ในขณะที่สาว ๆ หลายคนต่างบอกว่า ยาคุมเป็นสิ่งที่สาว ๆ ควรจะรู้ และศึกษาข้อมูลเอาไว้ แต่เชื่อเถอะว่า มีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาคุม แถมตามท้องตลาดก็มีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า ยาคุมยี่ห้อไหนดี และ ยาคุมแต่ละยี่ห้อ มีความแตกต่างกันอย่างไร? แล้วเราควรจะทานยาคุมกำเนิดแบบไหนกันแน่ วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
ยาคุมยี่ไหนดี ที่เขาว่าเจ๋ง เจ๋งจริงหรือหลอก ?
ก่อนหน้านี้แอดก็มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับการรับประทานยาคุมกำเนิดมากพอสมควร เพราะบางคนบอกว่ายี่ห้อนี้ดี ยี่ห้อนั้นเจ๋ง ยี่ห้อโน้นกินแล้วผิวสวย อกฟู แต่ทำไมพอเรากินกลับไม่เป็นอย่างเขา นั่นเป็นเพราะสาเหตุอะไรเรามาวิเคราะห์ไปพร้อม ๆ กันเลยนะคะ
1. ยาคุมยาส (Yaz)
Yaz เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ดังในกลุ่มของยาคุมกำเนิด ซึ่งนำเข้ามาจากประเทศเยอรมัน ราคาสูงพอสมควรเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ ในท้องตลาด โดยราคาอยู่ที่ 590 บาท โดยประมาณ ซึ่งแบรนด์นี้จะมีให้เลือกเพียงแบบเดียวคือ 28 เม็ด ในขณะที่ยี่ห้อ จะมีให้เลือกทั้ง 21 เม็ด และ 28 เม็ด
ยาส เป็นอีกยี่ห้อหนึ่งที่หลายคนบอกว่า ใครที่กลัวในเรื่องของอาการ “บวมยาคุม” หรืออาการ “บวมน้ำ” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาการที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าอ้วนขึ้น หรือมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจาก ยาส จัดว่าเป็นยาปรับฮอร์โมนชนิดหนึ่ง ที่มีส่วนผสมของ ดรอสไพรีโนน ที่สามารถช่วยลดอาการบวมน้ำจากตัวฮอร์โมน อีกทั้งยังสามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือน และอัตราขึ้นลงของฮอร์โมน ซึ่งเป็นสาเหตุของความหงุดหงิดเมื่อเข้าสู่ช่วงของการมีประจำเดือนเกิดขึ้น
ในจำนวนตัวยา 28 เม็ด จะมีเพียง 24 เม็ด ที่มีส่วนประกอบของตัวยา Drospirenone 3 มิลลิกรัม และ Ethinylestradiol 0.02 มิลลิกรัม สามารถสังเกตได้จากสีชมพูอ่อนของตัวเม็ดยา นอกจากนั้นจะมีเม็ดยาสีขาวจำนวน 4 เม็ด จะเป็นเม็ดแป้ง ซึ่งไม่มีส่วนประกอบของยาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มีเอาไว้ เพื่อป้องกัน การลืมทานยานั่นเอง
หากใครยังไม่เคยทานยาคุมกำเนิดมาก่อน การเริ่มต้นทานยาคุมกำเนิดยี่ห้อนี้ ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกลำดับต้น ๆ ที่จะมีผลกระทบค่อนข้างน้อย และไม่ทำให้ร่างกายเกิดอาการแปรปรวนอีกด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง : ราคายาคุมฉุกเฉิน แต่ละยี่ห้อเท่าไหร่บ้าง เทียบราคาอย่างละเอียด
2. ยาคุมไดแอน (Diane)
เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ยอดฮิต สำหรับสาวไทยหลาย ๆ คน รวมถึง สาวประเภทสอง ที่มักนิยมทานเพื่อการปรับฮอร์โมน เป็นยาคุมชนิด 21 เม็ด เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่มีปัญหาในเรื่องของฮอร์โมนเพศชายที่สูงผิดปกติ หรือมีปัญหาเรื่องสิว ผิวมัน และขนดก รวมถึงอาการภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Overy Syndrome) และแน่นอนว่า คุณสมบัติหลักของยาคุมกำเนิดแบรนด์นี้ ยังคงมีคุณสมบัติหลักในการคุมกำเนิด
ไดแอน หรือ ไดแอน-35 จะมี ไซโปเทอโรนอาซีเดต (Cyproterone acetate) ที่ช่วยยับยั้งการทำงาน หรือการผลิตฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งเป็นสาเหตุของรูขุมขนที่กว้าง ผิวมัน รวมถึงขนที่ขึ้นดกอีกด้วย ซึ่งหลายคนที่รับประทานยาตัวนี้ไป แล้วทำให้ร่างกายมีสัดส่วนที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นผิวที่มีน้ำมีนวลมากยิ่งขึ้น หน้าอก สะโพก ก้น มีการขยาย ในบางคนจะบอกว่าอาการนี้คืออาการอ้วน หรือบวมยาคุม เนื่องจากความแรงของฮอร์โมนในตัวยานั่นเอง
ราคาถือว่าไม่แพง เมื่อเทียบกับยาคุมกำเนิดทั่วไปตามท้องตลาด โดยราคาหน้ากล่องจะอยู่ที่ 215 บาท โดยจะมีด้วยกัน 21 เม็ด
บทความที่เกี่ยวข้อง : คุมกำเนิด แบบไหนดี ? …วิธีคุมกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพ ที่วัยรุ่นควรรู้!
