การ สอนลูกให้มีความพยายาม ไม่ใช่แค่การบอกให้ลูก “อดทน” หรือ “อย่ายอมแพ้” แต่คือการสร้างทักษะภายในที่ทำให้เด็กมองความล้มเหลวเป็นบทเรียน มองความพยายามเป็นสิ่งที่คุ้มค่า และรู้ว่าเส้นทางแห่งความสำเร็จไม่ได้มาง่ายๆ บทความนี้จะพาพ่อแม่ไปเข้าใจลึกซึ้งถึงเหตุผลที่ความพยายามสำคัญกว่าความเก่ง พร้อมทั้งวิธีสอนลูกให้มีความพยายามตั้งแต่วัยเด็ก อย่างเป็นรูปธรรมตามหลักจิตวิทยาเด็ก และกรอบความคิดแบบ Growth Mindset
ทำไม “ความพยายาม” สำคัญกว่าความเก่ง
Carol Dweck นักจิตวิทยาจาก Stanford ได้เสนอแนวคิดเรื่อง “Growth Mindset” หรือ “กรอบความคิดแบบเติบโต” ที่ชี้ว่า เด็กที่เชื่อว่าความสามารถของเขาสามารถพัฒนาได้ผ่านความพยายาม จะมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความท้าทาย และความล้มเหลวได้ดี เด็กกลุ่มนี้จะมองความผิดพลาด เป็นโอกาสในการเรียนรู้ แตกต่างจากเด็กที่มี Fixed Mindset ที่เชื่อว่าความสามารถเป็นสิ่งตายตัว ซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงความยาก และกลัวความล้มเหลว
-
Grit คือพลังแห่งความพยายามระยะยาว
Angela Duckworth นักจิตวิทยาอีกคนหนึ่ง ได้พูดถึงแนวคิด “Grit” หรือความพากเพียร ว่าเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ มากกว่าความฉลาด หรือพรสวรรค์ โดยเธออธิบายว่า Grit คือการมี passion และ perseverance หรือความมุ่งมั่น และอดทนในเป้าหมายระยะยาว
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Psychology (2021) ระบุว่า เด็กที่มี “grit” และ “growth mindset” มีแนวโน้มประสบความสำเร็จทางวิชาการมากกว่า และสามารถฟื้นจากความล้มเหลวได้เร็ว
ความพยายาม vs ดื้อรั้น: พ่อแม่แยกยังไง?
- ความพยายาม: เด็กพยายามหลายวิธี ลองผิดลองถูก และยอมรับการช่วยเหลือ
- ดื้อรั้น: ยึดติดกับวิธีเดียว ไม่ยอมฟังใคร และโกรธเมื่อไม่ได้ผลลัพธ์
พ่อแม่ควรคอยสังเกต ไม่ใช้คำว่า “ลูกพยายามแล้ว” ในสถานการณ์ที่ลูกแค่ “ยืนยันจะทำตามแบบเดิม” การเข้าใจความต่างนี้ จะช่วยให้พ่อแม่ส่งเสริมลูกได้อย่างถูกจุด

9 วิธีสอนลูกให้มีความพยายาม
1. ชมความพยายาม ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์
เด็กหลายคนเติบโตมากับการได้รับคำชมเมื่อทำได้ดี เช่น “เก่งมากเลยลูก ได้ 100 คะแนน” หรือ “สุดยอดเลย เล่นเปียโนได้เพราะมาก” แม้จะดูเป็นคำพูดที่ดี แต่ในความเป็นจริง มันกลับไปเน้นที่ผลลัพธ์ปลายทาง มากกว่าความพยายามที่เด็กลงมือทำ พ่อแม่จึงควรเปลี่ยนมาใช้คำพูดที่สะท้อนความมุ่งมั่นของลูก เช่น “แม่เห็นนะ ว่าหนูฝึกซ้อมทุกวันเลย กว่าจะเล่นเพลงนี้ได้” หรือ “ครั้งนี้ถึงยังไม่เต็ม แต่แม่เห็นหนูตั้งใจอ่านหนังสือจริง ๆ แม่ภูมิใจมาก” การเน้นที่กระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ จะช่วยให้เด็กซึมซับว่า ความพยายามคือสิ่งมีค่า และมันจะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืนได้ในระยะยาว
2. ตั้งเป้าหมายย่อย
