อาการเริ่มต้นของการตั้งครรภ์กับอาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Syndrome หรือ PMS) นั้นคล้ายกันมากจนแทบจะแยกไม่ออก เราจึงอยากมาชวนแม่ ๆ จับสัญญาณร่างกายของตัวเองไปพร้อม ๆ กันแบบเจาะลึกทุกอาการ เปรียบเทียบให้เห็นชัด ๆ อาการก่อนเมนส์มา กับ ท้อง ต่างกันอย่างไร พร้อมข้อมูลอ้างอิงที่เชื่อถือได้จากสถาบันการแพทย์ชั้นนำ เพื่อให้แม่ ๆ ทุกคนคลายความกังวลและเข้าใจร่างกายตัวเองมากขึ้น พร้อมแล้วเรามาเริ่มกันเลยนะคะ
ทำไม อาการก่อนเมนส์มา กับ ท้อง ถึงคล้ายกัน?
ข้อมูลจาก Cleveland Clinic และ Healthline ระบุว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เราสับสนก็เพราะฮอร์โมนของเรานี่เองค่ะ โดยเฉพาะโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญที่จะสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของรอบเดือนหลังจากไข่ตก เพื่อเตรียมเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมสำหรับการฝังตัวของตัวอ่อน
- ถ้าไม่ตั้งครรภ์: เมื่อไม่มีตัวอ่อนมาฝังตัว ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกสลายตัวกลายเป็นประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนนี่แหละค่ะที่ทำให้เกิดอาการ PMS
- ถ้าตั้งครรภ์: เมื่อตัวอ่อนฝังตัวสำเร็จ ร่างกายจะสร้างฮอร์โมน hCG (Human Chorionic Gonadotropin) หรือฮอร์โมนการตั้งครรภ์นั่นเอง ฮอร์โมนตัวนี้จะไปกระตุ้นให้รังไข่สร้างโปรเจสเตอโรนต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อพยุงการตั้งครรภ์ ทำให้ระดับโปรเจสเตอโรนยังคงสูงอยู่
จะเห็นได้ว่าในช่วงแรก ทั้งสองสถานการณ์มีระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงเหมือนกัน จึงไม่แปลกเลยที่อาการต่าง ๆ จะออกมาคล้ายกันมาก
เช็กลิสต์: อาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) ที่พบบ่อย
The American College of Obstetricians and Gynecologists – ACOG) อธิบายไว้ว่า อาการ PMS มักจะเริ่มขึ้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนที่ประจำเดือนจะมา และจะค่อย ๆ หายไปเองเมื่อประจำเดือนมาวันแรก ๆ ค่ะ
- อารมณ์แปรปรวน: หงุดหงิดง่าย เศร้า หรือวิตกกังวลโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
- เจ็บคัดเต้านม: เต้านมบวมขึ้น รู้สึกตึง ๆ หรือเจ็บเมื่อสัมผัส แต่อาการมักเป็นทั่ว ๆ ทั้งเต้านม
- ปวดท้องน้อยหรือปวดหลัง: เป็นอาการปวดหน่วง ๆ ไม่รุนแรงมากนัก
- เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย: รู้สึกไม่มีแรง อยากนอนมากกว่าปกติ
- สิวขึ้น: ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น
- ท้องอืด บวมน้ำ: รู้สึกตัวบวม ๆ เสื้อผ้าคับขึ้นเล็กน้อย เกิดจากการคั่งของน้ำในร่างกาย
- อยากอาหาร: โดยเฉพาะของหวาน ของมัน หรือของเค็ม
- มีตกขาว: อาจมีตกขาวลักษณะใส หรือขาวขุ่นเล็กน้อยก่อนประจำเดือนมา

สัญญาณเริ่มต้นของการตั้งครรภ์
อาการเหล่านี้อาจเริ่มปรากฏให้เห็นได้ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่ประจำเดือนควรจะมา หรือหลังจากนั้นเล็กน้อย
