7 โรคระบาดในเด็ก และอาการที่พ่อแม่ต้องคอยเฝ้าระวัง
ลูกป่วยทีไรทรมานใจคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่สุด โดยเฉพาะในฤดูฝนแบบนี้ เด็ก ๆ ยิ่งป่วยได้ง่าย เพราะเชื้อโรคส่วนใหญ่จะเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่อับชื้น ทำให้เชื้อต่าง ๆ มีอยู่ยั้วเยี้ยไปหมด และเด็กเล็ก ๆ ยังมีภูมิต้านทานที่ไม่ดีนัก จึงทำให้เกิด โรคระบาดในเด็ก ได้ง่ายมาก แถมอาการป่วยของเด็กก็มักจะรุนแรงและเกิดอาการแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่เสียด้วย เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงต้องดูแล และระวังให้มาก ๆ นะคะ เพื่อให้เจ้าตัวน้อยของเราปลอดภัย และวันนี้เราก็ได้รวบรวม 7 โรคระบาดในเด็ก พร้อมกับอาการที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเฝ้าระวัง และวิธีป้องกัน มาฝากกันค่ะ
เพราะอากาศที่เย็นลงและความชื้นในช่วงหน้าฝนจะทำให้โรคในกลุ่มไวรัสที่เกิดกับระบบทางเดินหายใจนั้นเจริญเติบโตได้ดีกว่าปกติ ซึ่งเด็กอายุน้อยกว่า 5 ขวบ และผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจะมีโอกาสเสี่ยงและมีอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่นค่ะ

อาการของโรคไข้หวัดใหญ่
- คัดจมูก มีน้ำมูกใส ๆ
- จาม คอแห้ง เจ็บคอ ไอแห้ง ไอมีเสมหะ
- เป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
- หากอาการรุนแรงอาจมีโรคแทรกซ้อนที่มากับไข้หวัด คือ ไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือ ปอดอักเสบได้
การป้องกัน
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ควรฉีดประมาณ 1-2 เดือนก่อนฤดูกาลระบาดของโรคทุกๆ ปี และสามารถฉีดได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป
- ใส่หน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อย ๆ
- รับประทานอาหารให้ถูกสุขอนามัย เลือกกินแต่อาหารที่ปรุงเสร็จใหม่ ๆ จะดีที่สุดค่ะ
2. โรคมือเท้าปาก
โรคมือเท้าปากเป็นโรคเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งพบได้ประปรายตลอดทั้งปี แต่จะพบบ่อยในช่วงหน้าฝน และพบมากในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งจะพบการระบาดได้บ่อยตามโรงเรียนอนุบาลหรือเนิร์สเซอรี่ หากพบว่าลูกเป็นต้องแจ้งทางโรงเรียนทันทีเพื่อให้ปิดเรียนและทำความสะอาด ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อนะคะ

อาการของโรคมือเท้าปาก
- มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย หลังจากนั้น 2-3 วันจะมีอาการเจ็บปาก เพราะในปากมีตุ่มแดงทั้งที่ลิ้น เพดานปากและกระพุ้งแก้ม แล้วกลายเป็นตุ่มพองใสในที่สุด เมื่อตุ่มแตกออกจะเป็นแผลหลุมตื้นๆ
- มีผื่นขึ้นที่ฝ่ามือ นิ้วมือ ฝ่าเท้า และก้น แต่จะไม่คัน
- ไข้จะลงภายใน 3 – 5 วัน อาการของเด็กก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น และหายเป็นปกติภายใน 7-10 วัน
- เด็กบางคนจะรับประทานอาหารและน้ำไม่ค่อยได้ เพราะมีอาการเจ็บปากมาก แม้แต่น้ำลายก็ไม่ยอมกลืน ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ
- พ่อแม่ต้องระวังอย่าให้ลูกมีไข้สูงเกินไป เพราะอาจจะชักได้ โดยบางรายอาจจะมีภาวะแทรกซ้อนตามมา โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
การป้องกัน
- ดูแลลูกในเรื่องความสะอาดของอาหาร น้ำดื่ม
- ถ้าไม่จำเป็นไม่ควรให้ลูกเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัด
- ควรมีกระติกน้ำหรือแก้วน้ำส่วนตัวให้ลูกไปใช้ที่โรงเรียน
- ปลูกฝังและฝึกให้ลูกล้างมือก่อนกินข้าว และใช้ช้อนกลางทุกครั้ง
3. โรคไข้เลือดออก
เป็นโรคที่มี “ยุงลาย” เป็นพาหะนำโรค มีโอกาสเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จริง ๆ แล้วโรคไข้เลือดออกสามารถระบาดได้ทั้งปี แต่มักจะระบาดหนักในหน้าฝน เพราะมีโอกาสที่น้ำจะขังมากทำให้ยุงวางไข่และขยายพันธุ์ได้ดี

