจาคนมแม่นั้นมีความเสี่ยงมากในการรับเชื้อโรคที่เป็นอันตรายผ่านทางน้ำนม หากไม่ใช่ได้รับบริจาคจากธนาคารนมแม่ที่มีการคัดกรอง และทำการพาสเจอไรซ์นมจนมั่นใจได้ในความปลอดภัย
พ.ญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องการบริจาคนมแม่และการรับบริจาคนมแม่ไว้ดังนี้ “เราควรจะให้สังคมรู้ว่าไม่ควรรับน้ำนมบริจาคและไม่ควรบริจาคน้ำนมให้กับลูกของคนอื่น มีคนไข้ถามหมอมาตลอดเหมือนกัน ว่าเขามีน้ำนมเยอะจะสามารถเอาไปบริจาคได้หรือไม่ หมอก็บอกว่า อย่าเลย เก็บไว้ให้ลูกกินเถอะ เพราะว่าคุณบริจาคไปแล้วถ้าลูกเขามีปัญหา คุณจะรับผิดชอบไม่ไหว ไม่แนะนำให้ทำ” กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่กล่าวทิ้งท้าย
บทความที่เกี่ยวข้อง : ปัญหาน้ำนมแม่ น้ำนมน้อย แม่ให้นมเครียดสุด เรื่องจริงหรือแม่คิดไปเอง

พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ทารกแรกเกิดโรงพยาบาลบีเอ็นเอช และอนุกรรมการศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย ให้คำตอบเกี่ยวกับการบริจาคนมแม่ว่า ในต่างประเทศมีการแชร์น้ำนมระหว่างแม่ แต่มีหน่วยงานที่คอยสุ่มตรวจ เพราะมีการขายน้ำนมแม่เกิดขึ้น ซึ่งพบว่า ผู้ขายน้ำนมแม่บางคนมีการใช้นมวัวหรือใช้น้ำเปล่าเจือจางนมแม่ไปจนถึงการตรวจเจอเชื้อโรคที่เป็นอันตรายอย่าง เอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี และซี เป็นต้น แต่ถ้าให้ปลอดภัยคือต้องได้รับน้ำนมจากธนาคารนมที่มีการดูแลจัดการเช่นเดียวกับธนาคารเลือด คือ มีการคัดกรองเหมือนกับการบริจาคเลือด มีการซักประวัติถึงความเสี่ยงต่าง ๆ ในต่างประเทศมีธนาคารน้ำนมแหล่งแห่ง แต่สำหรับประเทศไทยตอนนี้มีธนาคารน้ำนมรามาธิบดีแค่แห่งเดียวซึ่งจะให้ฟรีกับกลุ่มทารกที่ป่วยหนักและทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักแค่ 500 กรัม – 1 กิโลกรัม ลำไส้ของเด็กเหล่านี้ไม่สามารถย่อยนมที่ข้ามสายพันธุ์ได้ ถ้ากินนมวัวมีความเสี่ยงที่จะเกิดลำไส้เน่า หรือการติดเชื้อในกระแสเลือดไปจนถึงการติดเชื้อที่สมอง ส่วนในต่างประเทศมีธนาคารน้ำนมที่มีนมแม่ขาย แต่ราคาแพงมาก คือ นมแม่ 1 ออนซ์ หรือ 30 CC. มีราคาราว ๆ 200 บาท
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ลูกกินนมไม่หมด นมแม่ นมผง ลูกกินแล้วเหลือ ทำอย่างไรดี ?
ลูกดูดเต้าเดียว นมแม่ใหญ่ข้างเล็กข้าง เพราะเจ้าตัวดีสะดวกแบบนี้
เผยเคล็ดลับ! เทคนิคเพิ่มน้ำนม และจัดตารางการปั๊มนมสำหรับ Working Mom!
ที่มา : 1, 2
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!