10 โรคหน้าฝนในเด็ก 2025 โรคหน้าฝนสุดฮิตที่เด็กมักเป็น คุณพ่อคุณแม่ต้องระวัง

lead image

ในช่วงหน้าฝนแบบนี้สิ่งที่พ่อแม่มักกังวลคงจะเป็นเรื่องสุขภาพของเด็ก ๆ 10 โรคหน้าฝนในเด็ก มีอะไรบ้าง และจะเตรียมเฝ้าระวังได้อย่างไร

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ช่วงนี้เริ่มมีฝนตกบ้างแล้วในบางพื้นที่ เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยเข้าสู่หน้าฝนเป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่พ่อแม่มักกังวลคงจะเป็นเรื่องสุขภาพของเด็ก ๆ เพราะน้ำฝนนำพาเชื้อโรคต่าง ๆ มาสู่เด็ก ๆ ได้ วันนี้แอด จึงขอนำ 10 โรคหน้าฝนในเด็ก มาแบ่งปันให้คุณพ่อคุณแม่ได้เตรียมตัวรับมือแล้วเฝ้าระวังเด็ก ๆ ให้ห่างไกลจากโรคกัน

อาจเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เมื่อเด็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นแล้วเกิดมีฝนตกลงมา ด้วยความเป็นเด็ก พวกเขามักจะสนุกกับสิ่งรอบตัวอยู่แล้ว เป็นไปได้ว่าพวกเขาก็ยังคงวิ่งเล่นท่ามกลางสายฝนอยู่โดยไม่ได้เกรงกลัวภัยต่าง ๆ ที่มากับฝนแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นฟ้าผ่า ฟ้าร้อง หรือสัตว์มีพิษทั้งหลาย ๆ

เด็ก ๆ ยังไม่มีประสบการณ์การเรียนรู้มากพอว่า ภัยอันตรายที่มากับฝนนั้นมีอะไรบ้าง การเล่นน้ำฝน หรือการกระโดดในแหล่งน้ำขังเพื่อให้น้ำแตกกระจายเป็นสิ่งที่เด็ก ๆ หลายคนชื่นชอบ อากาศที่เย็นชื้นมากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้โรคหลายชนิดแพร่ระบาดได้ง่าย โรคที่แฝงมากับหน้าฝนที่เด็กมักเป็นกัน

10 โรคหน้าฝนในเด็ก

10 โรคหน้าฝนในเด็ก 2025 โรคหน้าฝนสุดฮิตที่เด็กมักเป็น คุณพ่อคุณแม่ต้องระวัง

  1. โรคไข้หวัดใหญ่

เป็นหนึ่งในโรคระบบทางเดินหายใจที่พบบ่อยและมักระบาดหนักในช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็ก เพราะภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง และเป็นช่วงที่โรงเรียนเปิดเทอม ทำให้เชื้อแพร่กระจายได้ง่าย

อาการที่ต้องสังเกต เด็กที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่จะมีอาการเริ่มต้นคล้ายไข้หวัดทั่วไป แต่จะรุนแรงและเฉียบพลันกว่า เช่น มีไข้สูงเฉียบพลัน (มักเกิน 38.5°C) ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างรุนแรง ไอแห้งๆ เจ็บคอ มีน้ำมูก และอาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนในบางราย

แม้ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นเองใน 5-7 วัน แต่ในเด็กเล็ก กลุ่มที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคหัวใจ หรือภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจมีความรุนแรงถึงขั้นปอดอักเสบ หายใจลำบาก หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ ดังนั้น หากลูกมีไข้สูงต่อเนื่อง ไอมาก หอบเหนื่อย หรืออาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันทีค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง: วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์ ปี 2025 / 2568 ฉีดที่ไหน? ราคาสบายกระเป๋า

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  1. โรคมือเท้าปาก (Hand-foot-mouth disease)

โรคมือเท้าปาก ติดต่อกันได้ทางไอ จาม น้ำลายหรืออุจจาระ การสัมผัสของเล่น อาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ อาการของโรคคือ มีไข้ ผื่น ตุ่มน้ำใสตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า ก้น มีแผลร้อนในหลายแผลในปาก มักหายได้เอง ในขณะมีอาการ เด็กบางรายอาจกินอาหารและน้ำไม่ค่อยได้เนื่องจากเจ็บปาก ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ  ต้องระวังไม่ให้เด็กมีไข้สูงจนเกิดอาการชัก เด็กบางรายอาจมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ อัมพาตและอาจเสียชีวิต ป้องกันได้โดยไม่ให้เด็กคลุกคลีกับผู้ป่วยและไม่ใช้ภาชนะร่วมกับคนอื่น

