ยาคุมกินช้าสุดกี่วัน เกิน 72 ชั่วโมง ยังทานยาคุมฉุกเฉินได้อยู่ไหม ?

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ยาคุมกินช้าสุดกี่วัน ยาคุมฉุกเฉินต้องกินภายใน 72 ชั่วโมงเท่านั้นหรือไม่ คุณผู้หญิงต้องรู้อะไรบ้าง หากต้องทานยาคุมฉุกเฉินตอนนี้ และวิธีการป้องกันวิธีอื่น ที่มีความปลอดภัยมากกว่า และมีประสิทธิภาพในระยะยาว

 

ยาคุมฉุกเฉินกินช้าสุดกี่วัน ?

การทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ควรทานไม่เกิน 72 ชั่วโมง หรือ 3 วัน หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่เพื่อลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ให้มากขึ้น ควรทานหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากไม่ได้มีการป้องกันในทันที เนื่องจากหากรอเวลาอาจเกิดความผิดพลาด จนเกิน 72 ชั่วโมงได้ จะทำให้ประสิทธิภาพของตัวยาคุมฉุกเฉินลดลงไปมาก เพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ได้มากถึง 6 เท่า หากเทียบกับการทานใน 2 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว

 

หากเกิน 72 ชั่วโมงไปแล้ว ควรทำอย่างไร ?

การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเป็นวิธีสุดท้าย และเร่งด่วนในการป้องกันการตั้งครรภ์ ซึ่งจะยิ่งได้ผลดีขึ้นตามความเร็วในการทาน ปกติแล้วทุกกล่องจะแนะนำให้ไม่เกิน 72 ชั่วโมง เพราะหากเกินเวลาไปแล้ว จะทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันลดน้อยลงอย่างมาก จนไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ จึงควรเข้ารับการตรวจครรภ์ในภายหลังด้วย หรือเตรียมพร้อมด้วยการพกยาติดตัวตลอดเวลา หรือปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์เมื่อไม่พร้อม หากอยู่ในสถานการณ์ที่สามารถปฏิเสธได้

บทความที่เกี่ยวข้อง : ราคายาคุมฉุกเฉิน แต่ละยี่ห้อเท่าไหร่บ้าง เทียบราคาอย่างละเอียด

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

วิดีโอจาก : Samitivej Hospitals

 

สิ่งที่ควรรู้หากต้องทานยาคุมฉุกเฉิน

นอกจากปัญหา ยาคุมกินช้าสุดกี่วัน หรือยาคุมฉุกเฉินป้องกันได้กี่เปอร์เซ็นต์ ที่คุณผู้หญิงหลายคนอาจกำลังสงสัย เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ เราจะสรุปข้อควรรู้เมื่อต้องทานยาคุมฉุกเฉิน ดังนี้

 

  • ไม่ควรทานยาคุมฉุกเฉินทุกครั้งหลังมีเพศสัมพันธ์ ควรใช้เมื่อฉุกเฉินจริง ๆ เท่านั้น เนื่องจากจะทำให้ประสิทธิภาพยาลดลงจนไม่สามารถคุมกำเนิดได้
  • ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน อาจมีประสิทธิภาพสูงหากทานอย่างถูกวิธี แต่ต้องทำความเข้าใจว่า ไม่สามารถป้องกันได้ครบ 100 %
  • เพื่อให้ได้ผลดีควรทานภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน แต่หากไม่สามารถทานได้ ควรทานภายหลังจากมีเพศสัมพันธ์ไปแล้วไม่เกิน 72 ชั่วโมง หรือภายใน 3 วัน
  • ทานพร้อมกันทั้ง 2 เม็ด กรณีทานยาเม็ดแรกหลังมีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว 12 ชั่วโมง และค่อยทานเม็ดที่ 2 เป็นวิธีที่อาจเกิดความเสี่ยง เนื่องจากอาจทำให้ลืม หรือเกิดความสับสนว่าทานเม็ดเดียวก็ได้ จะทำให้การคุมกำเนิดล้มเหลว
  • หากหลังทานยามีอาการอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมง จำเป็นต้องทานยาซ้ำ
  • หากทานยาคุมฉุกเฉินไปแล้ว และมีเพศสัมพันธ์หลังจากนั้น ไม่ต้องทานยาเพิ่ม เพราะการทานเพิ่ม ไม่ได้มีผลให้การป้องกันมีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่อย่างใด
  • ไม่ควรทานยาคุมเกิน 4 เม็ด หรือ 2 แผง ภายใน 1 เดือน เพราะจะส่งผลเสียต่อระบบสืบพันธุ์
  • เมื่อตรวจพบการตั้งครรภ์ หรือมีอาการคล้ายการตั้งครรภ์ ไม่ควรทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินอย่างเด็ดขาด
  • ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ประจำเดือนมาผิดปกติ ปวดท้อง หรือปวดศีรษะ เป็นต้น แต่หากมีอาการรุนแรงควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย
  • ถึงแม้จะใช้ยาคุมฉุกเฉินอย่างถูกต้อง ก็ยังควรตรวจการตั้งครรภ์ในภายหลังเพื่อติดตามผลให้แม่นยำมากขึ้น