สำหรับเด็กแล้ว เป้าหมายที่ใหญ่เกินไป อาจทำให้รู้สึกท้อแท้ เช่น บอกให้ลูกอ่านหนังสือทั้งเล่มภายในหนึ่งอาทิตย์ ฟังดูน่าทึ่ง แต่สำหรับเด็กที่ยังไม่มีวินัยหรือสมาธิยาวนานพอ มันจะกลายเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม วิธีที่เหมาะสมกว่า คือการแบ่งเป้าหมายออกเป็นส่วนเล็ก ๆ เช่น “วันนี้อ่านแค่ 3 หน้า” หรือ “วันนี้ฝึกบวกเลขวันละ 5 ข้อ” เมื่อเด็กทำสำเร็จ เขาจะรู้สึกถึงความสำเร็จเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ สะสมจนกลายเป็นความมั่นใจ เป้าหมายย่อยยังทำให้เด็กเรียนรู้การจัดการเวลา และรู้สึกว่าทุกอย่าง “พอทำได้” ไม่ยากจนเกินไป
3. ให้ลูกล้ม แล้วสอนให้ลุก
สำหรับบางคน ความล้มเหลวถูกมองว่าเป็นเรื่องน่าอาย แต่ในมุมมองของการเลี้ยงลูก ความล้มเหลวคือครูที่ดีที่สุด เมื่อลูกพยายามแล้วไม่สำเร็จ เช่น ต่อเลโก้แล้วพัง ทำการบ้านผิด หรือไม่ชนะในการแข่งขัน พ่อแม่ไม่ควรรีบปลอบด้วยคำว่า “ไม่เป็นไร แม่ช่วยเอง” แต่ควรชวนให้ลูกทบทวนว่า “หนูคิดว่าเกิดอะไรขึ้น?” หรือ “หนูได้เรียนรู้อะไรจากครั้งนี้บ้าง?” เด็กที่เรียนรู้ว่าความผิดพลาดไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นโอกาสจะมีแนวโน้มเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่กล้ารับผิดชอบและกล้าลงมือทำในสิ่งใหม่ ๆ
4. เล่านิทานหรือเรื่องจริงของคนที่ไม่ยอมแพ้
เด็กมักเรียนรู้ผ่านเรื่องเล่าได้ดี เพราะเรื่องราวกระตุ้นอารมณ์และจินตนาการ การเล่าเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ ที่ถูกปฏิเสธงานวิจัยหลายครั้ง ก่อนจะประสบความสำเร็จ หรือศิลปินที่เคยถูกดูถูกมาก่อน เช่น โธมัส เอดิสัน ที่ทดลองหลอดไฟกว่าพันครั้ง ก่อนจะได้ผลลัพธ์สำเร็จ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนให้เด็กเห็นว่า ไม่มีใครประสบความสำเร็จโดยไม่เคยล้มเหลว นิทานหรือชีวประวัติของบุคคลเหล่านี้ สามารถปลูกฝังกรอบคิดแบบ growth mindset ให้ลูกได้อย่างลึกซึ้ง
5. ใช้เกมหรือกิจกรรมฝึกความพยายาม
การเรียนรู้ไม่จำเป็นต้องเกิดในห้องเรียนเท่านั้น แต่สามารถเกิดผ่านการเล่นที่สนุกและท้าทายได้ เช่น บอร์ดเกมที่ต้องอาศัยการคิดวางแผน หรือเกมที่ต้องเล่นหลายรอบกว่าจะชนะ เมื่อเด็กแพ้ในเกม พ่อแม่สามารถพูดคุยกับลูกหลังเกมว่า “รอบนี้แพ้เพราะอะไรนะ?” หรือ “ครั้งหน้าอยากลองวิธีไหนดี?” คำถามเหล่านี้ช่วยให้เด็กรู้จักวิเคราะห์และกล้าลองใหม่ การฝึกให้เด็กมองความพ่ายแพ้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ จะทำให้เขาไม่กลัวการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

6. Zone of Proximal Development (ZPD)
แนวคิดของ Vygotsky นี้บอกว่า เด็กจะพัฒนาได้ดีที่สุด เมื่อเขาทำสิ่งที่เกือบจะทำได้ด้วยตัวเอง โดยมีผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือเล็กน้อย เช่น ถ้าลูกอ่านหนังสือคำยากไม่ได้ ลองนั่งอ่านด้วยกัน ช่วยอ่านบางคำแล้วให้เขาลองต่อ หรือหากโจทย์คณิตยากไป ลองเขียนเป็นขั้นตอนย่อย ๆ ให้เขาทำทีละขั้น การสอนลูกแบบนี้ จะทำให้เด็กได้รับแรงผลักที่เหมาะสม ไม่ง่ายเกินไปจนน่าเบื่อ และไม่ยากเกินไปจนท้อ
7. อย่ารีบช่วยลูกเกินไป
เมื่อพ่อแม่เห็นลูกกำลังหาทางแก้ปัญหา เช่น ต่อของเล่นไม่สำเร็จ หรือทำแบบฝึกหัดแล้วงง บางครั้งความเป็นห่วงทำให้เรารีบช่วยเหลือ ก่อนที่ลูกจะได้ลองคิดเอง แต่จริง ๆ แล้วควรให้โอกาสเขาได้ลองผิด ลองถูก และได้คิดด้วยตัวเองก่อน หากติดขัดจริง ๆ ค่อยให้คำใบ้ เช่น “ลองหมุนกลับอีกด้านดูไหม?” หรือ “มีอะไรที่ยังไม่ได้ลองอีกบ้าง?” การฝึกคิดแบบนี้จะช่วยให้เด็กสร้างทักษะการแก้ปัญหา และไม่ยอมแพ้ง่ายเมื่อเจอความยากในอนาคต