บทความที่เกี่ยวข้อง: โรคมือเท้าปาก โรคใกล้ตัวเด็กวัยเรียน ทารก-เด็กเล็ก ก็มีโอกาสป่วยง่าย

 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  1. โรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)

โดยโรคไข้เลือดออกนั้นเป็นโรคอันตรายกว่าที่คิด โรคไข้เลือดออกมียุงลายเป็นพาหะนำโรค อาการระยะแรกเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ได้แก่ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อาจมีอาการปวดกระดูก และมีไข้จะสูงอยู่ประมาณ 2-7 วัน หลังจากนั้นไข้จะลดลง อาจจะมีอาการเลือดออกผิดปกติและช็อกได้ ระยะที่เกิดการช็อกส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงที่ไข้ลดลง

อาการก่อนที่จะช็อก คือ เด็กอาจจะปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่ายหรือซึม มือเท้าเย็น หน้ามืด เป็นลมง่าย ควรรีบนำเด็กส่งโรงพยาบาลทันที โรคไข้เลือดออกป้องกันได้โดยพยายามอย่าให้ยุงกัดและกำจัดแหล่งน้ำท่วมขังภายในบริเวณที่เป็นจุดเสี่ยงรอบ ๆ บ้านทิ้งให้หมด ฉีดยากันยุงป้องกันเพิ่มเติม หรืออาจจะทาโลชั่นป้องกันยุงให้กับเด็ก ๆ ก็ได้

บทความอื่นที่น่าสนใจ: โรคไข้เลือดออกในเด็ก อาการเป็นอย่างไร เป็นแล้วเป็นอีกได้ไหม ?

 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  1. โรคระบบทางเดินอาหาร

หน้าฝนเป็นช่วงที่เด็กๆ เสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินอาหารได้ง่าย เช่น อุจจาระร่วง บิด และไทฟอยด์ ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปะปนอยู่ รวมถึงการติดเชื้อโรต้าไวรัสที่มักมากับของเล่นหรือของใช้ที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะในเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปี อาการที่พบคือ ท้องเสีย ถ่ายเหลว อาจมีมูกเลือดปน คลื่นไส้อาเจียน มีไข้ และเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำได้ คุณแม่ควรดูแลสุขอนามัยในการกินและการเล่นของลูกให้ดี และในเด็กทารกควรให้ดื่มนมแม่เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันค่ะ

 

  1. โรคปอดบวม

โรคปอดบวม เป็นภาวะติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างที่มักเป็นภาวะแทรกซ้อนรุนแรงตามหลังไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ ซึ่งในหน้าฝนเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูง

อาการที่ต้องสังเกต คุณแม่ควรสังเกตอาการที่บ่งชี้ว่าลูกอาจเป็นปอดบวม ได้แก่ ไอมีเสมหะมาก โดยเฉพาะเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว หายใจเร็วผิดปกติ หอบเหนื่อย หายใจลำบาก หรือมีลักษณะเหมือนอกบุ๋มเวลาหายใจ อาจมีไข้สูง และซึมลง ไม่ร่าเริงเหมือนปกติ

โรคปอดบวมเป็นภาวะที่รุนแรงถึงชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที เนื่องจากปอดจะมีการอักเสบและทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ หากพบอาการดังกล่าวข้างต้น โดยเฉพาะการหายใจที่ผิดปกติ ควรรีบพาบุตรหลานไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต

  1. โรคติดเชื้อ RSV

โรคติดเชื้อ RSV (Respiratory Syncytial Virus) เป็นโรคที่พบบ่อยมากในเด็กเล็ก โดยเฉพาะในฤดูฝน มักทำให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะส่วนของหลอดลมฝอย ซึ่งมีขนาดเล็กและบอบบาง

อาการที่ต้องสังเกต อาการของ RSV มักเริ่มต้นคล้ายไข้หวัดทั่วไป เช่น มีน้ำมูก ไอ แต่จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วเป็นอาการที่รุนแรงขึ้น ได้แก่ ไอมากและมีเสมหะ หายใจหอบเหนื่อย มีเสียงหวีด หรือเสียงครืดคราดในลำคอและปอด บางรายอาจมีไข้สูงร่วมด้วย ทารกอาจมีอาการซึมลง หรือดูดนมน้อยลง

