วันนี้ TheAsianparent มี เรื่องเล่าที่สุดในชีวิตกับ ประสบการณ์การคลอดธรรมชาติ ! มาเล่าให้ฟัง ผู้หญิงบางคนกลัวเจ็บท้องคลอด บางคนต้องการเลือกวันเวลาฤกษ์ดี หรือ บางคนแพทย์เห็นว่าการคลอดเองอาจทำให้เกิดอันตรายกับแม่หรือเด็กได้ จึงเลือกที่จะผ่าคลอด แต่เมื่อสามารถคลอดแบบธรรมชาติได้ ดิฉันจึงเลือกคลอดเอง เพราะกลัวเจ็บ (แผลผ่าตัดหลังคลอด) และอยากฟื้นตัวเร็ว ที่สำคัญคือกลัวอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหลังจากคลอด เช่นมดลูกเป็นพังผืด เป็นต้น
เรื่องเล่าที่สุดในชีวิต ประสบการณ์คลอดลูก แบบธรรมชาติ
ถึงจะเตรียมกาย และเตรียมใจพร้อมที่จะคลอด แต่การคลอดลูกเองด้วยวิธีธรรมชาติก็เป็นประสบการณ์น่าตื่นเต้นและน่าจดจำไปตลอดชีวิต เพราะเป็นการมีลูกคนแรกของดิฉันด้วย เมื่อถึงเดือนสุดท้ายของอายุครรภ์ หลังจากไปตรวจกับคุณหมอ คุณหมอบอกว่าเตรียมตัวคลอดได้เลย อัลตร้าซาวด์ดูแล้วเด็กสมบูรณ์ แข็งแรงดี คุณแม่ก็ตัวสูง อุ้งเชิงกรานไม่เล็กเกินไปที่จะคลอดเอง ทำให้ดิฉันเฝ้ารอการมาถึงของลูกน้อยด้วยใจจดใจจ่อ เก็บกระเป๋าเตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยหากปวดท้องก็จะได้ไปโรงพยาบาลได้ทันที แต่รอวันแล้ววันเล่า (จนเริ่มขี้เกียจรอ อยากเห็นหน้าลูกไว ๆ ) ลูกก็ยังไม่ออกมา
บทความที่น่าสนใจ : 14 วิธีใน14วัน เพื่อเร่งการเจ็บท้องคลอด
ประสบการณ์การคลอดธรรมชาติ! รอประมาณ 1 สัปดาห์ ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง…
ดิฉันมีเลือดออกที่ช่องคลอดตั้งแต่ประมาณตีสอง เข้าใจว่านั่นคือน้ำเดิน จึงรีบให้แฟนขับรถพาไปโรงพยาบาล แต่ปรากฏว่าไม่ใช่น้ำเดิน เมื่อพยาบาลซักถามประวัติคร่าว ๆ และตรวจปากมดลูก พบว่าเปิดเพียง 1 เซนติเมตร (ถ้าคุณแม่พร้อมคลอด ปากมดลูกจะต้องเปิดเต็มที่คือ 10 เซนติเมตร) แต่พยาบาลก็ยังใจดีให้นอนรอในห้องคลอด ระหว่างนั้นดิฉันก็สังเกตเห็นเพื่อนร่วมห้องรอคลอดหลายคน บางคนก็ร้อง โอดโอยเสียงดังมากจนพยาบาลต้องห้ามร้องเพราะจะทำให้คนไข้คนอื่นตกใจไปด้วย (ดิฉันเองก็ไม่เข้าใจว่ามันปวดขนาดนั้นเลยหรือ) บางคนก็ร้องไห้และเดินไปเดินมา บางคนนอนนิ่ง ๆ ส่วนตัวฉันนอนรอ มองคุณแม่เดินเข้าห้องคลอดทีละคนสองคน ฟังเสียงเด็กแรกเกิดร้องอุแว้ ๆ ดังลั่น ในใจดิฉันคิดว่าต้องอดทน อีกไม่นานเท่านั้น
ช่วงของภาวะน้ำเดิน
