เด็ก 10 ขวบ ผูกคอใต้ถุนบ้าน โชคดีที่แม่มาเห็นช่วยทัน

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

วันที่ 28 มิถุนายน 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรโนนไทยได้รับแจ้งเหตุการณ์ เด็ก 10 ขวบ ผูกคอใต้ถุนบ้าน ณ บ้านเลขที่ 96 หมู่ 5 ตำบลมะค่า อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงรีบไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

เมื่อไปถึงพบเด็กชายวัย 10 ขวบหมดสติอยู่ใต้ถุนบ้าน เจ้าหน้าที่กู้ภัยรีบเข้าช่วยเหลือโดยการทำ CPR จนเด็กกลับมามีสติอีกครั้ง จากนั้นจึงนำตัวเด็กขึ้นรถพยาบาลส่งโรงพยาบาลโนนไทย จากการตรวจสอบพบว่าแม่ของเด็กเข้ามาพบเด็กชายคนดังกล่าวพอดี จึงรีบช่วยเหลือได้ทันเวลา ขณะนี้อาการของเด็กปลอดภัยแล้ว และยังคงอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด

 

ขอบคุณภาพจากคลิป:  NationTV 22

 

เด็ก 10 ขวบ ผูกคอใต้ถุนบ้าน เหตุน้อยใจย่าเรื่องต้มอึ่ง

จากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น พ่อของเด็กชายวัย 10 ปี เปิดเผยถึงสาเหตุที่ลูกชายของเขาเลือกจบชีวิตด้วยการผูกคอ โดยระบุว่าเมื่อเย็นที่ผ่านมา เขาและลูกชายได้ออกไปหาอึ่งด้วยกัน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำให้พ่อลูกใช้เวลาร่วมกันเป็นประจำ เมื่อกลับถึงบ้านในช่วงค่ำ ลูกชายได้ขอร้องให้ย่าช่วยต้มอึ่งเพื่อนำไปฝากเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนในวันรุ่งขึ้น 

แต่ย่าของเด็กชายเห็นว่าดึกแล้ว จึงบอกหลานว่าค่อยต้มในวันพรุ่งนี้เช้าแทน แต่เด็กชายยังคงยืนยันขอให้ต้มในคืนนั้นเนื่องจากกลัวว่าจะไม่ทันพรุ่งนี้ ส่งผลทำให้ย่ารู้สึกขุ่นเคืองใจจนได้พูดออกมาอย่างไม่คิดว่า “ถ้ารอไม่ได้ก็ไปผูกคอตายซะ” คำพูดนี้ทำให้เด็กชายเกิดอาการน้อยใจและไม่สามารถรับมือกับความรู้สึกนี้ได้ จึงได้ตัดสินใจใช้เชือกผูกคอตัวเองใต้ถุนบ้าน

 พ่อของเด็กชายวัย 10 ปี บอกว่า ตนไม่เคยคิดว่าลูกชายจะคิดสั้นเช่นนี้ และเสียใจอย่างมากที่ไม่ได้สังเกตเห็นสัญญาณเตือนหรือความทุกข์ใจของลูกมาก่อน เขายังออกมาเตือนให้ครอบครัวและผู้ปกครองทั่วไประวังและสังเกตพฤติกรรมของเด็ก ๆ เพื่อป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ที่มา: naewna.com, thethaiger.com, NationTV 22

 

ขอบคุณคลิปจาก:  NationTV 22

 

สาเหตุที่ทำให้เด็กคิดสั้น นั้นมาจากอะไรได้บ้าง

การที่เด็กคิดสั้นหรือมีความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ปัจจัยเหล่านี้สามารถแยกออกมาได้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางครอบครัว ปัจจัยทางสังคม ปัจจัยทางจิตใจ และปัจจัยทางชีวภาพ ซึ่งสาเหตุที่พบบ่อยมีดังนี้

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

1. ความเครียดและความกดดัน

  • แรงกดดันจากการเรียน: เด็กอาจเผชิญกับความเครียดจากการเรียน เช่น การสอบที่ยากลำบาก การต้องทำเกรดให้ดีเพื่อให้ได้เข้ามหาวิทยาลัยหรือโรงเรียนที่ดี หรือแรงกดดันในการเรียนที่ต้องรักษามาตรฐานให้สูง 
  • ความคาดหวังจากครอบครัว: การที่ครอบครัวมีความคาดหวังสูง ทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองต้องประสบความสำเร็จในหลาย ๆ ด้าน และหากไม่สามารถทำได้ตามที่คาดหวังอาจทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองล้มเหลวและไร้ค่า