แม้ในเด็กโตหรือผู้ใหญ่อาการอาจไม่รุนแรงนัก แต่ใน เด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี โดยเฉพาะทารก หรือเด็กที่มีภาวะคลอดก่อนกำหนดและมีโรคประจำตัว RSV สามารถทำให้เกิดหลอดลมฝอยอักเสบและปอดบวมอย่างรุนแรง ซึ่งอาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หากลูกมีอาการหายใจลำบาก หอบเหนื่อยมาก หรือริมฝีปากซีดคล้ำ ควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ค่ะ 

บทความที่เกี่ยวข้อง: ข่าวดีมากแม่! วัคซีน RSV มาแล้ว เช็กรูปแบบและราคาพร้อมกันที่นี่!

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

  1. โรคตาแดง (เยื่อบุตาอักเสบ)

เกิดจากการสัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรง เช่น ไอ จาม หายใจรดกันและใช้สิ่งของร่วมกัน เชื้อที่ทำให้เกิดโรคตาแดงที่พบได้บ่อย คือ เชื้อไวรัส อาการของโรคตาแดงอาจเกิดกับดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างก็ได้  เด็กที่ติดเชื้อไวรัสจะมีอาการตาแดงอย่างรวดเร็ว  เคืองตา  เจ็บตา  น้ำตาไหล  ไม่มีขี้ตา บางรายมีต่อมน้ำเหลืองหน้าหูโตและเจ็บ โรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ  ตาดำอักเสบ อาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะหาย เนื่องจากโรคตาแดงไม่มียารักษาโดยตรง การป้องกันไม่ให้ติดโรคจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งทำได้โดยการแยกเด็กที่ป่วย ห้ามไม่ให้ขยี้ตาและหมั่นล้างมือให้สะอาด

บทความที่เกี่ยวข้อง: เด็กตาแดง มีสาเหตุมาจากอะไร? สามารถติดจากคนอื่นได้หรือไม่?

  1. โรคครูป (Croup)

โรคครูป เป็นภาวะติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจส่วนบนที่พบบ่อยในเด็กเล็กช่วงฤดูฝน โดยเฉพาะวัย 6 เดือน ถึง 3 ปี ทำให้เกิดการอักเสบและบวมของกล่องเสียงและหลอดลม

อาการที่ต้องสังเกต อาการเด่นที่บ่งชี้โรคครูปคือ ไอเสียงก้องคล้ายเสียงหมาเห่า (Barking Cough) ซึ่งจะชัดเจนขึ้นในเวลากลางคืน นอกจากนี้ เด็กอาจมีอาการ หายใจมีเสียงดังหวีดแหลม (Stridor) โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้า อาจมีไข้ต่ำๆ ถึงไข้สูง น้ำมูก และเสียงแหบ

ส่วนใหญ่โรคครูปมีอาการไม่รุนแรง และสามารถดูแลรักษาตามอาการได้ที่บ้าน แต่อาการไอและเสียงหายใจผิดปกติอาจทำให้เด็กตื่นกลัวและหายใจลำบากมากขึ้น ในรายที่รุนแรง การบวมของทางเดินหายใจอาจทำให้เด็กหายใจติดขัดอย่างรุนแรง มีอาการหอบเหนื่อย ตัวเขียว หรือซึมลง ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลทันที เพื่อรับการรักษาด้วยยาพ่นขยายหลอดลมหรือสเตียรอยด์เพื่อลดบวมค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง: หมอเตือน! โรคครูป ระบาดหน้าฝน สังเกตเสียงไอ-รับมือก่อนลูกแย่

 

  1. โรคไข้หูดับ 

โรคไข้หูดับ หรือที่รู้จักกันในชื่อทางการแพทย์ว่า โรคติดเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส ซูอิส (Streptococcus suis) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มักพบในหมู ถึงแม้จะพบน้อยในเด็กเล็ก แต่ก็เป็นโรคที่มีความรุนแรงและต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการบริโภคเนื้อหมูที่ไม่ปรุงสุก

อาการที่ต้องสังเกต เด็กที่ติดเชื้อไข้หูดับมักมีอาการ ไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะอย่างรุนแรง เวียนศีรษะ คอแข็ง อาเจียน และที่สำคัญคือ อาการหูดับเฉียบพลัน ซึ่งอาจเกิดกับหูข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ นอกจากนี้ อาจมีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบร่วมด้วย