พอห้าโมงเย็นปากมดลูกของดิฉันเปิดเพียง 2.5 เซนติเมตร ดิฉันรู้สึกว่ามดลูกบีบตัวแต่ไม่เจ็บมาก คุณหมอบอกว่ามดลูกบีบตัวทุก 5 นาที ยังห่างเกินไป ดิฉันเริ่มเบื่อ จึงขอคุณหมอกลับไปนอนที่บ้าน และมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น แต่คุณหมอบอกว่าเพื่อความปลอดภัยนอนรอที่โรงพยาบาลจะดีกว่า ตอนนั้นในห้องรอคลอดมีเพียงดิฉันกับชาวต่างชาติ (พม่า) ซึ่งพูดภาษาไทยไม่ได้ ส่วนคุณแม่คนอื่น ๆ คลอดกันหมดแล้ว เหลือดิฉันที่นอนเฝ้าห้องรอคลอดตั้งแต่เช้ามืด พอสักประมาณสองทุ่ม จู่ ๆ ดิฉันก็ได้ยินเสียงดังโพละ!! เหมือนลูกโป่งแตก และมีน้ำใส ๆ ไหลออกมาจากช่องคลอดนองเต็มพื้นไปหมด ดิฉันดีใจมาก ที่ได้รู้จักกับอาการน้ำเดินสักที
เจ็บท้องคลอด
ไม่นานจากนั้น ดิฉันรูสึกว่ามดลูกบีบตัวถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเจ็บท้องมากขึ้น ๆ ตอนแรกดิฉันใช้วิธีกลั้นหายใจช่วย บรรเทาอาการเจ็บปวด คือหายใจเข้าช้า ๆ กลั้นหายใจ และค่อย ๆ หายใจออก แต่ปรากฏว่าอาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนทนไม่ไหวต้องร้องโอดโอยเสียงดัง รู้สึกปวดยิ่งกว่าปวดประจำเดือนเป็นร้อยเป็นพันเท่า ตอนนี้ดิฉันเข้าใจคุณแม่ที่ร้องครวญครางเมื่อเช้ามืดเป็นอย่างดี ดิฉันร้องเสียงดังกว่าเธอคนนั้นอีก และโชคดีที่มีเพียงดิฉันกับคุณแม่ชาวพม่า ซึ่งต่อมาก็เพิ่งรู้ว่าเธอก็พูดภาษาไทยได้ เพราะก้อปปี้คำพูดร้อง โอดโอยของดิฉันได้เหมือนเป๊ะ ดิฉันก็ไม่วายโดนนางพยาบาลปรามให้เงียบ เดี๋ยวจะไม่มีแรงเบ่งคลอด
ดิฉันปวดท้องอยู่ราวสองชั่วโมงกว่า ๆ พยาบาลมาตรวจดูอีกครั้งปากมดลูกก็เปิดถึง 10 เซนติเมตรแล้ว ช่วงนั้นดิฉันปวดท้องเหมือนปวดอุจจาระมาก แต่ปวดที่ช่องคลอดไม่ใช่รูทวาร คือรู้สึกว่ามีอะไรเหมือนกำลังจะหลุดออกมาอยู่ตลอดเวลา ดิฉันกลัวมากว่าจะตามคุณหมอมาไม่ทันเพราะตอนนั้นดึกมากแล้ว (เกือบ 5 ทุ่ม) พยาบาลรีบเข็นดิฉันเข้าห้องคลอด พยาบาลโทรบอกคุณหมอ ไม่ถึงสิบนาทีคุณหมอก็มาถึง ดิฉันคิดในใจว่า รอดแล้ว!! (โรงพยาบาลที่ดิฉันคลอดลูกเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐบาล จึงไม่อนุญาตให้ญาติเข้าห้องคลอดด้วย)
เข้าห้องคลอด
หลังจากคุณหมอและผู้ช่วยเตรียมอุปกรณ์เสร็จในเวลาอันรวดเร็ว คุณหมอก็ใช้มีดกรีดช่องคลอดของดิฉันให้ขยายออก และก็ได้เวลาเบ่ง! ยอมรับว่าหมดแรงเบ่งไปกับการร้องปวดท้อง ดิฉันพยายามเบ่ง รู้สึกเหมือนอุจจาระกำลังหลุด ลูกค่อย ๆ โผล่ออกจากช่องคลอด คุณหมอให้หายใจและเบ่งเป็นจังหวะ พยาบาลก็คอยเชียร์ด้วยอีกแรง และเตือนว่าอย่าเบ่งออกเสียงนะ แต่ดิฉันทำไม่ได้ต้องขอออกเสียงคำรามในลำคอ สักพักหมอก็บอกว่าหัวออกมาแล้ว ฉันเริ่มหมดแรง แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ พยายามเบ่งจนออกมาทั้งตัว เสียงร้องอุแว้ ๆ ! ดังขึ้นพร้อมกับความโล่งใจและดีใจของดิฉัน และคุณหมอก็ค่อย ๆ สาวรก และน้ำคร่ำ ออกมาจนหมด
