การคลอดลูกด้วยวิธีการผ่าตัด เป็นการผ่าตัดใหญ่แม้จะเป็นวิธีที่ปลอดภัย แต่หลังการผ่าตัด ร่างกายของคุณแม่จะมีการเปลี่ยนแปลงและต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ซึ่งอาจมี อาการผิดปกติหลังผ่าคลอด เกิดขึ้นได้ หากคุณแม่สังเกตพบอาการผิดปกติหลังจากกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพได้ค่ะ
สำหรับคุณแม่ที่กำลังอยู่ในช่วงใกล้คลอด และต้องคลอดลูกด้วยวิธีการผ่าคลอด theAsianparent มีข้อมูลในการเตรียมความพร้อมก่อนคลอด และการดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด พร้อมทั้งการสังเกตอาการผิดปกติหลังผ่าคลอด ที่คุณแม่ควรไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์ทันที โดยรวบรวมจากจากโรงพยาบาลชั้นนำและสถาบันด้านสุขภาพที่เชื่อถือได้มาฝากค่ะ
ผ่าคลอด คืออะไร ? ทำไมต้องผ่าคลอด ?
การผ่าคลอด หรือที่เรียกว่า Cesarean Section (C-Section) คือ การคลอดบุตรโดยวิธีการผ่าตัด แทนการคลอดธรรมชาติทางช่องคลอด โดยแพทย์จะทำการผ่าเปิดหน้าท้องและมดลูก เพื่อนำทารกออกมา สำหรับสาเหตุที่ต้องผ่าคลอด อาจมาจากคุณแม่ไม่สามารถคลอดลูกแบบธรรมชาติได้ เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และเด็ก มีหลายสาเหตุที่แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าคลอด อาทิเช่น
- เชิงกรานแคบ ขนาดเชิงกรานของคุณแม่ไม่เหมาะสมกับขนาดศีรษะของทารก ทำให้ทารกไม่สามารถคลอดผ่านช่องคลอดได้
- ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าขวาง หรือท่าก้น ทำให้การคลอดธรรมชาติเป็นไปได้ยากหรือเป็นอันตราย
- หัวใจทารกเต้นผิดปกติ อาจจำเป็นต้องผ่าคลอดฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัยของทารก
- ครรภ์แฝด การตั้งครรภ์แฝดบางครั้งอาจมีความเสี่ยงสูงกว่าการตั้งครรภ์เดี่ยว และอาจต้องผ่าคลอดเพื่อความปลอดภัย
- ครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงของการตั้งครรภ์ที่อาจเป็นอันตรายต่อทั้งแม่และทารก
- รกเกาะต่ำ เป็นภาวะที่รกเกาะอยู่บริเวณส่วนล่างของมดลูก ซึ่งอาจปิดกั้นปากมดลูก ทำให้ต้องผ่าคลอด
- สายสะดือสั้นเกินไป สายสะดือที่สั้นเกินไปอาจทำให้เกิดปัญหาขณะคลอดธรรมชาติ
- ปัญหาสุขภาพของแม่ เช่น โรคประจำตัวบางอย่าง หรือภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์
- การคลอดในภาวะฉุกเฉิน เช่น ภาวะรก detachment (รกที่ลอกตัวก่อนกำหนด) หรือภาวะอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อแม่และทารก
การผ่าคลอดเป็นวิธีการคลอดที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเมื่อมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ การตัดสินใจว่าจะผ่าคลอดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ โดยพิจารณาจากสุขภาพของทั้งคุณแม่และทารก เพื่อให้การคลอดเป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุดค่ะ
แผลผ่าคลอด การดูแลและการสมานตัว
แผลผ่าคลอดสามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
- แนวนอน: เป็นแผลตามแนวขวางบริเวณขอบกางเกงชั้นใน มีความยาวประมาณ 4-6 นิ้ว หรือ 10-15 เซนติเมตร
- แนวตั้ง: เป็นแผลตามแนวยาวใต้สะดือ มักใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือการผ่าตัดที่ซับซ้อน
สำหรับระยะเวลาในการสมานตัวของแผลผ่าตัดคลอดโดยทั่วไป แผลผ่าคลอดจะใช้เวลาในการสมานตัว ดังนี้
- 1 สัปดาห์แรก แผลบริเวณชั้นนอกจะเริ่มสมานตัว
- 2-4 สัปดาห์ ผิวหนังชั้นในจะเริ่มสมานตัวมากขึ้น