3. ยาคุมยาสมิน 14 เม็ด (Yasmin)
ยาสมิน เป็นยาคุมกำเนิดที่ถูกผลิตออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง เนื่องจากบางคนจะรู้สึกว่า ไดแอน มีฮอร์โมนที่สูงมากจนเกินไป ทำให้ร่างกายมีอัตราการเปลี่ยนแปลงสูง ในขณะที่ ยาส ก็มีราคาที่สูงพอสมควร เมื่อเทียบว่าเราจะต้องรับประทานต่อเนื่องทุก ๆ เดือน ดังนั้น ยาสมิน จึงเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง ยาส และไดแอน นั่นเอง
ยาสมิน จะมีตัวยา Esthinylestradiol 0.030 mg. ซึ่งจะน้อยกว่า ไดแอน แต่จะมีส่วนผสมของ Drospirenone เช่นเดียวกับ ยาส แต่สามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่ายาส พอสมควร และที่สำคัญ ส่วนผสมดังกล่าว ทำให้ยาสมิน เด่นในเรื่องของการควบคุมฮอร์โมนไม่ให้เกิดอาการบวมยาคุม หรือบวมน้ำ เช่นเดียวกับ ไดแอน แต่ยังคงช่วยในเรื่องของการรักษาสิว ผิวพรรณ เพราะมีตัวต้านฮอร์โมนเพศชายอยู่ในส่วนผสมนั่นเอง
ราคาหน้ากล่องของ ยาสมิน จะอยู่ที่ 440 บาท นับว่าเป็นราคาที่ไม่รุนแรงมาก ยิ่งถ้าเทียบกับประสิทธิภาพของตัวยาแล้ว ถือว่าคุ้มค่ากับการจ่ายเพื่อดูแลตัวเอง และเพื่อการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย
4. ยาคุมกำเนิดพรีม (PREME) และ บี-เลดี้ (B-Lady)
เป็นยาคุมแบบ 21 เม็ด มีส่วนประกอบของยาเหมือนกับ Diane-35 ทุกอย่าง ดังนั้นจึงมีสรรพคุณที่ใกล้เคียงกันมาก แต่เพราะเป็นยาคุมที่มีระดับเอสโตรเจนสูง จึงอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้มากขึ้น เช่น คลื่นไส้อาเจียน เลือดออกกะปริดกะปรอย *** สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยรับประทานยาคุมมาก่อน ไม่แนะนำให้ใช้ยาตัวนี้
5. ยาคุมซูซี่ (Sucee)
อีกหนึ่งแบรนด์ที่ตัวยาเทียบเท่ากับ แบรนด์ ไดแอน แต่มีราคาถูกกว่า และเป็นที่นิยมของคนไทยมาอย่างยาวนาน เพราะ Biopharm บริษัทของไทย เป็นผู้ผลิต โดยจะมีให้เลือก 2 ชนิด ทั้งแบบ 21 เม็ด และ 28 เม็ด ใครที่อยากอุดหนุนขอไทย มาใช้แบรนด์นี้ได้ ซึ่งคุณสมบัติ และประสิทธิภาพ ไม่ได้แพ้กัน อีกทั้งบริษัทนี้ ยังผลิตตัวยามากมายออกจำหน่าย ดังนั้น การันตีถึงมาตรฐานการผลิตตัวยาออกมาจัดจำหน่ายให้คนไทยได้ใช้กันในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งราคาหน้ากล่องจะอยู่ที่ 180 บาท เท่านั้นเองค่ะ
6. ยาคุมกําเนิดมินิดอซ (Minidoz)
เป็นยาคุมแบบ 28 เม็ด มีตัวยาเจสโทดีน 0.06 มิลลิกรัม และยาเอธินิล เอสตราไดออล 0.03 มิลลิกรัมยาคุมยี่ห้อนี้มีปริมาณฮอร์โมนยาค่อนข้างน้อย จึงช่วยลดอาการข้างเคียงต่าง ๆ ได้ดี อีกทั้งช่วยลดสิว ลดอาการปวดหัวไมเกรนได้ สำหรับคนที่ไม่เคยกินยาคุมมาก่อน สามารถเริ่มจากยายี่ห้อนี้ได้
