จิตวิทยาความรัก ในความสัมพันธ์ระยะยาว เรามักเห็นภาพคู่รักหรือคู่แต่งงานที่ทะเลาะกันเป็นระยะ บางครั้งถึงขั้นปะทะด้วยถ้อยคำรุนแรง บางคู่มีน้ำตา บางคู่เงียบใส่กันเป็นวัน ๆ แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ…พอวันรุ่งขึ้นกลับไปกินข้าวด้วยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และบางครั้งยังรู้สึกรักกันมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
นี่ไม่ใช่เรื่องของ “ความเคยชิน” หรือ “ทนเพราะมีลูก” อย่างเดียวเสมอไป แต่นี่คือภาพสะท้อนของกระบวนการทางจิตวิทยาและพฤติกรรมความผูกพันที่ลึกซึ้ง บางคู่ทะเลาะเพราะใกล้กันมาก บางคู่ทะเลาะเพื่อหาทางเข้าใจกัน บางคู่ทะเลาะแล้วกลายเป็นโอกาสซ่อมความรู้สึก และทั้งหมดนี้มีคำอธิบายที่วิทยาศาสตร์สามารถตอบได้
จิตวิทยาความรัก : เมื่อความรักแบบมีไฟ ไม่ได้แปลว่าไฟจะเผาจนพังเสมอไป
-
ทะเลาะกันแล้วไม่เลิก เพราะความผูกพันนั้นลึกเกินกว่าจะตัดขาด
นักจิตวิทยาชื่อดังอย่าง Dr. Sue Johnson ผู้พัฒนาทฤษฎี Emotionally Focused Therapy (EFT) เคยอธิบายว่า การทะเลาะกันในคู่รักมักไม่ใช่การ “โกรธเพราะไม่รัก” แต่กลับเป็นสัญญาณของ “การกลัวสูญเสียความผูกพัน” มากกว่า งานวิจัยของ Dr. Johnson (2004) ชี้ให้เห็นว่า ความขัดแย้งบ่อยครั้งในความสัมพันธ์ไม่ได้นำไปสู่การเลิกรา หากความขัดแย้งนั้นเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขของความใกล้ชิดและความรู้สึกปลอดภัย เช่น คู่รักที่สามารถแสดงความเปราะบางทางอารมณ์ได้โดยไม่กลัวว่าจะถูกปฏิเสธ มักจะกลับมาเชื่อมโยงกันได้เร็วหลังการทะเลาะ
สิ่งนี้สะท้อนแนวคิดของ Attachment Theory ที่เสนอโดย John Bowlby และต่อยอดโดย Mary Ainsworth ซึ่งอธิบายว่าผู้ใหญ่ที่มี “รูปแบบความผูกพันแบบปลอดภัย (secure attachment)” จะสามารถอยู่กับความขัดแย้งได้โดยไม่รู้สึกว่าต้องวิ่งหนี หรือหลีกเลี่ยงการปะทะ คู่รักที่ทะเลาะกันแต่ไม่เลิกกัน มักเป็นคนที่มีความสามารถในการยอมรับอารมณ์ตนเอง และสามารถ “กลับมาคุยกันใหม่” ได้แม้ผ่านช่วงเวลารุนแรง นี่คือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “การทะเลาะอย่างมีคุณภาพ”

-
ทะเลาะอย่างมีคุณภาพ: ไม่ใช่แค่เสียงดัง แต่คือกระบวนการแสดงความรู้สึกอย่างลึกซึ้ง
หลายคนคิดว่าการทะเลาะกันคือ “สัญญาณเตือน” ของความสัมพันธ์ที่กำลังสั่นคลอน แต่ Dr. John Gottman นักจิตวิทยาผู้ศึกษาชีวิตสมรสกว่า 40 ปี ให้มุมมองที่ต่างออกไป เขาบอกว่า “คู่ที่ไม่เคยทะเลาะกันเลย อาจน่ากังวลกว่าคู่ที่ทะเลาะกันเป็นประจำ” เพราะความเงียบอาจเป็นสัญญาณของการปิดกั้นหรือหลีกเลี่ยงความรู้สึก
ในหนังสือ The Seven Principles for Making Marriage Work (1999) Dr. Gottman กล่าวว่า “ความขัดแย้งไม่ใช่ศัตรูของรักแท้ แต่การหลีกเลี่ยงความขัดแย้งต่างหากที่เป็นภัย”
Key Concept ที่สำคัญคือ “Repair Attempt”
คือความพยายามของคู่รักในการ “เชื่อมความสัมพันธ์กลับมา” ระหว่างหรือหลังการทะเลาะ เช่น
หยอดมุกขำ ๆ ตอนอารมณ์ขึ้น
พูดว่า “ขอโทษนะเมื่อกี้เราแรงไปหน่อย”
หันมากอดกันตอนน้ำตาไหล
คู่ที่มี Repair Attempt ที่สำเร็จสูง จะสามารถฟื้นฟูสายใยความสัมพันธ์ได้แม้ผ่านการทะเลาะรุนแรง
-
สมองและเคมีแห่งความรัก: ทำไมทะเลาะแล้วกลับรู้สึกรักกันมากขึ้น?
