การเลิกเต้าเป็นช่วงวเลาที่ละเอียดอ่อน เมื่อลูกน้อยต้องหย่านมแม่ นั่นหมายถึงก้าวสำคัญของพัฒนาการที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ ช่วงเวลานี้อาจเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งสำหรับแม่ที่อาจรู้สึกใจหายและลูกน้อยที่ต้องปรับตัวจากความคุ้นเคยเดิม การเลิกเต้าไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงด้านโภชนาการ แต่ยังเป็นกระบวนการแห่งการเติบโตและการสร้างความมั่นคงทางใจให้กับลูกด้วย
บทความนี้มีคำแนะนำ วิธีให้ลูกเลิกเต้าเด็ดขาด ที่สามารถทำได้แบบนุ่มนวล เพื่อช่วยให้ทั้งแม่และลูกปรับตัวได้อย่างสบายใจที่สุด
เลิกเต้าตอนไหนดี
คุณแม่ที่ให้นมลูกมาได้สักระยะ โดยทั่วไปประมาณ 6 เดือน – 1 ปี อาจเริ่มหาข้อมูลเรื่องการให้ลูกเลิกเต้า ว่าเมื่อไรจึงเหมาะสม จะว่าไปแล้วเรื่องการเลิกเต้า ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่ชัดค่ะ แต่โดยทั่วไปแพทย์มักแนะนำว่าช่วง 6 เดือนแรกของลูก ทารกจำเป็นจะต้องได้รับนมแม่อย่างเพียงพอและต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับสารอาหารและสารภูมิคุ้มกันจากนมแม่อย่างครบถ้วน ป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยหรือติดเชื้อ ส่วนจะเริ่มต้นเลิกเต้าเมื่อไหร่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมทั้งของคุณแม่และลูกน้อยด้วย
สัญญาณแบบนี้ เบบี๋พร้อมเลิกเต้า
หากคุณพ่อคุณแม่สังเกตพบว่าเบบี้มีพฤติกรรมต่างๆ ต่อไปนี้ อาจเป็นสัญญาณว่าลูกน้อยพร้อมแล้วที่จะเลิกเต้าเด็ดขาด สัญญาณที่พบบ่อย ได้แก่
-
ลูกดูดนมลดลงและห่างขึ้น
เมื่อลูกโตขึ้น เด็กมักจะสนใจเล่น สำรวจ และพัฒนาทักษะใหม่ๆ เช่น การเดิน พูดคุย และลองชิมอาหารหลากหลายมากขึ้น ความสนใจกิจกรรมเหล่านี้อาจทำให้ช่วงเวลาดูดนมห่างขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยดูดบ่อยๆ อาจลดลงเหลือวันละครั้งเท่านั้น
-
ลูกเริ่มหมดความสนใจในการดูดนมแม่
เด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปีบางคนอาจดูเหมือนหมดความสนใจในการดูดนมแม่ เพราะลูกน้อยหันไปหาวิธีปลอบตัวเองในรูปแบบอื่น เช่น การดูดจุกนมหลอกหรือการดูดนิ้ว ซึ่งให้ความรู้สึกปลอดภัยและคุ้นเคยมากกว่า สำหรับเด็กกลุ่มนี้ การเลิกเต้าอาจไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่อย่างไรก็ตามเด็กวัยนี้ก็ยังต้องการโภชนาการและการดูแลที่ใกล้ชิดจากพ่อแม่
เริ่มต้นเลิกเต้า อย่างไรไม่ดราม่า
เมื่อคุณแม่เริ่มจับสัญญาณได้ว่าลูกน่าจะพร้อมที่สำหรับการเลิกเต้า และตัวคุณแม่เองก็พร้อมเช่นกัน สิ่งแรกที่ควรทำคือ ลองให้ลูกดูดนมจากขวด หรือเด็กที่โต อาจให้ลองดื่มนมจากแก้ว แล้วสังเกตปฏิกริยาของลูก หากลูกมีท่าทีตื่นเต้น สนุก ไม่ขัดขืน ก็ถือเป็นสัญญาณดีที่แสดงว่าขั้นต่อไปอาจไม่ยากอย่างที่คิด
เคล็ดลับอีกนิดสำหรับในขั้นแรกนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจลองคุยกับลูก โน้มน้าวให้เขาเห็นว่าการดูดนมจากขวด หรือดื่มจากแก้วมีข้อดีอย่างไรบ้าง ทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่างว่า เห็นไหม พ่อแม่ก็ดื่มกาแฟจากแก้ว ถ้าลูกดื่มนมจากแก้วเราจะได้นั่งโต๊ะอาหารดื่มเครื่องดื่มพร้อมกันได้ นอกจากนี้ ชวนให้ลูกเลือกซื้อแก้วสำหรับดื่มนมด้วยตนเอง ก็จะยิ่งเพิ่มแรงดึงดูดให้ลูกอยากปรับเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น