- ประจำเดือนขาด (Late Period): นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือที่สุดของการตั้งครรภ์ค่ะ
- อ่อนเพลีย ง่วงนอนอย่างมาก: เป็นความเหนื่อยล้าที่มากกว่าปกติ เกิดจากระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของทารก
- คลื่นไส้ อาเจียน (Morning Sickness): แม้อาการแพ้ท้องจะเรียกว่า Morning Sickness แต่อาการนี้เกิดขึ้นได้ตลอดทั้งวัน อาจจะแค่เหม็นอาหารบางอย่าง หรือคลื่นไส้จนอาเจียนเลยก็ได้
- ปัสสาวะบ่อย: มดลูกที่เริ่มขยายตัวอาจไปเบียดกระเพาะปัสสาวะ ประกอบกับไตต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อกรองของเสียออกจากเลือดที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น
- เจ็บคัดเต้านมและหัวนมเปลี่ยนไป: ข้อมูลจาก Mayo Clinic กล่าวว่า อาการเจ็บอาจคล้าย PMS แต่จะรู้สึกว่าเต้านมหนักขึ้น หรือ เต็มขึ้น บริเวณรอบหัวนม (ลานนม) อาจมีสีเข้มขึ้นและขยายใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- เลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation Bleeding): อาจมีเลือดสีชมพูหรือสีน้ำตาลจาง ๆ ออกมาเล็กน้อยในช่วงที่ตัวอ่อนฝังตัว (ประมาณ 6-12 วันหลังปฏิสนธิ) ซึ่งมักจะมาก่อนกำหนดที่ประจำเดือนควรจะมา และมีปริมาณน้อยกว่าและระยะเวลาสั้นกว่าประจำเดือนมาก
- ตกขาวมากขึ้น: อาจมีตกขาวลักษณะเหนียวข้น สีขาวขุ่นคล้ายนม (Leukorrhea) เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งเป็นผลมาจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้นค่ะ
ตารางเปรียบเทียบ อาการก่อนเมนส์มา กับ ท้อง
|
อาการ
|
อาการก่อนมีประจำเดือน (PMS)
|
อาการเริ่มแรกของการตั้งครรภ์
|
| เจ็บเต้านม |
เจ็บตึง บวม แต่จะดีขึ้นเมื่อประจำเดือนมา |
เจ็บแปลบ ๆ รู้สึกหนักขึ้น ลานนมสีเข้มขึ้น อาการเจ็บคงอยู่และอาจเพิ่มขึ้น
|
| ปวดท้อง |
ปวดหน่วง ๆ บริเวณท้องน้อยก่อนเมนส์มา 1-2 วัน และจะหายไป |
อาจมีอาการปวดเกร็งเบา ๆ คล้ายกัน แต่ถ้าปวดรุนแรงควรพบแพทย์
|
| ความอยากอาหาร |
อยากของหวาน/เค็มเป็นพิเศษในช่วงสั้น ๆ |
อาจอยากอาหารแปลก ๆ หรือเหม็นอาหารที่เคยชอบไปเลย
|
| ความเหนื่อยล้า |
อ่อนเพลีย แต่จะดีขึ้นเมื่อได้พักผ่อนหรือประจำเดือนมา |
อ่อนเพลียอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง อาจรู้สึกง่วงนอนตลอดเวลา
|
| เลือดออก |
เป็นประจำเดือนตามรอบปกติ (สีแดงสด ปริมาณมากกว่า) |
อาจมีเลือดล้างหน้าเด็ก (สีชมพู/น้ำตาล ปริมาณน้อยมาก) หรือไม่มีเลย
|
| ระยะเวลาอาการ |
ดีขึ้นและหายไป เมื่อประจำเดือนมา |
คงอยู่ต่อเนื่อง และอาการอื่น ๆ จะค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
|
จุดตัดสินที่สำคัญที่สุดคือ: ประจำเดือนขาด ถ้าอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นแล้วประจำเดือนก็ยังไม่มา โอกาสที่จะตั้งครรภ์ก็มีสูงขึ้นค่ะ
Q&A: คำถามยอดฮิตจากแม่ ๆ
-
หลังมีเพศสัมพันธ์กี่วันถึงจะรู้ว่าท้อง?