7. Oc-35 ผลิตโดย Pharmaland
Oc-35 เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากประเทศเยอรมัน หากดูจากส่วนผสมต่าง ๆ ที่ระบุเอาไว้ จะเห็นได้ว่ามีส่วนผสมแบบเดียวกันกับ ไดแอน (Daian) ไม่ว่าจะเป็นชื่อตัวยา หรือแม้กระทั่งปริมาณของตัวยา จะต่างกันก็คงเป็นที่ราคาที่ขายตามท้องตลาด จะมีราคาที่ถูกกว่า ไดแอน เกือบครึ่ง ดังนั้นใครที่ต้องการยาคุมกำเนิดแบบเดียวกับไดแอน แถมยังได้ความอึ๋มเพิ่มเติมเข้าไปด้วย สามารถหาซื้อได้ในราคา 100++ เท่านั้นเอง
8. เมลิแอน (Meliane)
สำหรับผู้ที่ไม่เคยกินยาคุมกำเนิดมาก่อน และกลัว หรือกังวล ในเรื่องของผลข้างเคียงจากตัวยา ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน รวมถึงอาการบวมยาคุม หรือบวมน้ำ สามารถใช้ยาคุมกำเนิด เมลิแอน ตัวนี้ได้ค่ะ เนื่องจากระดับฮอร์โมนในตัวยานั้นมีไม่มากจนเกินไป ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์น้อยมาก โดยยาคุมกำเนิด แบรนด์นี้ จะมีด้วยกัน 21 เม็ด ดังนั้นเมื่อทานหมดแผง จำเป็นจะต้องเว้นห่างออกไปอีก 7 วัน จึงจะเริ่มทานแผงใหม่ ส่วนใครที่มีอาการ PMS ก่อนมีรอบเดือน ตัวยาคุมกำเนิดนี้ ยังช่วยบรรเทา ไม่ให้เกิดอาการดังกล่าวได้ดีอีกด้วย
9. Minny ของ Biopharm
สำหรับผู้ที่เคยทานยาคุมกำเนิดที่มีระดับฮอร์โมนรุนแรง จนรู้สึกว่าร่างกายรับไม่ไหว แล้วต้องการปรับเปลี่ยนยาคุมกำเนิดเป็นแบบอื่น แต่จะให้หักดิบทันที ก็กลัวจะเกิดผลกระทบกับร่างกาย ก็สามารถเลือกยาคุมกำเนิดแบรนด์นี้ไปใช้ต่อได้ค่ะ เพราะระดับฮอร์โมนอยู่ในปริมาณที่ต่ำ และสามารถควบคุมการปรับเปลี่ยนระดับฮอร์โมนที่พุ่งสูงจากยาคุมกำเนิดแผงก่อนที่คุณเคยทานมา จนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่ยังคงคุณสมบัติของการคุมกำเนิดให้กับคุณได้เป็นอย่างดี แบรนด์นี้จะมีให้เลือก ทั้ง 2 ขนาด คือ ชนิด 21 เม็ด และ 28 เม็ด ซึ่งราคาหน้ากล่องจะอยู่ที่ 185 บาทเท่านั้นค่ะ
10. ยาคุม Belara
ยาคุมน้องใหม่ สำหรับยาคุมกำเนิด ซึ่งเจ้าของแบรนด์การันตีว่า คุณจะได้ปริมาณตัวยาเทียบเท่ากับไดแอน แต่จะไม่ส่งผลกระทบในเรื่องของอาการบวมน้ำ บวมยาคุม ไม่มีอาการมึนหัว คลื่นไส้ อาเจียร แต่อย่างใด สรุปคือ คุณจะได้ฮอร์โมนเพศหญิงที่สูง แต่ไม่มีอาการข้างเคียง และยังมีตัวต้านฮอร์โมนเพศชายอีกด้วย และแน่นอนว่า คุณสมบัติขนาดนี้ ราคาก็คงไม่แพ้กัน ซึ่งราคาหน้ากล่องจะอยู่ที่ 530 บาท จัดว่าสูงพอสมควร สำหรับตลาดยาคุมกำเนิดที่ประเทศไทยเรา
11. Exluton ของ MSD