- หลังจากนั้นแผลจะปิดสนิทและเปลี่ยนสีคล้ำขึ้น เป็นสีแดงอมม่วงประมาณ 6 เดือน จากนั้นจะค่อยๆ จางลงเป็นสีขาวและเรียบในที่สุด

การดูแลตัวเองหลังผ่าคลอด เคล็ดลับสำหรับคุณแม่
การผ่าคลอดทางหน้าท้องเป็นการผ่าตัดใหญ่ ดังนั้นการดูแลตัวเองหลังผ่าตัดจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วและลดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ แนะนำให้คุณแม่ปฏิบัติตัวหลังผ่าคลอด ดังนี้ค่ะ
- พลิกตัวบ่อยๆ: หลังผ่าคลอด คุณแม่ควรพลิกตัวบ่อยๆ พยายามลุกเดินเบาๆ ตั้งแต่วันแรกหลังผ่าตัด เพื่อป้องกันลิ่มเลือดอุดตันและพังผืดในช่องท้อง ช่วยให้ลำไส้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นและลดอาการท้องอืด นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนักและการออกกำลังกายที่ต้องใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องมากเกินไปจนกว่าแผลจะหายดี
- การวัดความดันโลหิต: พยาบาลจะเข้ามาวัดความดันโลหิตของคุณแม่ทุกๆ 30 นาที ในระยะแรกหลังคลอด เพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
- การจัดการความเจ็บปวด: หากคุณแม่รู้สึกเจ็บหรือปวดแผล ควรแจ้งพยาบาลทันที เพื่อให้แพทย์พิจารณาสั่งยาลดปวดที่เหมาะสม
- การให้นมบุตร: คุณแม่สามารถให้นมบุตรได้เลยเมื่อรู้สึกพร้อม การให้นมแม่มีประโยชน์ทั้งต่อคุณแม่และลูกน้อย
- อาการเจ็บมดลูก: คุณแม่อาจรู้สึกเจ็บในมดลูกเป็นครั้งคราว ซึ่งเป็นอาการปกติเนื่องจากมดลูกกำลังหดตัวเข้าสู่ภาวะปกติ อาการเจ็บอาจมากขึ้นในขณะให้นมบุตร
- การดูแลแผลผ่าตัด: แผลผ่าตัดจะถูกปิดด้วยผ้ากอซ สิ่งสำคัญคือต้องระวังไม่ให้แผลโดนน้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ความสะอาด: คุณแม่ควรล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสแผล และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในการดูแลแผลอย่างเคร่งครัด
การดูแลตัวเองหลังผ่าคลอดทางหน้าท้องอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวได้เร็วและกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และพยาบาลอย่างเคร่งครัด รวมถึงการพักผ่อนและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากมีข้อสงสัยหรืออาการผิดปกติใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้องค่ะ
อาการปกติที่พบได้หลังผ่าคลอด (ไม่ต้องกังวล)
หลังการผ่าคลอด ร่างกายของคุณแม่จะเข้าสู่ช่วงพักฟื้น ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการต่างๆ เกิดขึ้นในระหว่างที่ร่างกายกำลังปรับตัวและฟื้นฟูให้กลับสู่ภาวะปกติ โดยอาการทั่วไปที่สามารถพบได้ มีดังนี้
-
อาการเจ็บบริเวณแผลผ่าตัดและปวดมดลูก
แผลผ่าตัด: คุณแม่อาจรู้สึกเจ็บ มีรอยฟกช้ำ หรือคันบริเวณแผลผ่าตัดที่หน้าท้องได้นานถึง 1 สัปดาห์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสมานแผล
ปวดมดลูก: เป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการปวดท้องคล้ายปวดประจำเดือนอยู่หลายวัน หรือรู้สึกปวดตื้อๆ ในช่วง 2-3 วันแรก อาการเหล่านี้เกิดจากมดลูกกำลังบีบตัวเพื่อกลับเข้าอู่และช่วยป้องกันการตกเลือดมากเกินไป
-
น้ำคาวปลา (เลือดออกทางช่องคลอด)
ในช่วงหลายสัปดาห์แรกหลังคลอด ร่างกายจะขับเลือดและเนื้อเยื่อส่วนเกินออกจากมดลูก ในช่วง 2-3 วันแรกจะเป็นเลือดสีแดงสด จากนั้นจะค่อยๆ จางลงเป็นสีชมพู สีน้ำตาล และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือใสในที่สุดก่อนจะหายไป