ในด้านชีววิทยา นักประสาทวิทยาอธิบายว่า ความสัมพันธ์ที่มีทั้งความตึงเครียดและการคืนดีนั้น กระตุ้นสารเคมีในสมองหลายชนิด
- Adrenaline: หลั่งช่วงทะเลาะ ทำให้หัวใจเต้นแรง ร่างกายตื่นตัว (Fight or Flight)
- Oxytocin: หลั่งเมื่อคืนดีกัน กอดกัน ปรับความเข้าใจ เป็นสาร “ฮอร์โมนแห่งความผูกพัน”
- Dopamine: หลั่งเมื่อเกิด “ความโล่งใจ” หลังผ่านวิกฤติ เช่น พูดคุยจนเข้าใจกัน
สิ่งเหล่านี้ทำให้ กระบวนการทะเลาะ-คืนดี กลายเป็นวงจรที่ “เสริมพลังความรัก” ได้อย่างแปลกประหลาด หากทั้งสองฝ่ายมีความไว้วางใจพื้นฐานและไม่ใช้ความรุนแรงทางจิตใจหรือร่างกาย นักจิตวิทยาบางคนเรียกสิ่งนี้ว่า “emotional rollercoaster effect” ซึ่งคล้ายกับการเล่นรถไฟเหาะอารมณ์ ยิ่งสูง ยิ่งเสียว แต่พอลงถึงพื้นก็ยิ่งรู้สึกผูกพันกับคนที่ร่วมขบวนกับเรา
-
รักกันไม่ใช่ไม่ทะเลาะ แต่ต้องทะเลาะให้เป็น
การทะเลาะในคู่รักมี 2 แบบใหญ่ ๆ ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Berkeley (Carrère & Gottman, 1999) พบว่า “น้ำเสียงตอนเริ่มทะเลาะ” สามารถทำนายความยืนยาวของความสัมพันธ์ได้ถึง 94% หากเริ่มด้วยความก้าวร้าว ประชด หรือดูแคลน โอกาสไปไม่รอดมีสูงมาก

-
เพราะเรายังรักกัน เลยกล้าทะเลาะ: เสียงเงียบที่อันตรายกว่าคำตะโกน
สิ่งที่หลายคนเข้าใจผิดคือ ความสัมพันธ์ที่ดีต้อง “ราบรื่น” เสมอ แต่ความจริงคือ คู่ที่ทะเลาะกันบ้าง มักเป็นคนที่ “ยังพยายามพูดถึงสิ่งที่สำคัญ”
ตรงกันข้าม คู่ที่ไม่ทะเลาะกันเลยมักเก็บความรู้สึกไว้ข้างใน ปล่อยให้ระยะห่างเติบโตอย่างเงียบ ๆ จนกลายเป็น “รักจืดจาง” โดยไม่รู้ตัว งานวิจัยของ Dr. Terri Orbuch (University of Michigan) ที่ติดตามคู่รัก 373 คู่มานานกว่า 20 ปี พบว่า “คู่ที่กล้าพูดถึงความไม่พอใจเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างตรงไปตรงมา กลับอยู่กันได้นานกว่าคู่ที่เงียบเก็บไว้แล้วระเบิดในตอนหลัง พูดง่าย ๆ คือ ทะเลาะในวันนี้ อาจช่วยรักษาเราไว้ในวันหน้า ถ้ารู้วิธีพูด และกล้าที่จะฟัง
-
เปลี่ยนการทะเลาะให้เป็นโอกาสซ่อมรัก
ต่อไปนี้คือเครื่องมือเล็ก ๆ ที่นักจิตบำบัดแนะนำให้ใช้ เพื่อให้การทะเลาะในคู่รักไม่กลายเป็นกับดัก แต่กลายเป็น “การฟื้นฟูใจ”: พักก่อนเมื่อเริ่มร้อน: งานวิจัยจาก Gottman Lab แนะนำว่า เวลาหัวใจเต้นเกิน 100 ครั้ง/นาที (เพราะโกรธหรือกลัว) สมองจะไม่รับข้อมูลใหม่ การพักเงียบ 20 นาทีเพื่อสงบใจช่วยให้พูดอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น