อาการของโรคไข้เลือดออก
- หลังได้รับเชื้อแล้วจะมีไข้สูงเกิน 3 วันขึ้นไป ตาและหน้าจะเริ่มแดง มีความรู้สึกอ่อนเพลีย และปวดท้อง
- ปวดหัว ปวดกระบอกตา หรือปวดเมื่อยตามตัว มีอาการตาแดง หน้าแดง และปากแดง
- โรคไข้เลือดออกยังส่งผลให้เกิดภาวะตับอักเสบได้อีกด้วย ทำให้คนไข้มีอาการปวดท้อง โดยเฉพาะตรงบริเวณชายโครงด้านขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งของตับ นั่นเป็นเพราะตับโตขึ้น
- อาเจียน และมีภาวะขาดน้ำ
การป้องกัน
- พยายามอย่าให้ยุงกัด โดยให้ลูกสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด หรือใช้ผลิตภัณฑ์ไล่ยุง
- จำกัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยพยายามทำบ้านให้โปร่ง ไม่มีมุมอับทึบ และกำจัดแหล่งน้ำขังในบ้านตามจุดต่าง ๆ เช่น ขารองตู้กับข้าวเป็นต้น
- หากสงสัยว่าลูกอาจเป็นไข้เลือดออก อย่ารอให้เกิดอาการที่รุนแรง เช่น มีไข้สูง ช็อค แล้วค่อยมาพบแพทย์เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
4. ไวรัส RSV หรือโรคติดเชื้อทางเดินหายใจจากเชื้อไวรัส RSV
เป็นโรคติดเชื้อที่มีอาการคล้ายหวัดแต่บางครั้งอาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงจนถึงขั้นปอดอักเสบได้เลยทีเดียว ไวรัส RSVเป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในเด็กเล็ก ซึ่งอาการบางอย่างของไวรัส RSV นี้อาจคล้ายกับอาการของไข้หวัด เช่น มีไข้ไอจามอาจจะทำให้พ่อแม่แยกความแตกต่างของอาการหวัดและไวรัสได้ยาก

อาการของโรคติดเชื้อไวรัส RSV
- เด็กมีอาการหอบเหนื่อยและหายใจลำบาก
- หายใจเร็ว และมีเสียงครืดคราด ๆ
- ไอหนักมาก ๆ
- มีเสียงหวีดในปอด (จากการที่เยื่อบุทางเดินหายใจบวมอักเสบและหลอดลมหดตัว)
- มีเสมหะมาก
- มีไข้
- หากลูกมีโรคประจำตัวอย่างหอบหืด ภูมิแพ้ ควรพาลูกไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจมีอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว โดยอาจมีอาการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ หรือหายใจล้มเหลว
การป้องกัน
- ให้ลูกหมั่นล้างมือบ่อย ๆ
- หากลูกป่วยควรแยกเด็กออกจากเด็กปกติเพื่อป้องกันการไอจามแพร่เชื้อให้กับผู้คนที่อยู่รอบข้าง
- ปัจจุบันสามารถป้องกันได้โดยการรับภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป RSV เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิด – 12 เดือน
5. โรคเฮอร์แปงไจนา (Herpangina)
โรคเฮอร์แปงไจนาเกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มคอกซากี (Coxsackievirus) และเอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ป่วย เช่น น้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระ แล้วเชื้อเข้าสู่ปาก โดยจะแสดงอาการหลังรับเชื้อ 3-14 วัน และสามารถแพร่เชื้อได้นาน 1-2 สัปดาห์ พบได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี
อาการของโรคเฮอร์แปงไจนา
- มีไข้สูงเฉียบพลัน อาจสูงถึง 40 องศาเซลเซียส
- ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว และอาจมีอาเจียน
- อาการเด่นคือ เจ็บในปากและลำคอ
- พบจุดแดง ตุ่มน้ำ หรือแผลเล็กๆ 5-10 จุด บริเวณเพดานอ่อน ลิ้นไก่ และในลำคอ
- โดยทั่วไปไข้จะลดลงใน 2-4 วัน แต่แผลในปากอาจอยู่นานประมาณ 1 สัปดาห์