ในช่วง 3-4 วันแรก เต้านมจะผลิตน้ำนมเหลือง (Colostrum) ที่มีสารอาหารสูง หลังจากนั้นเมื่อน้ำนมเริ่มมา เต้านมจะคัดตึง บวม และเจ็บได้ คุณแม่สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการให้ลูกดูดนมหรือปั๊มนมออก และใช้การประคบเย็นเข้าช่วย
คุณแม่อาจรู้สึกเหนื่อยล้า กังวล หรือมีอารมณ์แปรปรวนได้ในช่วงสัปดาห์แรกๆ ซึ่งเรียกว่า “ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด” หรือ “Baby Blues” ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่หากอาการเหล่านี้ไม่ดีขึ้นหรือรุนแรงขึ้นหลังผ่านไป 2-3 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเป็นภาวะซึมเศร้าหลังคลอดที่ต้องการการดูแลรักษา
-
อาการท้องอืดและระบบขับถ่าย
หลังการผ่าตัด คุณอาจมีอาการท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร และระบบขับถ่ายยังทำงานไม่เป็นปกติในช่วง 2-3 วันแรก
ในวันแรกหรือสองวันหลังผ่าตัด คุณอาจรู้สึกง่วงซึมหรือคลื่นไส้ ซึ่งเป็นผลมาจากยาที่ได้รับระหว่างการผ่าตัด
-
การเปลี่ยนแปลงของเส้นผมและผิวหนัง
คุณแม่อาจสังเกตเห็นผมร่วงมากขึ้นในช่วง 3-4 เดือนแรก และเห็นรอยแตกลายบริเวณหน้าท้องและหน้าอก ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน โดยรอยแตกลายเหล่านี้จะค่อยๆ จางลงเป็นสีที่อ่อนลงตามกาลเวลา
12 อาการผิดปกติหลังผ่าคลอด (สัญญาณอันตราย) ที่ต้องรีบไปพบแพทย์
แม้ว่าการฟื้นตัวหลังผ่าคลอดจะมีอาการเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่มีสัญญาณอันตรายบางอย่างที่อาจบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง หากคุณแม่มีอาการดังต่อไปนี้ ควรรีบติดต่อแพทย์ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ถึงวันนัดตรวจครั้งต่อไป
- ปวดแผลรุนแรง: มีอาการปวดแผลผ่าตัดอย่างรุนแรง หรือปวดมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะรับประทานยาแก้ปวดแล้วก็ตาม
- แผลติดเชื้อ: แผลผ่าตัดมีลักษณะบวม แดง ร้อน มีน้ำเหลืองหรือหนองซึมออกมา
- เลือดออกมากผิดปกติ: มีเลือดออกทางช่องคลอดมากจนชุ่มผ้าอนามัยเต็มแผ่นภายใน 1 ชั่วโมง หรือมีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ออกมา
- น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น: น้ำคาวปลาที่ขับออกมามีกลิ่นเหม็นรุนแรงผิดปกติ
- มีไข้สูง: มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส (100.4 องศาฟาเรนไฮต์) ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
- เจ็บหน้าอกหรือหายใจลำบาก: รู้สึกเจ็บหน้าอก หายใจไม่อิ่ม หรือหายใจถี่
- ปวดบวมที่ขา: มีอาการปวด บวม แดง หรือร้อนที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง โดยเฉพาะบริเวณน่อง
- ปวดศีรษะรุนแรงและตาพร่ามัว: มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ร่วมกับการมองเห็นที่ผิดปกติไป เช่น ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน
- บวมฉับพลัน: มีอาการบวมอย่างกะทันหันบริเวณใบหน้า ดวงตา หรือมือ
- เต้านมอักเสบ: เต้านมมีลักษณะบวม แดง ร้อน และเจ็บปวดมากผิดปกติ
- มีความคิดหรืออารมณ์ที่น่ากังวล: รู้สึกเศร้า สิ้นหวังอย่างรุนแรง มีความวิตกกังวลตลอดเวลา หรือมีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือลูกน้อย
- รู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ: มีความรู้สึกหรือสัญชาตญาณว่าร่างกายมีบางอย่างผิดปกติไปจากเดิมอย่างบอกไม่ถูก
สาเหตุของ อาการผิดปกติหลังผ่าคลอด
อาการผิดปกติหลังผ่าคลอดสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้