โดยทั่วไปแล้ว การปฏิสนธิจะเกิดขึ้นภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังไข่ตก จากนั้นตัวอ่อนจะใช้เวลาเดินทางและฝังตัวที่ผนังมดลูกอีกประมาณ 6-12 วัน ร่างกายจะเริ่มผลิตฮอร์โมน hCG ก็ต่อเมื่อตัวอ่อนฝังตัวสำเร็จแล้วเท่านั้น ดังนั้น การตรวจการตั้งครรภ์จะได้ผลที่แม่นยำที่สุดคือ หลังจากประจำเดือนขาดไปแล้ว 1 วัน หรือประมาณ 14 วันหลังมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ไข่ตกค่ะ การตรวจเร็วกว่านั้นอาจให้ผลลบที่ผิดพลาดได้
-
เจ็บท้องเหมือนเมนส์จะมา แต่ประจำเดือนไม่มา จะท้องไหม?
เป็นไปได้สูงค่ะ อาการปวดหน่วงที่ท้องน้อยในช่วงแรกของการตั้งครรภ์เกิดจากการที่มดลูกขยายตัวและมีเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น ซึ่งให้ความรู้สึกคล้ายกับตอนปวดประจำเดือนได้ แต่ถ้าประจำเดือนยังไม่มาตามนัด หมอแนะนำให้ลองตรวจการตั้งครรภ์ดูนะคะ
-
มีประจำเดือนแต่ก็ยังท้องได้จริงไหม?
เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องนะคะ ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แล้วจะไม่มีประจำเดือน เพราะกลไกการมีประจำเดือนคือการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกเมื่อไม่มีการตั้งครรภ์ แต่เลือดที่บางคนเข้าใจผิดว่าเป็นประจำเดือน อาจเป็น
- เลือดล้างหน้าเด็ก (Implantation Bleeding) อย่างที่อธิบายไปข้างต้น
- เลือดออกจากการเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก ซึ่งในช่วงตั้งครรภ์จะบอบบางและมีเลือดมาเลี้ยงเยอะ
- ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น การตั้งครรภ์นอกมดลูก หรือภาวะแท้งคุกคาม ซึ่งควรต้องรีบไปพบแพทย์
ดังนั้น ถ้าตรวจพบว่าตั้งครรภ์แล้วแต่ยังมีเลือดออกผิดปกติ ควรรีบไปพบหมอทันทีนะคะ

เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์?
ฟังเสียงร่างกายตัวเองให้ดี เมื่อมีสัญญาณเหล่านี้เกิดขึ้น อย่าลังเลที่จะมาโรงพยาบาลนะคะ
- ประจำเดือนขาดเกิน 2 สัปดาห์ และผลตรวจยังไม่ชัดเจน
- ตรวจการตั้งครรภ์แล้วขึ้น 2 ขีด (ผลบวก) ควรมาพบสูติแพทย์เพื่อยืนยันผล ตรวจเลือด และเริ่มต้นการฝากครรภ์โดยเร็วที่สุด
- มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ไม่ว่าจะมีปริมาณน้อยหรือมากก็ตาม
- ปวดท้องน้อยรุนแรง หรือปวดข้างใดข้างหนึ่งเป็นพิเศษ อาจเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์นอกมดลูก
- มีอาการคลื่นไส้ อาเจียนรุนแรง จนไม่สามารถรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำได้
- มีไข้ หรือมีตกขาวผิดปกติ เช่น มีสีเหลือง เขียว มีกลิ่นเหม็น หรือมีอาการคัน
อาการคล้าย ๆ กันของ อาการก่อนเมนส์มา กับ ท้อง เกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงเหมือนกันในช่วงแรก แต่สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดคือการขาดประจำเดือน และวิธีที่จะยืนยันได้ดีที่สุดคือ การใช้ที่ตรวจครรภ์เมื่อประจำเดือนขาดไปแล้ว แต่หากไม่แน่ใจหรือมีความกังวลใด ๆ การไปพบแพทย์เพื่อพูดคุยและตรวจวินิจฉัยคือคำตอบที่ดีที่สุดค่ะ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ตั้งครรภ์ 1-9 เดือน อาการคนท้องที่สำคัญ และพัฒนาการทารกในครรภ์
20 วิธีสังเกตว่าท้อง หรือไม่ อาการคนท้องระยะแรกเป็นอย่างไร
เช็กอาการ! ตกขาวแบบไหน “ท้อง” ตกขาวคนท้องระยะแรก เป็นยังไง
แหล่งอ้างอิง
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!