พ่อแม่ระวังด่วน! กรมควบคุมโรคเผย โรคคางทูม ระบาดใน เด็ก-วัยรุ่น

กรมควบคุมโรคเผย โรคคางทูม ระบาดในประเทศไทยโดยเฉพาะกับเด็กและวัยรุ่น โดยจังหวัดที่พบมากที่สุดคือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูด ภูเก็ต และแม่ฮ่องสอน
พ่อแม่ระวังด่วน! กรมควบคุมโรคเผย โรคคางทูม ระบาดใน เด็ก-วัยรุ่น
“โรคคางทูม” กลับมาระบาดอีกครั้งในช่วงนี้ จากการพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพของกรมควบคุมโรคเผยให้ระวังโรคคางทูม โดยกรมควบคุมโรคระบุว่า จากการศึกษาและเฝ้าระวังสถานการณ์โรคคางทูมในประเทศไทย ปี 2562 นั้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึง 27 กรกฏาคม พบผู้ป่วยโรคคางทูมแล้ว 1,466 ราย โดยไม่พบผู้เสียชีวิต กลุ่มอายุที่พบผู้ป่วย โรคคางทูม บ่อยที่สุดคืออายุ 15-24 ปี และโรคคางทูมพบมากในนักเรียนโดยคิดเป็นร้อยละ 39.6 และจังหวัดที่พบผู้ป่วยสูงสุด 5 อันดับแรกคือ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูด ภูเก็ต และแม่ฮ่องสอน โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากการตรวจสอบข่าวการระบาดจากฐานข้อมูล พบการรายงานการระบาดของโรคคางทูมเป็นกลุ่มก้อน จำนวน 2 เหตุการณ์ คือ ในค่ายทหาร และ โรงเรียน
โดยกรมควบคุมโรคเผยว่าจากการพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพประจำสัปดาห์ คาดว่า ในระหว่างนี้อาจพบผู้ป่วยโรคคางทูมเป็นกลุ่มก้อนได้ โดยเฉพาะสถานที่ ที่มีคนมาอาศัยกันอย่างหนาแน่นและพื้นที่ที่มีการป้องกันโรคที่ต่ำ
โรคคางทูมเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส เป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจและจากการสัมผัสน้ำลายของผู้ป่วย โดยอาการสำคัญของโรคคางทูมมีดังนี้
- เริ่มมีไข้ต่ำๆ
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- มีอาการเจ็บหน้าหูและขากรรไก
- ต่อมน้ำลายกกหูโตขึ้น
- เกิดอาการเจ็บบริเวณแก้มและหู
โดยการรักษาโรคคางทูมนั้นต้องเป็นการรักษาตามอาการ และควรมีการคัดแยกผู้ป่วยประมาณ 10 วันหลังจากเริ่มมีต่อมน้ำลายโต และควรหยุดไปโรงเรียนหรือหยุดงานเพื่อไม่ให้มีการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลอื่น
และสุดท้ายกรมควบคุมโรค ขอแนะนำประชาชนว่า วิธีป้องกันโรคคางทูมที่มีประสิทธิภาพ คือการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูมโดยแบ่งวัคซีนป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR) ในเด็กเล็กควรรับวัคซีนป้องกันโรค 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่ออายุ 9-12 เดือน และฉีดซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 2 ปี 6 เดือน
ที่มา : กรมควบคุมโรค
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ :
ฉีดวัคซีนแล้ว ทำไมลูกถึงไม่สบาย อาการต่าง ๆ หลังการรับวัคซีน มีอะไรบ้าง