โรคไข้หูดับมีความรุนแรงสูงมาก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีและถูกต้อง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบติดเชื้อในสมอง ทำให้หูหนวกถาวร พิการ หรือเสียชีวิตได้ ดังนั้น หากมีประวัติสัมผัสหมูหรือบริโภคเนื้อหมูที่ไม่สุก แล้วมีอาการไข้สูงร่วมกับอาการทางระบบประสาท หรือหูดับ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วนที่สุดเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาด้วยยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมค่ะ

  1. โรคโควิด-19

แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบันจะคลี่คลายลงมาก และมีการฉีดวัคซีนกันอย่างแพร่หลาย แต่เชื้อไวรัสนี้ยังคงมีการกลายพันธุ์และแพร่กระจายได้ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่สภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการแพร่เชื้อ และช่วงเปิดเทอมที่เด็กๆ กลับมารวมกลุ่มกันในโรงเรียน ทำให้ยังคงเป็นโรคที่ต้องเฝ้าระวังในเด็กอยู่เสมอ

อาการที่ต้องสังเกต อาการของโควิด-19 ในเด็กมีความหลากหลาย ตั้งแต่ไม่แสดงอาการเลย หรือมีอาการเล็กน้อยคล้ายไข้หวัดทั่วไป เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเมื่อยตามตัว บางรายอาจมีอาการทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาจสูญเสียการรับรู้กลิ่นและรส (พบน้อยลงในสายพันธุ์ปัจจุบัน)

ส่วนใหญ่เด็กที่ติดเชื้อโควิด-19 มักมีอาการไม่รุนแรง แต่ในเด็กเล็กมาก เด็กที่มีโรคประจำตัว หรือเด็กที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจมีอาการรุนแรงที่ส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ เช่น ปอดอักเสบ หายใจลำบาก หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงอื่นๆ ได้ หากบุตรหลานมีอาการน่าสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีไข้สูง ไอมาก หรือหายใจลำบาก ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม และยังคงแนะนำให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันพื้นฐาน เช่น การล้างมือบ่อยๆ และการสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่แออัดค่ะ

 

การป้องกันโรคในฤดูฝนสามารถทำได้ดังนี้

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • สวมเสื้อผ้ารักษาร่างกายให้อบอุ่น เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรค สภาพอากาศมีความชื้น-หนาวเย็น จะทำให้ร่างกายที่มีระดับภูมิต้านทานโรคต่ำลงไปอีก จึงมีโอกาสติดเชื้อโรคทางเดินหายใจได้ง่าย
  • ควรดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้ม
  • รับประทานอาหารที่สะอาดปรุงสุกใหม่ ๆ ไม่มีแมลงวันตอม
  • ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง

 

นอกจากนี้ในช่วงฤดูฝนต้องระวังอีก 2 เรื่อง คือ ปัญหาน้ำกัดเท้าที่เกิดจากเชื้อรา สาเหตุเกิดจากการแช่น้ำสกปรกนาน ๆ ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นแดง ถ้าเกาจะเป็นแผลมีน้ำเหลืองออก และอันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งู ตะขาบ แมงป่องที่หนีน้ำมาอาศัยในบริเวณบ้าน ต้องระวังการรับประทานยาลดไข้ เช่น ยาในกลุ่มแอสไพรินเพราะมีอันตรายกับบางโรคอย่าง โรคไข้เลือดออก โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคฉี่หนู ซึ่งโรคดังกล่าวจะทำให้มีเลือดออกตามอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายอยู่แล้ว หากได้รับยาแอสไพรินซึ่งมีสารป้องกันเลือดแข็งตัวเข้าไปอีก จะทำให้เลือดออกได้และเสียชีวิตได้ง่ายขึ้น

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :

โรคเฮอร์แปงไจน่า ตุ่มแผลในปากเด็ก ติดง่าย ระบาดหนักในฤดูฝน พ่อแม่ต้องระวัง!

มาดู ภาพเชื้อโรคบนมือสุดสยอง เหตุผลว่า ทำไมต้องล้างมือ เพราะมันอี๋มาก

โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ โรคระบาดร้ายแรงในอดีตเกิดจากอะไร รุนแรงแค่ไหน?

ที่มา : bumrungrad.com , bangkokhospital.com

บทความโดย

Jitawat Jansuwan