- ดูแลแผลไม่สะอาด หรือปล่อยให้เกิดการหมักหมม การดูแลความสะอาดของแผลผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญ หากไม่ดูแลความสะอาดอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดการติเชื้อที่แผลได้ เช่น การปล่อยให้แผลอับชื้น ไม่ทำความสะอาด หรือสัมผัสแผลด้วยมือที่ไม่สะอาด
- เกิดการกระทบกระเทือน การออกแรงมากเกินไป เช่น ยกของหนัก ทำกิจกรรมที่ใช้แรงมาก อาจส่งผลกระทบต่อแผลผ่าตัด ทำให้แผลปริ แผลแยก หรือเกิดอาการบวมช้ำได้
- แผลผ่าคลอดเกิดการติดเชื้อ การติดเชื้อที่แผลผ่าคลอดอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การดูแลความสะอาดไม่เพียงพอ ภาวะแทรกซ้อนระหว่างผ่าตัด หรือร่างกายอ่อนแอ การติดเชื้อจะทำให้อาการปวด บวม แดง ร้อน มีหนอง หรือมีไข้
- มีปัญหาสุขภาพเรื้อรังอยู่ก่อนแล้ว คุณแม่ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน โรคอ้วน หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของแผลผ่าตัด ทำให้แผลหายช้า หรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- เกิดอุบัติเหตุและการกระทบกระเทือนที่แผล การเกิดอุบัติเหตุหรือการกระทบกระเทือนโดยตรงที่แผลผ่าตัด อาจทำให้แผลฉีกขาด เลือดออก หรือเกิดการอักเสบได้
- มีเพศสัมพันธ์หลังคลอดโดยที่แผลยังไม่หายดี การมีเพศสัมพันธ์เร็วเกินไปหลังผ่าคลอด ในขณะที่แผลยังไม่หายดี อาจทำให้แผลปริ แผลแยก หรือเกิดการติดเชื้อได้

วิธีดูแลแผลผ่าคลอดให้หายเร็วและลดรอยแผลเป็น
การรักษาแผลให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลสมานตัวได้ดี
- การทำความสะอาด: การทำความสะอาดแผล ทำความสะอาดแผลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการแช่น้ำ: ห้ามแช่ตัวในอ่างอาบน้ำ อ่างน้ำร้อน หรือสระว่ายน้ำ จนกว่าจะได้รับอนุญาตจากแพทย์
- สังเกตสัญญาณติดเชื้อ: ควรตรวจดูแผลทุกวัน และรีบแจ้งแพทย์ทันทีหากพบว่าแผลมีอาการบวม แดง ร้อน มีหนองหรือน้ำเหลืองซึมออกมา หรือมีอาการเจ็บแผลมากขึ้น
การจัดการความเจ็บปวดหลังผ่าคลอด
อาการปวดแผลและปวดท้องเป็นเรื่องปกติในช่วงแรก การจัดการความเจ็บปวดอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกสบายตัวและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
- ใช้ยาแก้ปวด: ใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ เช่น พาราเซตามอล (Acetaminophen) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ซึ่งยาส่วนใหญ่ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ที่ให้นมบุตร
- ใช้ความร้อนช่วย: การวางแผ่นประคบร้อน (ตั้งไฟอ่อนๆ) หรือผ้าชุบน้ำอุ่นบริเวณหน้าท้อง สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดและทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
โภชนาการสำหรับคุณแม่หลังผ่าคลอด
การรับประทานอาหารที่เหมาะสมและดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นตัว ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมแผลผ่าตัดได้ดี ป้องกันอาการท้องผูกซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อย และช่วยให้คุณแม่มีพลังงานในการดูแลลูกน้อย โดยมีคำแนะนำดังนี้
ช่วงแรกหลังการผ่าตัด (ตามคำแนะนำของแพทย์)
โดยทั่วไป หลังฟื้นตัวจากการผ่าตัด แพทย์จะให้คุณแม่งดน้ำและอาหารก่อน จากนั้นจะค่อยๆ แนะนำให้ปฏิบัติตามลำดับขั้นต่อไปนี้:
- ขั้นที่ 1: เริ่มจากการจิบน้ำเปล่าทีละนิด
- ขั้นที่ 2: เมื่อไม่มีปัญหา จึงเริ่มรับประทานอาหารใสๆ เช่น น้ำซุป หรือน้ำแกงใสๆ