การรักษา
- เป็นการรักษาตามอาการ ไม่จำเป็นต้องใช้ยาต้านไวรัสหรือยาปฏิชีวนะ (ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน)
- ใช้การเช็ดตัวและให้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้
สัญญาณอันตรายที่ควรไปพบแพทย์
- ไข้สูงไม่ลดลงภายใน 3 วัน
- รับประทานอาหารหรือดื่มนมไม่ได้
- มีอาการของภาวะขาดน้ำ เช่น ปากแห้ง ปัสสาวะน้อย
- เด็กมีอาการซึมลง
การป้องกันโรคเฮอร์แปงไจนา
- ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
- หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ
- หลีกเลี่ยงการใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วย และทำความสะอาดของเล่นเสมอ
- หากเด็กป่วย ควรให้หยุดเรียนอย่างน้อย 7 วันเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
6. โรคติดเชื้อไอพีดี (IPD)
โรคติดเชื้อไอพีดี (IPD) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย “นิวโมคอคคัส” (Streptococcus pneumoniae) ซึ่งเชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดหรืออวัยวะอื่นๆ ที่ปกติจะปลอดเชื้อ จัดเป็นโรคที่อันตรายโดยเฉพาะในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง การติดเชื้อที่รุนแรงอาจนำไปสู่ความพิการถาวรหรือเสียชีวิตได้
อาการ
อาการจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ติดเชื้อ
- ติดเชื้อในกระแสเลือด: มีไข้สูง หนาวสั่น หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว เด็กอาจซึมลง งอแง และไม่ดูดนม ในกรณีรุนแรงอาจเกิดภาวะช็อกและความดันโลหิตต่ำ
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบ: มีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง อาเจียน อาจมีอาการชักและซึมลงจนไม่รู้สึกตัว ถือเป็นภาวะที่อันตรายที่สุด
- ปอดอักเสบรุนแรง: มีไข้ ไอ หายใจหอบเหนื่อย หน้าอกบุ๋ม อาจมีภาวะขาดออกซิเจนจนริมฝีปากเขียวคล้ำ
- การติดเชื้ออื่นๆ: อาจทำให้เกิดหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน ไซนัสอักเสบ หรือข้ออักเสบติดเชื้อได้

การรักษา
- ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที เพื่อให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ
- การเลือกใช้ยาปฏิชีวนะจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและการดื้อยาของเชื้อในพื้นที่นั้นๆ
- ให้การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือด การให้ออกซิเจน ยาลดไข้ หรือยาควบคุมอาการชัก
สัญญาณอันตรายที่ควรไปพบแพทย์
- มีไข้สูงเกิน 39 องศาเซลเซียส
- เด็กมีอาการซึมลง ไม่เล่น ไม่ดูดนม หรือไม่ทานอาหาร
- หายใจเร็ว หอบเหนื่อย หรือหายใจมีเสียงดัง
- มีอาการชัก หรือคอแข็ง
- อาเจียนรุนแรงตลอดเวลา
การป้องกัน
- การฉีดวัคซีนไอพีดี (IPD Vaccine) เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยสามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 2, 4, 6 เดือน และฉีดกระตุ้นเมื่ออายุ 12-15 เดือน
- รักษาสุขอนามัย โดยการล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงการพาเด็กไปในสถานที่แออัด หรือใกล้ชิดกับผู้ป่วย
- ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันเบื้องต้น
7. โรคท้องเสียจากการติดเชื้อโนโรไวรัส
โนโรไวรัส (Norovirus) เป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบเฉียบพลัน ติดต่อได้ง่ายและระบาดอย่างรวดเร็ว สามารถติดต่อได้ทั้งจากการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง สัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ หรือรับประทานอาหารและน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน เชื้อนี้ทนทานต่อแอลกอฮอล์เจลและสภาพแวดล้อมได้ดี จึงมักพบการระบาดในโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก
อาการ
หลังจากได้รับเชื้อประมาณ 12-48 ชั่วโมง จะมีอาการดังนี้
- อาเจียนรุนแรง และเป็นอาการเด่นในช่วงแรก
- ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำ โดยไม่มีมูกเลือดปน
- ปวดท้อง อาจมีลักษณะปวดบิด
- มีไข้ต่ำๆ ปวดศีรษะ และปวดเมื่อยตามร่างกาย
- อาการมักจะเป็นอยู่ประมาณ 2-3 วันแล้วจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง แต่ช่วงที่ป่วยจะอ่อนเพลียมาก