2. ปัญหาครอบครัว 

  • การทะเลาะวิวาทในครอบครัว: การทะเลาะวิวาทหรือความขัดแย้งภายในครอบครัวอย่างต่อเนื่องสามารถสร้างความเครียดและความไม่มั่นคงทางอารมณ์ให้กับเด็ก 
  • การหย่าร้างของพ่อแม่: การหย่าร้างหรือการแยกทางของพ่อแม่อาจทำให้เด็กเกิดความรู้สึกสูญเสียและโดดเดี่ยว 
  • การขาดความรักและการสนับสนุน: เด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น และการสนับสนุนจากพ่อแม่หรือผู้ปกครองอาจรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่รักและไม่สำคัญ

3. การถูกรังแก (Bullying) 

  • การถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน: เด็กที่ถูกกลั่นแกล้งหรือข่มขู่จากเพื่อนร่วมชั้นหรือคนอื่นๆ อาจรู้สึกว่าตนเองไม่ปลอดภัยและไม่เป็นที่ยอมรับ 
  • การถูกกีดกันจากกลุ่มเพื่อน: การถูกแยกตัวหรือถูกปฏิเสธจากกลุ่มเพื่อนอาจทำให้เด็กรู้สึกโดดเดี่ยวและหมดหวัง

4. ปัญหาสุขภาพจิต 

  • โรคซึมเศร้า (Depression): เด็กที่มีภาวะซึมเศร้าจะรู้สึกเศร้าหมอง ไม่มีความหวัง รู้สึกว่าตนเองไร้ค่า และไม่เห็นอนาคต 
  • โรควิตกกังวล (Anxiety Disorders): เด็กที่มีภาวะวิตกกังวลจะมีความกังวลใจอยู่ตลอดเวลา รู้สึกกังวลถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตหรือสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ควบคุมไม่ได้ 
  • โรคทางจิตเวชอื่น ๆ: เช่น โรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder) ที่ทำให้เด็กมีการเปลี่ยนแปลงอารมณ์อย่างรุนแรงและไม่สามารถควบคุมได้

การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตของเด็กและการสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการที่เด็กจะมีความคิดสั้นและช่วยให้เด็กมีชีวิตที่มีคุณภาพและความสุขมากขึ้น

บทความที่น่าสนใจ: สุขภาพจิตเด็ก เรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

คำพูดที่ควรพูดกับลูก 

คำพูดที่ควรพูดกับลูก มีมากมาย ขึ้นอยู่กับช่วงวัย สถานการณ์ และสิ่งที่ต้องการสื่อสาร แต่โดยรวมแล้ว คำพูดที่ควรพูดกับลูก ควรเป็นคำพูดที่ สร้างความรู้สึกดี ส่งเสริมพัฒนาการ และความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก โดยตัวอย่างคำพูดที่ควรพูดกับลูก มีดังต่อไปนี้

  • คำพูดที่แสดงความรัก ความห่วงใย และการยอมรับ เช่น “รักลูกนะ”, “ภูมิใจในตัวลูกนะ”, “ลูกเก่งมาก”, “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวแม่/พ่อช่วย”
  • คำพูดที่กระตุ้นให้ลูกเรียนรู้และพัฒนา เช่น “ลองทำดูนะ”, “เก่งมากที่ลูกพยายาม”, “แม่/พ่อขอปรบมือให้ลูกนะ”, “ลูกมีอะไรอยากรู้ไหม ถามแม่/พ่อได้นะ”
  • คำพูดที่ส่งเสริมให้ลูกมีความมั่นใจ เช่น “เชื่อใจลูกนะ”, “ลูกทำได้”, “แม่/พ่อจะอยู่ข้างๆ ลูกเสมอ”, “ลูกมีจุดแข็งตรงนี้…”
  • คำพูดที่สอนให้ลูกมีคุณธรรม เช่น “โกหกไม่ดีนะ”, “แบ่งปันเพื่อนนะ”, “ช่วยเหลือผู้อื่นนะ”, “พูดจาไพเราะนะ”
  • คำพูดที่ใช้สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น “แม่/พ่ออยากฟังความคิดเห็นของลูก”, “ลองอธิบายให้แม่/พ่อฟังหน่อยได้ไหม”, “เรามาคุยกันดีๆ นะ”

การพูดคุยกับลูกที่ดี จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างพ่อแม่กับลูก ช่วยให้ลูกมีความสุข มั่นใจ และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ

 

 

คำพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก

คำพูดของพ่อแม่มีอิทธิพลต่อลูกมาก โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็กที่ยังอ่อนไหวและกำลังเรียนรู้ โลก คำพูดเชิงลบหรือคำพูดที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลร้ายต่อความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของลูกได้ในระยะยาว โดยเราได้รวบรวมคำพูดที่อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างคุณและลูกน้อยของคุณไว้ดังต่อไปนี้ 

  • คำพูดที่ด่าทอ: เช่น “โง่”, “ควาย”, “บ้า”, “ปัญญาอ่อน” คำพูดเหล่านี้สร้างบาดแผลทางจิตใจให้กับเด็ก ทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่า ไร้ค่า และส่งผลต่อความมั่นใจในตนเอง
  • คำพูดที่เปรียบเทียบ: เช่น “ทำไมไม่เก่งเหมือนพี่”, “ทำไมสู้เพื่อนคนอื่นไม่ได้” การเปรียบเทียบเด็กกับผู้อื่น จะทำให้เด็กรู้สึกอิจฉา ริษยา และสูญเสียความภาคภูมิใจในตัวเอง
  • คำพูดที่ขู่: เช่น “เดี๋ยวไม่รักแล้วนะ”, “ถ้ายังดื้ออีกจะตี” การขู่จะทำให้เด็กรู้สึกหวาดกลัว ไม่ไว้ใจ และอาจนำไปสู่พฤติกรรมต่อต้าน
  • คำพูดที่กดดัน: เช่น “ต้องได้ A นะ”, “ถ้าสอบไม่ติดหมอแม่จะเสียใจ” การกดดันเด็กมากเกินไป จะทำให้เด็กรู้สึกเครียด กังวล และสูญเสียแรงจูงใจ
  • คำพูดที่ตำหนิ: เช่น “ทำไมทำแบบนี้”, “ทำไมไม่บอกแม่ก่อน” การตำหนิเด็กบ่อยๆ จะทำให้เด็กรู้สึกผิด กลัว และเก็บกดอารมณ์
  • คำพูดที่ไม่รับฟัง: เช่น “แม่รู้ดีที่สุด”, “อย่ามาเถียงแม่” การไม่รับฟังเด็ก จะทำให้เด็กรู้สึกไม่เป็นที่เข้าใจ ไร้ค่า และอาจนำไปสู่ปัญหาการสื่อสาร
  • คำพูดที่ล่วงละเมิด: เช่น “หนูไม่สวย”, “ทำไมหนูอ้วนจัง” การล่วงละเมิดเด็ก จะส่งผลต่อความนับถือตนเอง ภาพลักษณ์ และอาจนำไปสู่ปัญหาทางจิตใจในระยะยาว
  • คำพูดที่ดูถูก: เช่น “อาชีพนี้ไม่มีอนาคตนะ”, “ฝันเฟื่องไปไหม” การดูถูกความฝันของเด็ก จะทำให้เด็กรู้สึกท้อแท้ สิ้นหวัง และอาจละทิ้งความฝัน
  • คำพูดที่กดดัน: เช่น “ต้องเรียนหมอเท่านั้นนะ”, “ถ้าไม่เรียนหมอแม่จะเสียใจ” การกดดันให้เด็กเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ จะทำให้เด็กรู้สึกไม่มีความสุข กดดัน และอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต
  • คำพูดที่ไม่ให้ความหวัง: เช่น “หนูทำไม่ได้หรอก”, “ยากเกินไป” การไม่ให้ความหวังเด็ก จะทำให้เด็กรู้สึกหมดกำลังใจ ไร้ความมั่นใจ และอาจละทิ้งเป้าหมาย

จำไว้ว่า คำพูดของเรามีพลังมาก สามารถส่งผลต่อความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของลูกได้ ควรเลือกใช้คำพูดอย่างชาญฉลาด เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก และช่วยให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขและประสบความสำเร็จ

 

ที่มา: sosthailand.org, istrong.co

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ: 

10 คําพูดที่ไม่ควรพูดกับลูก คำพูดแบบนี้แหละคือที่สุดของการทำร้ายใจลูก

คําที่ควรพูดกับลูก 40 ประโยคดีๆ ที่พ่อแม่ควรพูดกับลูกตั้งแต่เล็ก

5 แนวทาง เลี้ยงลูกยุคใหม่ สอนลูกก้าวข้ามความกลัว ความล้มเหลว

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความโดย

Siriluck Chanakit