เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ จะมีความอยากอาหารเกิดขึ้นหลายแบบ คุณแม่บางคนอาจมีความต้องการทานอาหารรสหวานมากขึ้น โดยเฉพาะผลไม้รสหวาน เช่น มะม่วงสุก จนเกิดความสงสัยว่า คนท้องกินมะม่วงสุก จะเป็นอะไรไหม คุณแม่สามารถทานได้เพราะประโยชน์มีมากมาย แต่ต้องจำกัดการทานต่อวันด้วย
คนท้องกินมะม่วงสุกได้ไหม ?
การทานผลไม้ระหว่างตั้งครรภ์ คุณแม่หลายท่านคงมีความเข้าใจอยู่แล้วว่าเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ขอให้เป็นผลไม้ก็พอแล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้น ผลไม้บางชนิดอาจมีข้อจำกัดในการทานเหมือนกัน มะม่วงเองก็เช่นกัน ปกติแล้วความคุ้นชินในการทานผลไม้จะมาจากการทานผลไม้ที่สุกแล้ว มีผลไม้ไม่กี่ชนิดที่กินได้ในตอนดิบและสุก
ซึ่งการทานมะม่วงในคุณแม่ตั้งครรภ์ จำเป็นจะต้องหลีกเลี่ยงมะม่วงดิบ เนื่องจากมีความแข็งกว่า และย่อยได้ยากกว่า สาเหตุที่ต้องเลี่ยงมะม่วงที่มีความแข็ง เพราะขณะตั้งครรภ์โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 2 – ไตรมาสที่ 3 ขนาดท้องจะใหญ่ขึ้น มดลูกจะเกิดการเบียดกับอวัยวะภายใน รวมถึงกระเพาะอาหารด้วย หากทานอาหารที่ย่อยยาก จะเกิดอาการแน่นท้อง อึดอัด และหายใจลำบากนั่นเอง
คนท้องกินมะม่วงสุกได้แต่ยังต้องระวังอยู่ !
ในช่วงตั้งครรภ์หนึ่งในภาวะที่ควรระวัง คือ เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายจากการทานของหวาน อาจเป็นผลกระทบจากอาการแพ้ท้องที่มีความอยากอาหารมากเป็นพิเศษ การทานมะม่วงสุกในแม่ท้อง มีประโยชน์หลายประการ แต่ควรจำกัดการทานในปริมาณแต่พอดีระหว่างวัน ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 2 หน่วยบริโภค หรือประมาณ 160 กรัม / วัน ควรแบ่งทานผลไม้ชนิดอื่นบ้าง เน้นให้ครบ 5 หมู่ เพื่อเลี่ยงภาวะอันตรายนี้ หากคุณแม่ต้องการจัดมื้ออาหารอย่างถูกต้อง และมีความเหมาะสมกับตนเอง สามารถปรึกษาแพทย์ที่ฝากครรภ์ หรือนักโภชนาการเพื่อจัดมื้ออาหาร จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น
บทความที่เกี่ยวข้อง : ตารางอาหารคนท้อง แต่ละไตรมาส คุณแม่ท้องควรกินอะไรดี ?
วิดีโอจาก : คนท้อง Everything Channel
7 ประโยชน์ของมะม่วงสุกกับแม่ท้อง
มะม่วงสุก มีประโยชน์ต่อคุณแม่ตั้งครรภ์มาก เพราะเป็นแหล่งอุดมวิตามินหลายชนิด และเป็นแหล่งแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้ร่างกายของคุณแม่มีการทำงานที่สมบูรณ์แข็งแรงขึ้น รวมถึงช่วยพัฒนาการของทารกในครรภ์ และลดความเสี่ยงต่อโรคพิการแต่กำเนิดได้ด้วย ดังนี้
1.วิตามินเอ (Vitamin A)
วิตามินตัวนี้มีส่วนช่วยในการมองเห็นของคุณแม่ได้ดียิ่งขึ้น ส่วนทารกในครรภ์จะได้รับประโยชน์ด้านพัฒนาการอย่างสมบูรณ์มากขึ้น เช่น ระบบประสาท, ระบบหัวใจ, ตา และปอด เป็นต้น รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันของทารก ช่วยให้ทารกแข็งแรง และปลอดภัยจากเชื้อโรคต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น แต่ยังมีความเชื่อว่าวิตามินเอ จะทำให้ทารกเกิดความพิการ ซึ่งเป็นเรื่องจริง แต่ต้องทำความเข้าใจใหม่ เนื่องจากปริมาณดังกล่าว คือ เกินกว่า 3,300 IU ต่อวัน ซึ่งเป็นไปได้น้อยมาก ๆ ที่จะรับมาจากผลไม้ ปริมาณที่มากขนาดนี้มักมาจากอาหารเสริม จึงควรทานให้เหมาะสม หรือปรึกษาแพทย์ก่อน
2.วิตามินซี (Vitamin C)