หลังจากขั้นตอนแรกผ่านไปด้วยดี คุณแม่อาจลองใช้วิธีต่อไปนี้ในการเลิกเต้าให้ประสบความสำเร็จ
- ลดความถี่ในการให้นมทีละน้อย: เริ่มจากลดการให้นมลงทีละ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ แล้วค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงสัปดาห์ละครั้ง วิธีนี้ช่วยให้ลูกค่อย ๆ ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง และยังช่วยให้ร่างกายของแม่ลดการผลิตน้ำนมลงอย่างเป็นธรรมชาติ ลดโอกาสเกิดอาการคัดตึงหรืออักเสบ
- ลดระยะเวลาในการดูดนมแต่ละครั้ง: หากลูกเคยดูดนมครั้งละ 10 นาที ให้ลดลงเหลือ 5 นาที และเสริมด้วยอาหารสำหรับเด็กหรือให้ดื่มนมจากขวดแทน เพื่อให้ลูกเริ่มเรียนรู้การกินจากแหล่งอื่นนอกเหนือจากเต้า
- เลื่อนเวลาและเบี่ยงเบนความสนใจ: แทนที่จะให้ดูดนมในช่วงเวลาปกติ ลองเลื่อนออกไป เช่น จากช่วงเย็นเป็นก่อนนอน และใช้กิจกรรมอื่นมาดึงความสนใจแทน เช่น อ่านนิทาน เล่นของเล่น หรือกอดปลอบ วิธีนี้เหมาะสำหรับเด็กที่โตพอจะเข้าใจและปรับตัวตามคำอธิบายของพ่อแม่ได้
วิธีให้ลูกเลิกเต้าเด็ดขาด ไม่ยากหากเข้าใจ
ระหว่างกระบวนการให้ลูกเลิกเต้า คุณแม่อาจหวั่นไหว ไม่แน่ใจว่าตัวเองตัดสินใจผิดหรือถูก ยิ่งหากลูกร้องงอแง คุณแม่ก็อาจถอดใจให้ลูกเข้าเต้าอีกเพราะสงสาร ต่อเป็นนี้เป็น วิธีให้ลูกเลิกเต้าเด็ดขาด ที่คุณแม่ควรเข้าใจก่อนให้ลูกเลิกเต้า
-
ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน และอย่าหวั่นไหว
ก่อนเลิกเต้าควรตั้งเป้าหมายให้ชัดว่าทำไมต้องเลิก เช่น ลูกโตพอที่จะกินอาหารอื่นได้แล้ว หรือคุณแม่ต้องกลับไปทำงาน เมื่อตัดสินใจแล้วต้องใจแข็ง แม้ว่าลูกจะร้องไห้หรืองอแง เพราะการกลับไปให้นมอีกจะทำให้การหย่านมยากขึ้นกว่าเดิม
-
เปลี่ยนกิจวัตร สภาพแวดล้อม และขอแรงเสริม
เด็กมักเชื่อมโยงการดูดนมกับช่วงเวลาหรือสถานที่เดิมๆ เช่น ก่อนนอนหรือเมื่อตื่นกลางดึก ลองแทนที่การดูดนมด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น อ่านนิทาน อุ้มกล่อม กอดลูกน้อยแทนการดูดนม และหลีกเลี่ยงการนั่งในจุดที่เคยให้นม หรืออาจขอแรงเสริมจากสามีและคนในครอบครัวให้ดูแลลูกในเวลาที่เคยให้นม เพื่อช่วยให้ลูกปรับตัวได้เร็วขึ้น
-
ดูแลตัวเองและอย่ารู้สึกผิด
การหย่านมอาจทำให้คุณแม่รู้สึกผิดหรือใจอ่อนเมื่อเห็นลูกร้องไห้ แต่จำไว้ว่าคุณแม่ต้องดูแลตัวเองด้วย หมั่นประคบอุ่น-เย็นเพื่อลดอาการคัดเต้า และหาเวลาพักผ่อน อย่าลืมว่า การหย่านมเป็นก้าวสำคัญของทั้งแม่และลูก ซึ่งไม่เร็วก็ช้า เหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นและเด็กทุกคนต้องผ่านไปให้ได้ ในที่สุดลูกจะเรียนรู้วิธีการปลอบโยนตัวเองและปรับตัวกับสิ่งใหม่ๆ ได้ดีขึ้น
รับมือ ลูกร้องไม่เลิก เมื่อแม่ให้เลิกเต้า
ในช่วงแรกๆ ของการเลิกเต้า เป็นธรรมดาที่ลูกอาจจะงอแง ขอให้คุณพ่อคุณแม่อดทน ไม่หงุดหงิด ไม่แสดงอารมณ์เชิงลบใส่ลูก เพราะจะยิ่งทำให้ลูกร้องไห้งอแงมากกว่าเดิม
สิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ ชดเชยการเข้าเต้า ด้วยการทำกิจกรรมใกล้ชิดกับลูก แสดงให้ลูกเห็นว่าแม้จะไม่ได้เข้าเต้า แต่พ่อแม่ก็ยังอยู่ใกล้ๆ ไม่หนีไปไหน ทำให้ลูกมั่นใจว่าแม้จะไม่ได้เข้าเต้า แต่ความรักและความใกล้ชิดไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป หนำซ้ำยังสนุกกว่าเดิม ที่ได้เล่นจ๊ะเอ๋กับคุณพ่อ หรือฟังนิทานจากคุณแม่
ในบางกรณี การร้องไห้ของลูกอาจมาจากอาการท้องอืด แน่นท้อง ท้องผูก เพราะการเปลี่ยนนมหรือกินอาหารตามวัยเพิ่มขึ้น จึงควรสังเกตอาหารและชนิดของนมที่เปลี่ยนให้ลูกด้วย แต่หากมั่นใจว่าลูกไม่ได้ร้องไห้เพราะนมหรืออาหาร แต่เป็นเพราะอยากใกล้ชิดพ่อแม่ การให้เวลากับเขามากๆ ในช่วงเวลานี้ จะช่วยทำให้พ่อแม่ลูกผ่านช่วงเวลาการเลิกเต้าไปได้ในที่สุด
หากลองทำตามคำแนะนำแล้วลูกยังงอแงอย่างมาก อาจเป็นเพราะลูกกำลังป่วย เช่น เป็นไข้หรือหวัด ต้องการความอบอุ่นและความปลอดภัยจากการดูดนมแม่มากกว่าปกติ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เช่น การย้ายบ้านหรือการหย่าร้างของพ่อแม่ อาจทำให้ลูกต้องการการปลอบโยนมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้การเลิกเต้าเป็นไปได้ยาก หากพบว่าสาเหตุเกิดจากปัจจัยเหล่านี้ คุณแม่ไม่ควรเร่งรัดหรือบังคับให้ลูกเลิกเต้าทันที แต่ควรเว้นระยะและรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ลูกปรับตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติและไม่เกิดความเครียดมากเกินไป
ให้ลูกเลิกเต้าแล้วปวดมาก ทำยังไง?
-
ปั๊มนมออกเพื่อลดการคัดตึง
หากไม่ให้ลูกดูดนมเลย อาจเกิดอาการคัดนมและปวดเต้า เพราะน้ำนมคั่งอยู่ในต่อมน้ำนมโดยไม่มีการระบายออก ควรใช้เครื่องปั๊มนมปั๊มออกเป็นระยะ เพื่อช่วยลดความตึงของเต้านมและป้องกันการอักเสบ
-
ประคบอุ่นและเย็นสลับกัน
ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณเต้านมประมาณ 10-15 นาที และสลับกับการประคบเย็น ทำวันละ 2-3 ครั้ง วิธีนี้ช่วยลดอาการปวดและบรรเทาความอักเสบของเต้านม
-
นวดเต้านมเบาๆ
การนวดเต้านมช่วยให้การไหลเวียนของน้ำนมดีขึ้น ลดอาการตึงและช่วยให้นมค่อยๆ แห้งไปเอง
-
ทานยาแก้ปวดหากจำเป็น
หากมีอาการปวดมาก อาจรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล เพื่อช่วยบรรเทาอาการ
-
ให้เวลาร่างกายปรับตัว
โดยปกติ หากไม่มีการดูดนมหรือปั๊มนมเลย ภายใน 7-15 วัน ร่างกายจะหยุดผลิตน้ำนมเอง เนื่องจากไม่มีการกระตุ้นฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง นมจึงค่อยๆ แห้งไปตามธรรมชาติ
การเลิกเต้าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยากที่สุดของความเป็นแม่ แต่หากเราตั้งใจและอดทน ลูกจะค่อยๆ เรียนรู้ว่า ความรักของแม่ไม่เคยลดลงไปพร้อมกับหยดนมที่หายไป ความรักยังคงอยู่ในอ้อมกอด ในสายตาที่มองเขาด้วยความห่วงใย และในทุกช่วงเวลาที่แม่เฝ้าดูเขาเติบโตขึ้นทีละนิด เป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนพาลูกน้อยผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ค่ะ
ที่มา: womenshealth , Pobpad
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
รวมนม UHT สำหรับเด็ก 22 กล่อง เลือกสูตรที่ใช่! ให้ตรงใจลูก ถูกใจแม่
ช็อก! วิจัยล่าสุด พบไมโครพลาสติก ในน้ำนมแม่ ของคนไทย
ผลเสียของการไม่ เลิกนมมื้อดึก พร้อมวิธีให้ลูกเลิกเต้าตอนกลางคืน
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!