ยาคุมกำเนิด สำหรับคุณแม่ให้นมลูก หลายคนประสบปัญหามีลูกหัวปีท้ายปี เพราะช่วงที่ให้นมลูกนั้น จะทานยาคุมกำเนิด ก็กลัวจะเกิดผลกระทบกับเด็ก MSD จึงแก้ปัญหาด้วยการผลิตตัวยาคุมกำเนิด ที่สามารถใช้ได้ในแม่ที่กำลังให้นมลูก ซึ่งราคาก็ไม่แพงเลย หาใครที่ต้องการคุมกำเนิด หลังจากคลอดมาใหม่ ๆ เพราะต้องการให้ร่างกายได้พักฟื้น แถมยังมีเวลาดูแลเจ้าตัวน้อยแล้วล่ะก็ แนะนำ Exluton นี่เลยค่ะ ซึ่งราคาหน้ากล่องจะอยู่ที่ 130 บาทเท่านั้นค่ะ
12. โพสตินอร์ (Postinor) หรือ ยาคุมฉุกเฉิน
โพสตินอร์ หรือที่รู้จักกันว่า ยาคุมฉุกเฉิน ยาคุมชนิดนี้จะมีเพียง 2 เม็ดเท่านั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้รับประทานยาคุมเป็นประจำ และไม่ได้ป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งยาประเภทนี้ ไม่ควรที่จะทานบ่อย เพราะอาจจะเกิดผลข้างเคียงเยอะมากในระยะยาว เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูก การอาเจียร หรือมีเลือดออกผิดปกติ ดังนั้น ตามชื่อยาเลยค่ะว่า ยาตัวนี้จะต้องใช้เฉพาะเกิดเหตุฉุกเฉินเท่านั้น
ยาคุมฉุกเฉินนี้ จำเป็นจะต้องทานเม็ดแรกภายใน 24 ชม. หลังมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์ หลังจากนั้น 12 ชม. จึงทานยาเม็ดที่ 2 ตาม เพียงเท่านี้ ก็สามารถคุมกำเนิดได้แล้วค่ะ แม้ว่าจะไม่สามารถการันตีว่าจะสามารถคุมกำเนิดได้ 100% ก็ตาม
การทานยาคุมกำเนิดให้ดี และไม่เป็นโทษกับร่างกาย รวมถึง ไม่ทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน จำเป็นจะต้องกินอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 4 เดือนขึ้นไป จึงจะเห็นผลชัดเจน และร่างกายสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้ยาคุมแต่ละแบรนด์ จะต้องเหมาะสมกับร่างกาย และความต้องการของผู้รับประทาน เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาคุมกำเนิดนั่นเอง
หากคุณผู้หญิงยังมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับการกินยาคุมทั้งแบบทั่วไป และแบบฉุกเฉิน สามารถศึกษาเพิ่มได้จากบทความที่เรารวบรวมไว้ให้ คลิก
อ่านประสบการณ์จริงของผู้หญิงที่กินยาคุม Yaz
ยาคุม yaz ราคาเท่าไร ยาคุม yaz ดี ไหม กินดีไหมคะ แนะนำหน่อยค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ยาคุมกินช้าสุดกี่วัน เกิน 72 ชั่วโมง ยังทานยาคุมฉุกเฉินได้อยู่ไหม ?
กินยาคุมฉุกเฉินบ่อย มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง กินบ่อยไปแล้วควรทำอย่างไร ?
กินยาคุมตอนท้อง ท้องแล้วกินยาคุม อันตรายต่อลูกในท้องไหม
ที่มา : healthline, medicalnewstoday