- พูดจากความรู้สึก ไม่ใช่ข้อกล่าวหา: เช่น “เรารู้สึกไม่โอเค” แทน “เธอนี่ไม่เคยแคร์เราเลย”
- ถามแทนการเดา: เช่น “เมื่อกี้ที่เธอพูดแบบนั้น เธอหมายความว่ายังไงเหรอ?” แทนการตีความเอง
- ซ่อมด้วยสิ่งเล็ก ๆ: อาจเป็นมือแตะไหล่เบา ๆ หรือการชวนดูซีรีส์หลังทะเลาะจบ แม้ยังไม่พูดขอโทษเต็มปาก แต่นี่คือ “ภาษารัก” ที่สำคัญ
-
รักที่ดีไม่ใช่รักที่ไม่เคยทะเลาะ แต่คือรักที่ “ทะเลาะแล้วหาทางกลับมาเจอกันได้”
ท้ายที่สุดแล้ว ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ปราศจากปัญหา แต่คือความสัมพันธ์ที่ “มีพื้นที่ปลอดภัย” ให้กัน แม้ในเวลาที่ไม่สวยงามที่สุด คำว่า “รักมากขึ้นหลังทะเลาะ” จึงไม่ได้เป็นเรื่องแปลก หากมองจากมุมจิตวิทยา เพราะเมื่อคู่รักสามารถผ่านสถานการณ์ที่ไม่พอใจด้วยความกล้าหาญทางอารมณ์ และกลับมาเชื่อมโยงกันได้อีกครั้ง ความรักนั้นจะยิ่ง “เหนียวแน่น” กว่าเดิม

-
คำแนะนำสำหรับคู่รักที่กำลัง “รักแต่ทะเลาะบ่อย”
ถ้าคุณเป็นหนึ่งในคนที่รักกันมากแต่ทะเลาะบ่อย นี่คือข้อคิดจากงานวิจัยและประสบการณ์ของนักบำบัดหลายคน
- ทะเลาะได้ แต่ต้องไม่ทำร้ายศักดิ์ศรีของกันและกัน
- ความเงียบไม่ใช่ทางออกเสมอ — การพูดแม้จะไม่สวยงาม ก็ยังดีกว่าการหลบหนี
- ฝึก “ฟังด้วยใจ” ไม่ใช่เพื่อโต้ แต่เพื่อเข้าใจ
- มีสัญญาณลับว่า เมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะ “พัก” และ “กลับมาคุย” ไม่ยื้อกันในขณะใจร้อน
- เรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง และคู่ของคุณ เพราะเราทุกคนต่างกำลังเรียนรู้ความรักไปด้วยกัน
-
จากมุมนักจิตวิทยา ความสัมพันธ์ที่เติบโต มักผ่านพายุหลายลูก
ความรักไม่ใช่แค่การหัวเราะด้วยกันในวันที่อากาศดี แต่มันคือการจับมือกันแน่น ๆ ในวันที่เราทั้งคู่ไม่เข้าใจกันเลยแม้แต่นิดเดียว คู่รักที่ทะเลาะกันแทบตายแต่ไม่เลิกกัน บางทีก็เพราะพวกเขามีสิ่งหนึ่งที่คู่ที่เลิกกันไม่มี นั่นคือ “ความกล้าที่จะอยู่กับความไม่สมบูรณ์แบบ” และความหวังว่าเราจะดีขึ้นไปด้วยกัน
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
อยากหย่า แต่สงสารลูก ทำยังไงดี ทางแยกที่แสนเจ็บปวดของหัวใจพ่อแม่
ชีวิตคู่เปลี่ยนไปหลังมีลูก! 6 เคล็ดลับ กระชับสัมพันธ์ให้ราบรื่นด้วยความเข้าใจ
5 วิธีจัดการมือที่สาม แบบชาญฉลาด ไม่วีน สวยแพง มีเหตุผล
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!