การสบตา เป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารของทารกที่สำคัญต่อพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของเด็ก พ่อแม่หลายคนอาจรู้สึกกังวลใจเมื่อ ลูกไม่ยอมสบตา ไม่แน่ใจว่าอาการแบบนี้เป็นเรื่องปกติหรือเป็นสัญญาณของปัญหาหรือไม่ เราจะพาคุณแม่มาทำความเข้าใจ สาเหตุที่ลูกไม่ยอมสบตา วิธีสังเกต และวิธีแก้ไข เพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัยค่ะ
ลูกไม่ยอมสบตา สาเหตุเกิดจากอะไร
-
ขาดการกระตุ้นจากผู้ใกล้ชิด
ตั้งแต่แรกเกิด – 3 ปี เป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างสัมพันธภาพและพัฒนาทักษะทางสังคม เด็กที่ไม่ได้รับการสบตา โต้ตอบ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ดูแลอย่างเพียงพอ เช่น พ่อแม่ปล่อยลูกไว้กับขวดนม ไม่มีใครเข้ามาเล่นหรือเข้ามาคุยด้วย อาจไม่พัฒนาทักษะการสบตาเท่าที่ควร เพราะขาดการเรียนรู้และแบบอย่าง
-
มีความผิดปกติของตาและการรับภาพ
ลูกอาจมีปัญหาสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง หรือโรคตาบางชนิด ทำให้เด็กมองเห็นภาพไม่ชัดเจน และส่งผลต่อการสบตาได้ นอกจากนี้ ความผิดปกติของการรับรู้ภาพ เช่น ปัญหาในการแยกแยะใบหน้า หรือการประมวลผลข้อมูลภาพ ก็อาจทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายตาเมื่อสบตา ความผิดปกติบางอย่างอาจพบได้ตั้งแต่แรกเกิด บางอย่างอาจแสดงอาการชัดเจนขึ้นเมื่อเด็กโตขึ้น
-
มีความบกพร่องในการทำงานของระบบประสาท จากการขาดออกซิเจน
ภาวะขาดออกซิเจนในสมอง (เช่น ระหว่างการคลอด) อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของสมอง รวมถึงบริเวณที่ควบคุมการมองเห็นและการประมวลผลข้อมูลทางสังคม ทำให้เด็กมีปัญหาในการสบตาและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดยมักพบตั้งแต่แรกเกิด หรือในช่วงขวบปีแรกๆ
-
โรคออทิสติกสเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder: ASD)
เด็กที่มีภาวะออทิสติกสเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder: ASD) มักมีความบกพร่องในการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม รวมถึงการสบตา ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความบกพร่องในการทำงานของสมอง ซึ่งอาการมักเริ่มปรากฏชัดเจนในช่วง 1-3 ปี
-
ความขี้อายหรือความวิตกกังวลทางสังคม
เด็กบางคนอาจมีบุคลิกขี้อาย หรือมีความวิตกกังวลในสถานการณ์ทางสังคม ทำให้รู้สึกไม่สบายใจที่จะสบตาผู้อื่น โดยทั่วไปมักเริ่มสังเกตเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อเด็กเริ่มเข้าสังคมมากขึ้น เช่น ช่วงวัยเข้าโรงเรียนอนุบาล
-
ความไวของประสาทสัมผัส (sensory processing differences)
เด็กบางคนมีความไวต่อสิ่งเร้าทางประสาทสัมผัสมากกว่าปกติ เช่น แสง เสียง หรือการสัมผัส การสบตาอาจทำให้เด็กรู้สึกไม่สบาย หรือรู้สึกถูกกระตุ้นมากเกินไป ซึ่งพ่อแม่อาจเริ่มสังเกตเห็นรูปแบบการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ ตั้งแต่วัยทารก

5 ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเมื่อ ลูกไม่ยอมสบตา
ปัจจุบันมีความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการไม่สบตาของเด็ก ดังนี้
- เด็กที่ไม่สบตาคือเด็กที่ไม่มีมารยาท หรือดื้อ
ความจริง: การไม่สบตาของเด็กอาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งทางพัฒนาการ ประสาทสัมผัส หรือความวิตกกังวล การตัดสินว่าเด็กไม่มีมารยาทจึงไม่ถูกต้อง
- เด็กที่ไม่สบตาเป็นเด็กออทิสติกเสมอไป
