4 เคล็ดลับเพื่อพัฒนาการอารมณ์ดีมีความสุขของแม่ และ ลูกน้อย
4 เคล็ดลับเพื่ออารมณ์ดีมีความสุขของแม่และลูกน้อย
ไม่ใช่แค่พัฒนาการด้านร่างกายของลูกเท่านั้นที่สำคัญ ด้านอารมณ์จิตใจก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อน ดังนั้น 4 เคล็ดลับเพื่อพัฒนาการอารมณ์ดีมีความสุขของแม่ และ ลูกน้อย
การกระตุ้นทารกตั้งแต่ในครรภ์สำคัญหรือไม่
คำตอบ คือ สำคัญ ไม่เพียงเท่านั้น ต้องเรียกว่า สำคัญมากค่ะ เหตุผล ได้แก่ ขณะที่ลูกน้อยเติบโตอยู่ในท้องแม่นั้น ลูกไม่ได้เติบโตเพียงร่างกายเท่านั้นแต่ยังพัฒนาด้านอารมณ์และจิตใจตามไปด้วย!!!! มาดูกันค่ะว่าแต่ละช่วงเดือนเจ้าหนูมีพัฒนาการด้านใดบ้าง
2 – 3 เดือน สมองของทารกน้อยจะเริ่มทำงานรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว
3 – 4 เดือน ประสาทหูและประสาทตาเริ่มทำงานดีขึ้น ทำให้สามารถรับรู้เสียงที่ดังขึ้นและแสงที่จ้าจากภายนอกได้
5 – 6 เดือน ประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของลูกในครรภ์สมบูรณ์เต็มที่ ส่งผลให้ลูกน้อยไวต่อประสาทสัมผัส รวมถึงควบคุมการทำงาน
ของกล้ามเนื้อ และเริ่มสื่อสารกับคุณแม่ด้วยการเตะ ถีบ เป็นต้น
ตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่อยู่ในท้องนั้น ลูกสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่สำคัญ ลูกสามารถเรียนรู้และซึมซับอารมณ์ของแม่ได้อีกด้วย และจะกลายเป็นพื้นฐานทางด้านจิตใจของลูกต่อไป เมื่อคุณแม่ทราบเช่นนี้แล้ว เชื่อว่า คุณแม่คงเห็นความสำคัญของการกระตุ้น พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจของลูกตั้งแต่ในท้องแล้วใช่ไหมคะ เรามีวิธีกระตุ้นพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจให้ทารกในครรภ์มาฝาก ซึ่งคุณแม่อ่านแล้วสามารถทำตามได้ทันทีเลยค่ะ อย่ารอช้า
ว่าแต่จะทำอย่างไรให้สุขกันทั้งเจ้าตัวน้อยและคุณแม่เอง ฟังทางนี้ค่ะ
1. ให้ลูกกินนมแม่
สารอาหารในนมแม่
สารอาหารในนมแม่ถือเป็นสารอาหารระดับพิเศษ Exclusive ที่หาได้ยากจากแหล่งอาหารชนิดอื่น แถมยังรวมคุณค่าหลากหลายอยู่ด้วยกันในหนึ่งเดียวครบถ้วนในปริมาณที่เหมาะสม ทั้งโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามินและแร่ธาตุ ไม่ว่าจะเป็น โปรตีนเวย์ หรือกรดอะมิโน“ทอรีน” ที่ช่วยในการสร้างสมองและจอตาของทารก ซึ่งโปรตีนในนมแม่นี้มีคุณสมบัติที่ย่อยง่าย ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ไขมันในนมแม่ยังให้พลังงานสูงมาก แต่ย่อยง่าย เหมาะกับทารกแรกเกิดที่กระเพาะอาหารยังทำงานได้ไม่สมบูรณ์ และกรดไขมัน linoleic และ linolenic ที่มีมากในนมแม่ยังมีผลดีต่อการเจริญเติบโตของสมองอีกด้วย ในนมแม่ยังเป็นแหล่งรวมของวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และ เหล็ก ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้สูงถึง 50-70 เปอร์เซ็นต์ ความพิเศษอีกอย่างก็คือวิตามินซีในนมแม่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็กและสังกะสี (Zinc) ได้ดี ซึ่งทำให้สารอาหารถูกดูดซึมไปใช้ได้เต็มที่ แทนที่จะถูกขับถ่ายออกมาเสียเปล่า และที่สำคัญก็คือ ในนมแม่ยังมีฮอร์โมนและเอ็นไซม์ที่ดีต่อร่างกาย เช่น ไลเปส (lipase) ซึ่งช่วยให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อในระบบย่อยอาหารและช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย รวมทั้งฮอร์โมนชนิดต่างๆ ในนมแม่ก็ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ กระตุ้นการเจริญเติบโตของสรีระร่างกายทั้งภายนอกและภายในค่ะ