เมื่อแก้วตาดวงใจของฉันออกมาแล้ว พยาบาลพาไปทำความสะอาด และนำมาให้ฉันอุ้ม ระหว่างที่คุณหมอก็ฉีดยาชา และเย็บแผลที่ปากมดลูกไปด้วย ลูกร้องเสียงดัง ดิฉันก็คุยกับลูก และร้องเพลงกล่อมลูกเหมือนที่ร้องให้ฟังตอนยังอยู่ในท้อง แต่พอออกจากห้องคลอดดิฉันเจ็บคอเสียงแหบแห้งไปเลย
ลูกดิฉันแข็งแรงและปกติดี ดังนั้นตั้งแต่คลอดเสร็จ ดิฉันกับลูกก็ไม่ได้แยกจากกันเลย พยาบาลอุ้มลูกมาให้และบอกให้ลูกดูดนมดิฉัน ดิฉันให้นมลูกด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ และที่สำคัญไม่มีน้ำนมออกมาแม้แต่หยดเดียว แต่พยาบาลบอกว่าการให้ลูกดูดกระตุ้นนี่แหละ เป็นวิธีธรรมชาติที่ง่าย ประหยัด และวิเศษมากที่จะทำให้น้ำนมมา สามวันหลังจากลูกกินนมชง น้ำนมฉันก็มาอย่างท่วมท้น
ประสบการณ์การคลอดธรรมชาติเป็นที่สุดแล้วในชีวิต เป็นบททดสอบความเป็นแม่ที่ยากที่สุด แต่อันที่จริงนี่ก็เป็นเพียงบทเริ่มต้นบทแรกของความเป็นแม่เท่านั้น…
The Asianparent Thailand เว็บไซต์และคอมมูนิตี้อันดับหนึ่งที่คุณแม่เลือก นอกจากสาระความรู้ที่เรามอบให้คุณแม่ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ การวางแผนมีลูกแล้ว เรายังมีแอพพลิเคชั่นรวมถึงสื่อมัลติมีเดียหลากหลายที่ช่วยตอบโจทย์ทุกความต้องการของคุณแม่ยุคใหม่ ที่ต้องทำงานและดูแลลูกไปพร้อมกัน ให้มีความมั่นใจและพร้อมในการดูแลลูกทุกช่วงเวลา ตั้งแต่การให้นมบุตร การดูแลตนเองหลังคลอด ท่าออกกำลังกายหลังคลอดเพื่อให้หุ่นของแม่หลังคลอดกลับมาฟิตแอนเฟิร์มอีกครั้ง The Asianparent Thailand ขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะสนับสนุนคุณพ่อคุณแม่ในเรื่องการดูแลลูก ความรู้แม่และเด็กที่เต็มเปี่ยม และตอบทุกข้อสงสัยในแอพพลิเคชั่นที่เป็นสื่อกลาง และกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์ในครอบครัวไทย
บทความที่น่าสนใจ :
คลอดธรรมชาติ เจ็บไหม? วิธีคลอดลูกแบบธรรมชาติอย่างไรให้ปลอดภัย?
แผลฝีเย็บ หลังคลอด รู้สึกเจ็บจี๊ด คุณแม่ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
น้ำเดิน ภาวะเสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายสำหรับคุณแม่ใกล้คลอด
อ้างอิง : kidshealth whattoexpect