ความจริง: แม้ว่าการไม่สบตาจะเป็นอาการหนึ่งของออทิสติก แต่เด็กที่ไม่สบตาก็อาจมีสาเหตุอื่นๆ ได้ เช่น ความขี้อาย ความแตกต่างทางประสาทสัมผัส หรือปัญหาด้านการมองเห็น การวินิจฉัยออทิสติกต้องอาศัยการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ
- เด็กที่ไม่สบตาจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมได้
ความจริง: เด็กแต่ละคนมีวิธีการสื่อสารและสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่แตกต่างกัน แม้เด็กจะไม่สบตา แต่ก็อาจแสดงความสนใจและความรู้สึกผ่านทางอื่นได้ เช่น การแสดงท่าทาง การใช้เสียง หรือการสัมผัส
- การบังคับให้เด็กสบตาจะช่วยแก้ปัญหาได้
ความจริง: การบังคับอาจทำให้เด็กเกิดความเครียดและวิตกกังวลมากขึ้น ควรใช้วิธีการที่อ่อนโยนและค่อยเป็นค่อยไปในการส่งเสริมทักษะการสบตาของเด็ก
- ออทิสติกเทียม คือเด็กที่ถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ที่ไม่ใส่ใจเลยทำให้เด็กมีอาการไม่สบตา
ความจริง: แม้ว่าการเลี้ยงดูมีผลต่อพัฒนาการของเด็ก แต่การวินิจฉัยออทิสติกเทียมนั้นจำเป็นต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยอย่างถูกต้อง ซึ่งออทิสติกเทียมก็มีอาการหลายๆอย่างร่วมด้วยไม่ใช่แค่อาการไม่สบตาอย่างเดียว
ลูกไม่ยอมสบตา ทำยังไงดี
เมื่อคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกไม่ยอมสบตา หรือสบตาน้อยกว่าปกติ ควรรีบหาสาเหตุ และให้การช่วยเหลืออย่างเหมาะสม โดยมีแนวทางดังนี้
-
ตรวจเช็คความสามารถของเด็ก
- ประเมินพัฒนาการโดยรวม การไม่สบตา อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความล่าช้า หรือความผิดปกติในการพัฒนาการด้านอื่นๆ เช่น ด้านภาษา การสื่อสาร การเคลื่อนไหว หรือการเรียนรู้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตพัฒนาการของลูกในด้านต่างๆ และเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานในสมุดสุขภาพ
- ปรึกษากุมารแพทย์ หากไม่แน่ใจ หรือพบความผิดปกติ ควรพาลูกไปพบกุมารแพทย์ เพื่อตรวจเช็คพัฒนาการอย่างละเอียด แพทย์จะช่วยประเมิน และวินิจฉัยหาสาเหตุของปัญหา รวมถึงให้คำแนะนำในการดูแล และส่งเสริมพัฒนาการของลูก
-
หาต้นเหตุของปัญหา
- ขาดการกระตุ้น หากพ่อแม่สบตา พูดคุย และมีปฏิสัมพันธ์กับลูกน้อยเกินไป อาจส่งผลต่อพัฒนาการด้านการสบตา ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรมีปฏิสัมพันธ์กับลูกให้มากขึ้น เช่น
-
- ใกล้ชิดลูกน้อย เข้าหาลูกบ่อยๆ ในระยะใกล้ประมาณ 1 ฟุต
- พูดคุยและเล่นกับลูก เรียกชื่อลูก พูดคุยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ยิ้ม และเล่นกับลูก
- สบตาลูกน้อย พยายามสบตาลูกให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใบหน้าของคุณพ่อคุณแม่ คือ สิ่งที่ลูกน้อยให้ความสนใจมากที่สุด การสบตาและการแสดงสีหน้าของคุณ จะช่วยดึงดูดความสนใจของลูก และกระตุ้นพัฒนาการด้านการสบตา
ยิ่งคุณพ่อคุณแม่อุ้ม พูดคุย และเล่นกับลูกบ่อยๆ ลูกก็จะยิ่งสนใจมองใบหน้า และเรียนรู้ที่จะสบตาได้นานขึ้น เมื่อลูกน้อยคุ้นเคยกับการสบตา ระยะเวลาที่ลูกสบตาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น อาจเริ่มจาก 2 วินาที พัฒนาขึ้นเป็น 3 วินาที, 5 วินาที, และ 10 วินาที หรือมากกว่านั้น
- สิ่งแวดล้อม พิจารณาว่ามีสิ่งเร้าในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายใจหรือไม่ เช่น แสงสว่าง เสียงดัง หรือผู้คนพลุกพล่าน หากเป็นไปได้ ควรปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับลูก

-
สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและผ่อนคลาย
- ลดความเครียด สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น ผ่อนคลาย และปลอดภัย เพื่อให้ลูกรู้สึกสบายใจ และมั่นใจในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
- ความอดทนและเข้าใจ อย่าบังคับ หรือดุว่าลูก แต่ควรให้กำลังใจ และสนับสนุนลูกอย่างอดทน
-
การใช้เทคนิคการสื่อสารที่เหมาะสม
- สื่อสารระดับสายตา เมื่อพูดคุยกับลูก ควรนั่ง หรือย่อตัวลงให้ระดับสายตาอยู่ในระดับเดียวกับลูก เพื่อให้ลูกสบตาได้ง่ายขึ้น
- ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่เรียบง่าย ชัดเจน และเข้าใจง่าย สื่อสารกับลูกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และเป็นมิตร
- รอคอย ให้เวลากับลูกในการตอบสนอง อย่าเร่งรัด หรือขัดจังหวะลูก
-
การส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
- การเล่น ส่งเสริมให้ลูกเล่นกับเพื่อน หรือพี่น้อง เพื่อฝึกทักษะการสบตา การสื่อสาร และการเข้าสังคม
- กิจกรรมกลุ่ม พาลูกเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม เช่น กลุ่มเล่น กลุ่มเรียนรู้ หรือกลุ่มบำบัด เพื่อให้ลูกมีโอกาสได้ฝึกปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ลูกไม่สบตา เมื่อไหร่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
การที่ลูกไม่สบตา ในบางกรณีควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยประเมินและหาแนวทางช่วยเหลือที่เหมาะสม
-
มีความกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการโดยรวมของเด็ก
- หากลูกมีพัฒนาการล่าช้าในด้านอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ด้านภาษา การเคลื่อนไหว หรือการเรียนรู้
- หากลูกไม่บรรลุพัฒนาการตามเกณฑ์มาตรฐานในสมุดสุขภาพ
- หากคุณพ่อคุณแม่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการของลูก แม้ว่าจะไม่พบความผิดปกติที่ชัดเจน
-
มีสัญญาณของ ASD หรือความผิดปกติอื่นๆ
- สัญญาณออทิสติก: หากลูกมีพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงภาวะออทิสติกสเปกตรัม (ASD) เช่น
- ไม่สบตา หรือสบตาน้อยมาก
- ไม่ตอบสนองเมื่อถูกเรียกชื่อ
- มีปัญหาในการสื่อสาร
- มีพฤติกรรมซ้ำๆ
- มีความไวต่อสิ่งเร้า
- สัญญาณอื่นๆ: หากลูกมีพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติอื่นๆ เช่น
-
การไม่สบตาส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเด็ก
- ปัญหาการเรียน: หากการไม่สบตาส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ เช่น ไม่สามารถตั้งใจเรียน หรือมีปัญหาในการเข้าสังคมกับเพื่อน
- ปัญหาครอบครัว: หากการไม่สบตาทำให้เกิดปัญหาในการสื่อสาร และสร้างความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว
- ปัญหาพฤติกรรม: หากการไม่สบตามาพร้อมกับพฤติกรรมก้าวร้าว หรือทำร้ายตนเอง
การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ลูกได้รับการประเมิน วินิจฉัย และช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนา และปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ดีขึ้น
ที่มา DoctorAtHome , คู่มือการดูแลและพัฒนาเด็กเล็กวัย 0-3 ปี
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เช็กสัญญาณเสี่ยง! ออทิสติกเทียม รีบแก้ไข ก่อนเป็นภัยคุกคามพัฒนาการลูก
ทารกได้ยินตอนไหน การได้ยินของทารกเริ่มเมื่อไหร่ กระตุ้นการได้ยินอย่างไร
15 วิธีกระตุ้นสมองทารก ช่วยให้ลูกฉลาด ทำได้ตั้งแต่แรกเกิด
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!