สำหรับตัวของคุณแม่ วิตามินซีจะมีส่วนช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อภายในร่างกาย ที่เกิดความเสียหายได้ดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาเลือดออกตามไรฟัน และยังเปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันไข้หวัดได้เป็นอย่างดี และช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญสารอาหารอื่น ๆ เพื่อนำมาเป็นพลังงานของแม่ท้องในแต่ละวันได้มากขึ้น สำหรับทารกในครรภ์นั้น วิตามินซีจะช่วยให้กระดูกมีการเติบโตเหมาะสมตามอายุครรภ์ ซึ่งคุณแม่ควรรับวิตามินชนิดนี้ในปริมาณที่เหมาะสม คือ 45 -120 มิลลิกรัม / วัน
3.วิตามินบี 6 (Vitamin B6)
อาการแพ้ท้องเป็นอาการที่พบเจอได้เป็นเรื่องปกติ สำหรับคุณแม่ที่อาจไม่รู้จะรับมือกับอาการแพ้ท้องที่หลากหลายอย่างไร การทานมะม่วงสุกที่มีวิตามินบี 6 เป็นทางเลือกที่ดี เพราะจะช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องระหว่างวันได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถช่วยพัฒนาระบบสมอง และประสาทของทารกได้ด้วย แต่หากคุณแม่มีอาการแพ้ท้องรุนแรง ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยจะดีที่สุด
4.ไฟเบอร์ (Fiber)
หนึ่งในอาการที่แม่ท้องอาจเสี่ยงพบเจอ คือ อาการท้องผูก ขับถ่ายไม่สะดวก ซึ่งอาจก่อให้เกิดความลำบากในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ หนึ่งในผลไม้ที่มีส่วนช่วยในการขับถ่าย คือ มะม่วงสุก เนื่องจากมีสารอาหารประเภทไฟเบอร์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีกากใยอาหาร ที่ช่วยในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
5.โพแทสเซียม (Potassium)
โพแทสเซียม ถือเป็นแร่ธาตุสำคัญของแม่ท้อง เพราะมีประโยชน์หลายประการ โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์ที่ต้องการแร่ธาตุที่มีประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นการช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อให้เป็นไปอย่างปกติ , ช่วยการทำงานของระบบหัวใจ และช่วยการลำเลียงของเหลวในร่างกายให้เป็นระบบมากขึ้น เช่น น้ำ หรือเกลือแร่ เมื่อของเหลวในร่างกายของคุณแม่ทำงานได้ดี ลูกน้อยจะสมบูรณ์แข็งแรงตามไปด้วย
6.กรดโฟเลต (Folate หรือ Folic acid)
ในช่วงตั้งครรภ์นี้แม่ท้องจะมีความต้องการโฟเลตมากขึ้นกว่าก่อนท้องเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยจะต้องการอยู่ที่ 400 – 600 ไมโครกรัม / วัน ซึ่งเป็นสารอาหารที่ควรเริ่มทานตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เนื่องจากโฟเลตช่วยลดโอกาสเกิดความพิการของทารกได้ เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่, แขนขาพิการ หรือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นต้น อีกทั้งยังเป็นสารอาหารที่มีส่วนช่วยให้เม็ดเลือดแดงมีความสมบูรณ์มากขึ้นอีกด้วย
7.ทองแดง (Copper)
แร่ธาตุสำคัญที่ร่างกายไม่ควรขาด โดยปกติแล้วควรรับอยู่ที่ 2 – 5 มิลลิกรัม / วัน แร่ธาตุชนิดนี้ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลดีต่อคุณแม่ทำให้ลดความเสี่ยงภาวะโลหิตจางได้ ซึ่งหากคุณแม่เป็นภาวะนี้ จะมีโอกาสที่ทารกในครรภ์จะเป็นตามไปด้วยนั่นเอง และอาจกลายเป็นภาวะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมต่อไปได้
คนท้องกินมะม่วงสุก จะต้องจำกัดปริมาณให้ดี ประโยชน์จึงจะไม่กลายเป็นโทษ ในช่วงของการตั้งครรภ์ทุกอย่างสำคัญ รวมถึงโภชนาการที่ถูกต้อง คุณแม่ หรือคนรอบข้างจะต้องช่วยกันดูแลในเรื่องนี้อย่างดีที่สุด
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
คนท้องกินผักกาดดองได้ไหม ? ผักมีประโยชน์อยู่ไหม ถ้ามาในรูปแบบของดอง
คนท้องกินไอติมได้ไหม ชอบกินอยู่แล้วต้องงดหรือเปล่า ?
คนท้องกินลาบดิบได้ไหม มีความเสี่ยงมาพร้อมกับความอร่อยหรือไม่ ?
ที่มา : babycenter , TrueID
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!