ความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างแม่และลูกน้อย ถือเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตทางอารมณ์และจิตใจที่แข็งแรงของลูก ลูกติดแม่มาก อาจเป็นเรื่องปกติในบริบทของพัฒนาการในบางช่วงวัย แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจทำให้คุณแม่กังวลใจเนื่องจาก ลูกติดแม่จนไม่เป็นอันทำอะไร ภาวะเช่นนี้จะส่งผลต่อพัฒนาการของลูกในระยะยาวหรือไม่ มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะ ลูกติดแม่มาก รวมถึงแนวทางการรับมือที่เหมาะสมให้ลูกรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ และอยู่ได้โดยไม่ต้องเรียกหาแม่ตลอดเวลา
“แม่” คือโลกที่ปลอดภัย เข้าใจภาวะติดแม่ในเด็กแต่ละช่วงวัย
ความรู้สึกผูกพันและต้องการอยู่ใกล้ชิดแม่ เป็นเรื่องปกติในพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กเริ่มตระหนักถึงการมีอยู่จริงของแม่ในฐานะผู้ดูแลหลักและแหล่งความปลอดภัยแรก ภาวะ “ติดแม่” จะยิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อเด็กรู้สึกไม่มั่นคงหรือไม่ปลอดภัยในสภาพแวดล้อม
ภาวะ “ลูกติดแม่” ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ตามทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) โดย John Bowlby ความใกล้ชิดกับผู้ดูแลหลัก ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นแม่ คือ ความต้องการพื้นฐานของทารก พวกเขาต้องการความรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น และได้รับการตอบสนองต่อความต้องการอย่างสม่ำเสมอจากบุคคลที่พวกเขาสร้างความผูกพันด้วย
แม้ว่าลูกน้อยวัยหัดเดินจะเริ่มมีความเป็นตัวของตัวเองและต้องการสำรวจโลกมากขึ้น แต่ความวิตกกังวลเมื่อต้องแยกจากแม่ ก็เป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้น สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันที่พวกเขามีต่อแม่ และความไม่คุ้นเคยหรือไม่มั่นใจเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ โดยไม่มีบุคคลที่พวกเขารู้สึกปลอดภัยอยู่เคียงข้าง
-
วัยก่อนเข้าเรียน (3 – 5 ปี)
สำหรับเด็กก่อนวัยเรียน บทบาทของแม่เปรียบเสมือนแบ็กอัพ ที่ทำให้ลูกกล้าที่จะก้าวออกไปสำรวจโลกกว้างอย่างอิสระ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกไม่มั่นใจ เหนื่อยล้า หรือเผชิญกับความท้าทาย พวกเขาจะกลับมาหาแม่เพื่อขอการปลอบโยน กำลังใจ และการยืนยันความรู้สึก ก่อนที่จะออกไปผจญภัยต่อ การติดแม่ในวัยนี้จึงเป็นการแสดงออกถึงความไว้วางใจและความรู้สึกปลอดภัยที่พวกเขามีต่อแม่นั่นเอง

ทำไมลูกถึงติดแม่มาก
การที่ลูกน้อยแสดงความผูกพันและต้องการอยู่ใกล้ชิดกับแม่เป็นพิเศษในช่วงวัยต่างๆ นั้น มีรากฐานมาจากความต้องการพื้นฐานและการพัฒนาทางจิตใจตามธรรมชาติ ดังนี้
-
ความต้องการทางร่างกายและอารมณ์ขั้นพื้นฐาน ได้แก่ อาหาร ความอบอุ่น ความปลอดภัย
แม่มักเป็นผู้ดูแลหลักที่ตอบสนองความต้องการเหล่านี้ของลูกตั้งแต่แรกเกิด ทารกเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงความอยู่รอดและความสุขสบายกับแม่ ซึ่งเป็นไปตามหลักการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข (Classical Conditioning) ของ Ivan Pavlov ที่สิ่งเร้าที่เป็นกลาง (ตัวแม่) กลายเป็นสิ่งเร้าที่มีความหมายเมื่อเชื่อมโยงกับความต้องการพื้นฐานที่ได้รับการตอบสนอง
-
แม่เป็นบุคคลแรกที่สร้างความผูกพันและไว้วางใจ
ทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) ของ John Bowlby เน้นย้ำว่าประสบการณ์ในช่วงต้นของชีวิตในการได้รับการดูแลที่สม่ำเสมอและตอบสนองความต้องการ จะนำไปสู่การสร้างความผูกพันที่มั่นคง (Secure Attachment) ลูกจะเรียนรู้ที่จะไว้วางใจว่าแม่จะพร้อมให้ความช่วยเหลือและความปลอดภัยเสมอ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเองและความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในอนาคต
-
ความคุ้นเคยและความสบายใจเมื่ออยู่ใกล้แม่
ลูกน้อยใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับแม่ พวกเขาคุ้นเคยกับเสียง กลิ่น สัมผัส และการแสดงออกทางอารมณ์ของแม่ ความคุ้นเคยนี้เองสร้างความรู้สึกปลอดภัยและสบายใจ ดังที่นักจิตวิทยาพัฒนาการ เช่น Mary Ainsworth ได้ศึกษาและอธิบายถึงความสำคัญของ “ฐานที่มั่นคง” (Secure Base) ที่แม่มอบให้ลูก ลูกจะรู้สึกมั่นใจและกล้าที่จะสำรวจโลกเมื่อรู้ว่ามีแม่เป็นที่พักพิงที่ปลอดภัยเสมอ

ลูกติดแม่มาก แบบไหนที่เรียกว่า “ทั่วไป” และแบบไหนที่ “น่ากังวล”
อาการลูกติดแม่แบบทั่วไป
- ต้องการความสนใจจากแม่เป็นพิเศษในช่วงเวลาหนึ่ง
- แสดงความกังวลเมื่อแม่ไม่อยู่ แต่สามารถสงบลงได้เมื่อมีคนดูแลที่คุ้นเคย
- ค่อยๆ ปรับตัวและมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น
- ยังคงแสดงความรักและความผูกพันกับแม่
สัญญาณที่บ่งบอกว่าลูกอาจติดแม่มากเกินไป
- วิตกกังวลอย่างรุนแรงเมื่อต้องแยกจากแม่ แม้เพียงชั่วครู่
- ไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ด้วยตัวเองหากไม่มีแม่
- มีปัญหาในการเข้าสังคมหรือสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น
- แสดงอาการทางร่างกายเมื่อต้องแยกจากแม่ เช่น ปวดท้อง ร้องไห้มาก
- พึ่งพาแม่มากเกินไปในทุกเรื่อง
รับมืออย่างไร… เมื่อลูกติดแม่มาก
การที่ลูกติดแม่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ หากเรามองว่ามันเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกถึงความต้องการความมั่นใจจากภายใน การสร้างความเป็นอิสระ ความภาคภูมิใจในตนเอง และ ความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง ให้ลูกอย่างสม่ำเสมอ เป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้เด็กค่อยๆ เติบโตและสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคงโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแม่อยู่ตลอดเวลา โดยคุณแม่สามารถนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้ได้ค่ะ
-
สร้างความรู้สึกปลอดภัยและความไว้วางใจ
- ตอบสนองต่อสัญญาณต่างๆ ที่ลูกส่งมาอย่างรวดเร็วและด้วยความเอาใจใส่ จะช่วยให้ลูกรับรู้ว่าตนเองเป็นที่รักและได้รับการดูแล
- สร้างสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น ปลอดภัย และคาดการณ์ได้ สภาพแวดล้อมที่มั่นคงและมีกิจวัตรที่ชัดเจนจะช่วยลดความวิตกกังวลของลูก ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและสามารถคาดการณ์สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
- ใช้เวลาคุณภาพกับลูกอย่างสม่ำเสมอ การให้ความสนใจลูกอย่างเต็มที่ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่มีคุณภาพ จะช่วยเสริมสร้างความผูกพันทางอารมณ์ ทำให้ลูกรู้สึกได้รับการใส่ใจ แม้ในเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา

-
การสนับสนุนให้ลูกได้ลองทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง
จะช่วยลดการพึ่งพาแม่และสร้างความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง
- ค่อยๆ ฝึกให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง จะช่วยเสริมสร้างความภาคภูมิใจและความรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถ เริ่มจากงานง่ายๆ ที่เหมาะสมกับวัย เช่น แต่งตัว ทานอาหาร และค่อยๆ เพิ่มความท้าทาย