ลองสังเกตว่าเวลาลูกกินนมแม่เสร็จ ถ้าลูกไม่เคลิ้มหลับ ลูกจะยิ้มมีความสุขมาก ตามทฤษฎีจิตวิทยาของซิกมันต์ ฟรอยด์ คือเขาได้รับการตอบสนองทางปาก เด็กจึงรู้สึกอิ่มท้องและอบอุ่นใจไปในตัว เด็กส่วนใหญ่ที่กินนมแม่จึงเป็นเด็กยิ้มเก่ง หัวเราะเก่ง อารมณ์ดี ส่วนตัวคุณแม่เองก็รู้สึกผูกพันกับลูกมากขึ้นด้วย
ข้อดีของการอ่า นนิทานก่อนนอน
2. อ่านนิทานให้ลูกฟัง
การอ่านนิทานช่วยเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีให้แก่ลูกในครรภ์ไม่ว่าจะเป็นด้านสมองและด้านร่างกายจะได้รับการพัฒนาที่ดีจาการอ่านนิทาน เมื่อคุณแม่อ่านนิทานทารกในครรภ์จะได้ยินเสียงคุณแม่ทำให้ลูกรู้สึกคุ้นเคย และได้รับความรักผ่านเส้นเสียงและความรู้สึกของคุณแม่ขณะที่อ่านนิทาน โดยเฉพาะให้คุณพ่อมีส่วนร่วมในการอ่านนิทานด้วยจะยิ่งเพิ่มความอบอุ่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งนิทานที่ว่านี้ อาจเป็นนิทานสำหรับเด็ก หรือเรื่องราวที่คุณพ่อคุณแม่แต่งขึ้นเองก็ได้ เพื่อเพิ่มสีสันให้สนุกสนานมากขึ้น โดยระหว่างการเล่านิทานคุณพ่อคุณแม่อาจมีการพูดคุย ถามความคิดเห็น หรือหยอกเย้ากัน ก็จะช่วยสร้างบรรยากาศของการเล่านิทานให้สนุกสนานมากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะส่งผลดีต่อพัฒนาการด้านสติปัญญาของลูก รวมถึงพัฒนาการด้านอารมณ์ของทารกอีกด้วย เรียกว่าเสริมสร้างอัจฉริยะรอบด้านให้ทารกในครรภ์อย่างแท้จริง
เลือกหนังสือนิทานภาพเล่มที่มีภาพสวย ๆ ภาษาไพเราะ อ่านให้ลูกฟังทุกวัน ช่วงแรก ๆ เขาอาจจะยังไม่สนใจ ไม่มีสมาธิจดจ่อกับหนังสือได้นานนัก และต่อมาหนังสือก็อาจกลายเป็นของกินที่ลูกจะเอาเข้าปากมาอม มากัดเล่นอยู่เสมอ แต่เชื่อเถอะค่ะว่า เขาจะค่อย ๆ เรียนรู้ภาษา และสนุกกับเรื่อง ได้ฝึกสมาธิ รวมถึงซึมซับข้อคิดดี ๆ จากหนังสือ ถือเป็นช่วงเวลาที่เด็ก ๆ จะได้พัฒนาอารมณ์และจิตใจให้อ่อนโยน ประณีตขึ้นด้วย นอกจากนี้ช่วงเวลาการเล่านิทานยังเป็นสีสันแสนสนุกของทุกครอบครัวอีกด้วย
3. ฟังดนตรีกับลูก มีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันว่าดนตรีช่วยพัฒนาสมอง และแน่นอนว่าส่งผลต่ออารมณ์ของลูกและแม่ด้วย พ่อแม่จึงควรจะเปิดเพลงฟังกับลูก เป็นเพลงอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเพลงเด็ก เพลงบรรเลง เพลงคลาสสิค หรือเพลงสไตล์ที่พ่อแม่ชอบ ลองเปิดให้ลูกฟังและร้องเล่นไปกับลูกบ่อย ๆ หรือถ้าพ่อแม่คนไหนเก่งดนตรี เล่นดนตรีได้ เล่นดนตรีให้ลูกฟัง หรือจะเปิดคอนเสิร์ตเล็ก ๆ ยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ แล้วคุณจะพบว่าลูกจะยิ้มปากกว้าง หัวเราะเสียงดังน้ำลายหกทุกครั้งที่ได้ฟังดนตรีกับพ่อแม่
ข้อ ดี ของการ กอดลูก ยิ่งกอดลูกลูกยิ่งฉลาด ยิ่งกอดลูกลูกยิ่งเป็นคนเก่ง
4. โอบกอดสัมผัสรักกันบ่อย ๆ เด็ก ๆ ชอบการถูกสัมผัส เพราะเขาอยู่ในท้องแม่โดยมีรกและน้ำคร่ำห่อหุ้มอยู่ตั้ง 9 เดือน เมื่อคลอดออกมาเด็ก ๆ จึงต้องการการโอบอุ้มอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นควรโอบกอดสัมผัสหอมลูกบ่อย ๆ เป็นการส่งผ่านความรักที่มีความหมายมากกว่าคำพูดเสียอีก เพราะมันรวมไปถึงความอบอุ่น ความปลอดภัยมั่นคง ที่จะส่งผลโดยตรงต่ออารมณ์และจิตใจของลูก และแน่นอนว่าทำให้คุณแม่มีความสุขด้วยเช่นกัน
ที่มา : 1
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สร้างความผูกพันกับลูกน้อยสำหรับคุณพ่อ
ฝึกให้ลูกคนโตรักน้องตั้งแต่อยู่ในท้อง
ลูกมีพัฒนาการทางอารมณ์ตามวัยหรือไม่
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!