การรักษา
เนื่องจากยังไม่มียาต้านไวรัสโดยเฉพาะ การรักษาจึงเป็นการดูแลตามอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- ป้องกันภาวะขาดน้ำ: เป็นหัวใจสำคัญของการรักษา ควรให้เด็กจิบ ผงน้ำตาลเกลือแร่ (ORS) บ่อยๆ เพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไป
- รับประทานอาหารอ่อน: เมื่ออาการอาเจียนเริ่มดีขึ้น ให้เริ่มทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือกล้วย
- ยาบรรเทาอาการ: อาจใช้ยาแก้อาเจียน หรือยาแก้ปวดท้องตามคำแนะนำของแพทย์ ห้ามซื้อยาหยุดถ่ายกินเอง เพราะจะทำให้เชื้ออยู่ในร่างกายนานขึ้น
สัญญาณอันตรายที่ควรไปพบแพทย์
- อาเจียนหรือถ่ายอุจจาระต่อเนื่องไม่หยุด
- มีสัญญาณของภาวะขาดน้ำรุนแรง เช่น ปากแห้ง ตาโหล ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ปัสสาวะน้อยลงหรือไม่ปัสสาวะเลยใน 6-8 ชั่วโมง
- เด็กมีอาการซึมลงมาก อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
- ไข้สูงไม่ลดลง หรือปวดท้องรุนแร
การป้องกัน
- ล้างมือด้วยสบู่และน้ำ ให้สะอาดเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร (การใช้เจลแอลกอฮอล์อย่างเดียวไม่สามารถกำจัดเชื้อได้หมด)
- รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ และดื่มน้ำที่สะอาด
- หากมีผู้ป่วยในบ้าน ควรทำความสะอาดพื้นผิวที่สัมผัสบ่อยๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ด้วยน้ำยาฟอกขาวที่ผสมเจือจาง
- แยกของใช้ส่วนตัวของผู้ป่วยออกจากผู้อื่น
- หากเด็กป่วย ควรให้หยุดเรียนจนกว่าจะหายดีและไม่มีอาการแล้วอย่างน้อย 48 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
แม้ว่าบางโรคอาจจะดูร้ายแรง แต่หากทำการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะช่วยบรรเทาความรุนแรงของอาการลงได้มาก เพราะฉะนั้นหากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าลูกของเราป่วย ก็ควรพาไปพบแพทย์ทันทีนะคะ
ได้รับการตรวจสอบข้อมูลโดย นพ. ชัยวัฒน์ เชื้อพันธุ์ แพทย์ หู คอ จมูก ภูมิแพ้

ที่มา: www.paolohospital.com , โรงพยาบาลพญาไท 2 , โรงพยาบาลนครธน , โรงพยาบาลกรุงเทพ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
โรคยอดฮิต ทารกแอดมิทกันเพียบช่วงนี้! ดูให้ดี ลูกมีไข้สูง 5 วัน แล้วออกผื่น หรือไม่?
บำรุง หรือ ทำร้าย? 3 อาหารบำรุงร่างกายที่อาจทำร้ายลูกถึงชีวิต
ลูกติดเชื้อทางเดินหายใจ ทรมานกว่าจะหาย ไม่อยากเสียใจที่เห็นลูกป่วย พ่อแม่ต้องทำแบบนี้
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!