8. เช็คความรู้สึกลูกหลังล้ม
เด็กบางคนเก็บอารมณ์ไว้ลึก ๆ เมื่อเขาผิดหวัง เช่น สอบตก หรือทำคะแนนได้น้อยกว่าที่หวังไว้ พ่อแม่ควรเป็นคนชวนคุย เช่น “หนูรู้สึกยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น?” เพื่อให้ลูกกล้าเปิดใจ เมื่อเขาได้พูดและได้รับความเข้าใจ เด็กจะรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ล้มเหลวคนเดียว และการล้มเหลวไม่ใช่เรื่องน่าอาย พ่อแม่อาจช่วยลูกมองหาวิธีปรับปรุง เช่น “คราวหน้าอยากให้แม่ช่วยยังไงดี?” การพูดคุยในลักษณะนี้ เป็นการฝึกทักษะความฉลาดทางอารมณ์ และเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางจิตใจให้กับลูกในระยะยาว
9. พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่าง
ลูกเรียนรู้จากสิ่งที่พ่อแม่ทำ มากกว่าสิ่งที่พ่อแม่พูด หากลูกเห็นพ่อแม่ล้มเหลวในการทำอาหาร แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร คราวหน้าแม่จะลองใหม่” หรือเห็นพ่อออกกำลังกายทุกวันแม้เหนื่อย เขาจะเรียนรู้ว่า ความพยายามเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทุกคนต้องมี การเป็นต้นแบบในเรื่องความมุมานะ พยายามอดทน และไม่ท้อแม้พลาดพลั้ง คือของขวัญทางความคิดที่ดีที่สุดที่พ่อแม่มอบให้ลูกได้

คำพูดฮีลใจที่พ่อแม่ใช้ได้จริงเวลาลูกท้อ
- “แม่เห็นว่าหนูเหนื่อย แต่หนูกำลังพยายามอยู่ แม่ภูมิใจมากเลย”
- “ล้มได้ไม่เป็นไรนะ คนเก่งเขาลุกกันได้ทั้งนั้น”
- “ครั้งนี้ยังไม่สำเร็จ แต่ครั้งหน้าหนูจะเก่งขึ้นแน่นอน”
คำว่า “ยัง” เช่น “หนูยังทำไม่ได้” แทน “หนูทำไม่ได้” เป็นคำวิเศษที่ช่วยสร้างกรอบความคิดเติบโตให้เด็ก
เทคนิคจากจิตแพทย์เด็ก: เสริม Growth Mindset
- ให้เด็กวาดภาพเป้าหมาย แล้ววางแผนเอง
- ฝึกคิดทางเลือก เช่น “ถ้าทางนี้ไม่เวิร์ก หนูจะลองอะไรอีก?”
- สร้างบทเรียนจากการล้มเหลว เป็นกิจกรรมประจำบ้าน เช่น เล่าเรื่อง “วันนี้ใครพลาดอะไรบ้าง?”
เมื่อลูกท้อหนัก พ่อแม่ควรทำยังไง?
- พาไปทบทวนจุดเริ่มต้น: ให้ลูกเห็นว่าเขาเคยผ่านอะไรมาแล้ว
- ชวนดูคนที่เคยพลาดแล้วสำเร็จ: เช่น นักกีฬา, นักดนตรี
- ให้เวลาพักบ้าง: การหยุดพัก ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือการเติมพลัง
ไม่มีใครเกิดมามีความพยายามโดยธรรมชาติ แต่การ สอนลูกให้มีความพยายาม มันคือทักษะที่ “ฝึกได้” โดยมีพ่อแม่เป็นคนสร้างรากฐาน เมื่อพ่อแม่เริ่มจากการชื่นชมความพยายาม สอนลูกล้มแล้วลุก และปล่อยให้เขาได้ลองผิดลองถูก เด็กคนนั้นจะเติบโตเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ และมีศักยภาพไม่สิ้นสุด
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
วิธีสอนลูกให้รักสิ่งแวดล้อม สร้างอนาคตที่ยั่งยืน พร้อมปลูกฝังจิตสำนึกรอบด้าน
10 วิธี สอนลูกสาวให้รักตัวเอง สร้างเกราะอันแข็งแกร่ง มีภูมิคุ้มกันทางใจ
วิจัยเผย! วิธีรักษาดาวน์ซินโดรมแบบใหม่ ช่วยตัดโครโมโซมที่เกินออกได้
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!