- ขั้นที่ 3: ลำดับถัดมาคืออาหารเหลวหรืออาหารอ่อน เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้ม
- ขั้นที่ 4: หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอาหารปกติที่ย่อยง่ายและมีรสจืด
คำแนะนำทั่วไปสำหรับช่วงพักฟื้น
เมื่อเริ่มรับประทานอาหารได้ปกติแล้ว ควรใส่ใจกับอาหารและเครื่องดื่มเป็นพิเศษ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อชดเชยของเหลวที่ร่างกายสูญเสียไป และมีความสำคัญอย่างยิ่งหากคุณแม่กำลังให้นมบุตร
- เน้นอาหารที่มีกากใยสูง: รับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืชต่างๆ เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และป้องกันอาการท้องผูก อาจแบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ แต่ทานให้บ่อยขึ้น เพื่อช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี
- อาหารและเครื่องดื่มที่ควรหลีกเลี่ยง:
- อาหารที่ทำให้ท้องอืด: เช่น นม และน้ำอัดลม เพราะอาจทำให้แน่นท้องและไม่สบายตัวได้
- อาหารรสจัดและของหมักดอง: เพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหารและลำไส้
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน: ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลมบางชนิด
การใช้ชีวิตประจำวันและข้อควรระวัง
ในช่วงพักฟื้น ร่างกายยังไม่แข็งแรงเต็มที่ จึงมีข้อควรปฏิบัติและข้อควรระวังเพื่อป้องกันการกระทบกระเทือนแผลและช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เต็มที่
- พักผ่อนให้เพียงพอ: การผ่าคลอดถือเป็นการผ่าตัดใหญ่ ควรหาเวลาพักผ่อนให้มากที่สุด อาจเป็นการงีบหลับสั้นๆ 10-15 นาที หลายๆ ครั้งตลอดวัน
- หลีกเลี่ยงการยกของหนัก: ในช่วงที่แผลกำลังสมานตัว ห้ามยกของที่หนักกว่าน้ำหนักตัวของลูกน้อยเด็ดขาด
- พยุงหน้าท้องเสมอ: ใช้มือหรือหมอนช่วยประคองหน้าท้องและแผลไว้เสมอ เมื่อต้องไอ จาม หรือหัวเราะ เพื่อลดแรงกดทับและอาการเจ็บ
- เคลื่อนไหวอย่างค่อยเป็นค่อยไป: เริ่มต้นออกกำลังกายด้วยการเดินช้าๆ เบาๆ และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อหน้าท้อง เช่น ซิทอัพ แพลงก์ หรือวิดพื้น อย่างน้อย 12 สัปดาห์ หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
- งดการขับรถ: ควรหลีกเลี่ยงการขับรถเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังผ่าตัด
การดูแลตัวเองหลังผ่าคลอดอย่างเหมาะสมนั้นสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวของคุณแม่และการมีสุขภาพที่ดีของทั้งคุณแม่และลูกน้อย หากคุณแม่มี อาการผิดปกติหลังผ่าคลอด เช่น แผลผ่าตัดบวมแดง มีหนอง น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น มีไข้สูง หรือมีอาการซึมเศร้า ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ทันทีเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม การดูแลอย่างใกล้ชิดและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย พร้อมดูแลลูกน้อยได้อย่างเต็มที่ค่ะ
อ้างอิง :
โรงพยาบาลนครธน , โรงพยาบาลสมิติเวช , โรงพยาบาลวิมุต , The University of New Mexico , WebMD , Parents
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
แผลเป็นนูนหลังผ่าคลอด คีลอยด์ รักษายังไง? วิธีดูแลแผลผ่าคลอดให้หายเร็ว
10 แผ่นแปะลดรอยแผลเป็น ไอเท็มเด็ดที่ แม่ผ่าคลอด ต้องมี!
10 เมนูอาหารคุณแม่หลังผ่าคลอด หลังผ่าคลอดกินอะไรได้บ้าง อะไรควรหลีกเลี่ยง
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!