- ให้โอกาสลูกได้สำรวจและเรียนรู้โลกภายนอกภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด จะช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านต่างๆ และลดความรู้สึกว่าต้องมีแม่ประกบอยู่ตลอดเวลา
- ชื่นชมและให้กำลังใจเมื่อลูกทำสิ่งต่างๆ ได้สำเร็จ จะช่วยเสริมสร้างแรงจูงใจและความมั่นใจในตนเอง ทำให้ลูกกล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ มากขึ้น
-
การค่อยๆ ฝึกให้ลูกคุ้นเคยกับการแยกจากจะช่วยลดความกังวลและทำให้การจากลาเป็นเรื่องง่ายขึ้น
- อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าแม่จะกลับมา จะช่วยให้ลูกรู้สึกมั่นใจว่าการจากลาเป็นเพียงชั่วคราว
- มีขั้นตอนการบอกลาที่แน่นอน เช่น การกอด การบอกรัก และการโบกมือ จะช่วยให้ลูกรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและลดความสับสน
- หลีกเลี่ยงการแอบหนี เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกไม่ปลอดภัย การจากไปโดยที่ลูกไม่รู้ตัวจะทำให้ลูกรู้สึกถูกทอดทิ้งและวิตกกังวลในการแยกจากครั้งต่อไป
- ให้ลูกมีสิ่งของที่คุ้นเคยติดตัวเมื่อต้องแยกจากแม่ เช่น ตุ๊กตา ผ้าห่ม หรือของเล่นชิ้นโปรด สามารถเป็นตัวแทนของความรู้สึกปลอดภัยและช่วยให้ลูกรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อไม่มีแม่อยู่ใกล้ๆ
-
ส่งเสริมการเข้าสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
การมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กคนอื่นๆ จะช่วยให้ลูกพัฒนาทักษะทางสังคมและลดการพึ่งพาแม่เพียงคนเดียว
- ให้ลูกได้เล่นและทำกิจกรรมร่วมกับเด็กในวัยเดียวกัน จะช่วยให้ลูกเรียนรู้การปรับตัว การแบ่งปัน และการสร้างความสัมพันธ์
- สนับสนุนให้ลูกเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม เช่น กลุ่มเด็กเล่น หรือคลาสเรียนสำหรับเด็ก จะเป็นโอกาสให้ลูกได้พัฒนาทักษะทางสังคมและสร้างความคุ้นเคยกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น
- สอนทักษะทางสังคม เช่น การแบ่งปัน การรอคอย จะช่วยให้ลูกสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมและลดความต้องการที่จะมีแม่ดูแลอยู่ตลอดเวลา
-
เมื่อไหร่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
หากพฤติกรรมการติดแม่ของลูกส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและชีวิตประจำวัน
- หากลูกมีอาการติดแม่มากจนส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและการเข้าสังคม เช่น ไม่สามารถไปโรงเรียนหรือทำกิจกรรมนอกบ้านได้หากไม่มีแม่
- หากคุณแม่รู้สึกว่าไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ การขอคำแนะนำจากนักจิตวิทยาเด็กจะช่วยให้คุณแม่ได้รับแนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของลูก
ลูกติดแม่มาก เป็นเรื่องธรรมชาติที่เกิดขึ้นตามวัย การรับมืออย่างเหมาะสม โดยการสร้างความผูกพันที่มั่นคง ปลอดภัย ให้อิสระ และจัดการกับความวิตกกังวลเมื่อต้องแยกจาก จะช่วยให้ลูกน้อยเติบโตเป็นเด็กที่มีความมั่นใจในตนเองและสามารถปรับตัวเข้ากับโลกภายนอกได้อย่างสมดุลค่ะ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ลูกชายติดแม่ ลูกสาวติดพ่อ จริงไหม? มุมมองทางจิตวิทยาพัฒนาการสมัยใหม่
เลี้ยงลูกให้อดทน ในโลกที่เร่งรีบ พร้อมวิธีฝึกความอดทน ในเด็กแต่ละวัย
ฮาร์วาร์ดชี้! เดือนเกิดลูกมีผลต่อสติปัญญา เด็กเกิด 3 เดือนนี้จะฉลาด!?
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!