 

หากจะให้กล่าวถึงวิธีที่คุมกำเนิดได้มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยต่อร่างกายของคู่รัก การใช้ยาคุมแบบฉุกเฉินอาจกล่าวได้ว่าเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่ควรจะใช้ ดังนั้นการมองหาวิธีการป้องกันที่ปลอดภัย หรือการเตรียมพร้อมไว้ก่อน เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความที่เกี่ยวข้อง : ควรตรวจครรภ์ตอนไหน ตอนเช้า หรือตอนเย็น เพื่อผลลัพธ์ที่แม่นยำที่สุด ?

 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่ายาคุมฉุกเฉิน

  • ยาคุมกำเนิด : การทานยาคุมกำเนิดเป็นวิธีที่คุณผู้หญิงนิยมกัน ซึ่งต้องทานทุกวันเป็นประจำ หากลืมทานจะทำให้ประสิทธิภาพลดลงได้ จึงต้องใช้ความมีวินัย และการเตรียมพร้อมสำหรับตัวยาในแต่ละเดือนอยู่เสมอ
  • การฉีดยาคุมกำเนิด : เหมาะกับการคุมกำเนิดในระยะยาว โดยจะต้องเข้ารับการฉีดยาคุมทุก 3 เดือน ได้ประสิทธิภาพที่สูง แต่ก็มีผลข้างเคียงตามมาด้วย เช่น ประจำเดือนมาน้อย หรือน้ำหนักเพิ่มขึ้น เมื่อหยุดฉีดผลข้างเคียงจะหายไปภายใน 1 ปี
  • การฝังยาคุมกำเนิด : เป็นการฝังหลอดยาเล็ก ๆ ใต้ผิวหนังบริเวณด้านในของท้องแขน ใช้ได้นาน 3-5 ปี มีผลข้างเคียง เช่น ประจำเดือนมาน้อยลง
  • ถุงยางอนามัย : การใช้ถุงยางอนามัยเป็นหน้าที่ของคุณผู้ชายที่ต้องพกติดตัวไว้ ข้อดีนอกเหนือจากวิธีอื่น คือสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ แต่ประสิทธิภาพในการกำเนิดจะลดลง หรือล้มเหลว หากใช้ไม่ถูกต้อง หรือถุงยางเกิดการชำรุด เป็นต้น

 

นอกจากวิธ๊ที่เราแนะนำไป ยังมีวิธีอื่นอีก เช่น การใช้ห่วงทองแดงคุมกำเนิด ที่มีผลข้างเคียงต่ำ ไม่ส่งผลต่อรอบประจำเดือน ใช้ได้นาน 3-5 ปี แต่ต้องพบแพทย์อยู่เรื่อย ๆ เพื่อตรวจห่วง หรือจะเป็นวิธีใช้แผ่นแปะคุมกำเนิด ที่ต้องเปลี่ยนทุกสัปดาห์ และไม่ต้องแปะ 1 สัปดาห์ แต่วิธีนี้จะสร้างอาการระคายเคือง หรือความรำคาญได้ เนื่องจากต้องแปะหลายจุด

 

การคุมกำเนิดเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเตรียมพร้อมทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชาย หรือฝ่ายหญิง เพื่อให้สามารถป้องกันได้ ในช่วงเวลาที่ต้องการ เพื่อเลี่ยงคำว่า “ฉุกเฉิน” ให้ได้มากที่สุด เนื่องจากการใช้ยาคุมฉุกเฉินจะส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณผู้หญิงได้นั่นเอง

 

หากคุณผู้หญิงยังมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับการกินยาคุมทั้งแบบทั่วไป และแบบฉุกเฉิน สามารถศึกษาเพิ่มได้จากบทความที่เรารวบรวมไว้ให้ คลิก

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

กินยาคุมฉุกเฉินบ่อย มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง กินบ่อยไปแล้วควรทำอย่างไร ?

ยาคุมยี่ห้อไหนดี ยาคุมแต่ละยี่ห้อ มีความแตกต่างกันอย่างไร ?

กินยาคุมตอนท้อง ท้องแล้วกินยาคุม อันตรายต่อลูกในท้องไหม

ที่มาข้อมูล : Samitivej Hospitals ,คลังข้อมูลยา มหิดล ,siph hospital ,talkativepharmacist

บทความโดย

Sutthilak Keawon