เมื่อ ลูกบ่นเหนื่อย อาจทำให้เราเผลอคิดในใจ หรือตอบลูกไปว่า “แค่ไปโรงเรียนเองนะ โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่จะเหนื่อยกว่านี้เยอะ” หรือ “เป็นเด็กน่ะสบายที่สุดแล้ว” ด้วยเจตนาที่ดี อยากให้ลูกเข้มแข็ง อดทน พร้อมสู้กับโลกแห่งความจริงที่รออยู่ข้างหน้า แต่รู้ไหมว่า? วิธีการเปรียบเทียบความเหนื่อยของเรากับของลูกแบบนี้ มันช่วยให้ลูกแข็งแกร่งขึ้นได้จริงหรือ ?
ก่อนที่เราจะตัดสินว่า ลูกไม่อดทน เราอยากชวนคุณแม่มองเรื่องนี้ให้รอบด้าน ทั้งในมุม จิตวิทยาเด็ก และความเป็นจริงของชีวิตแม่ๆ อย่างเรากันค่ะ
ทำความเข้าใจความเหนื่อยของเด็ก ตามหลักจิตวิทยาเด็ก
ความเหนื่อยของหนู คือ ‘ที่สุด’ ในโลกของหนู ตามหลัก จิตวิทยาเด็ก และพัฒนาการ สมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ของเด็ก ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการใช้เหตุผล การควบคุมอารมณ์ และการมองการณ์ไกล ยังพัฒนาไม่เต็มที่เหมือนผู้ใหญ่ค่ะ นั่นหมายความว่าความสามารถในการรับมือกับความเครียดและมองเห็นภาพรวมของพวกเขายังมีจำกัด
ดังนั้น ลูกบ่นเหนื่อย ไม่ว่าจะเกิดจาก ความเครียดจากการสอบ, การบ้านที่ทำไม่ทัน, ความกังวลเรื่องเพื่อน หรือตารางเรียนพิเศษที่แน่นเอี้ยด อาจเทียบไม่ได้กับภาระของผู้ใหญ่ แต่มันคือ “วิกฤตที่ใหญ่ที่สุด” ที่เขาต้องเผชิญในโลกของเขา ณ วินาทีนั้นแล้ว
ทำไมเราถึงพูดแบบนั้นออกไป? การที่เราตอบสนองด้วยการเปรียบเทียบ ไม่ได้แปลว่าเราไม่รักลูก แต่มันอาจมีเหตุผลเบื้องหลังซ่อนอยู่
- ความจริงในมุมแม่: เรารู้ดีว่าความเหนื่อยในชีวิตจริงนั้นหนักหนาสาหัสกว่านี้เยอะ การเตรียมให้ลูกรู้จักอดทนจึงดูเป็นเรื่องสมเหตุสมผล
- ความเหนื่อยล้าของเราเอง: อย่าลืมว่าแม่ก็เหนื่อยเป็น! ภาระต่างๆ ในแต่ละวันอาจทำให้เราขาดความอดทนเมื่อได้ยินลูกบ่นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
- บริบทของสังคม: สังคมไทยปลูกฝังเรื่องความอดทน “ลำบากวันนี้ สบายวันหน้า” การแสดงความอ่อนแอจึงอาจถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม

ผลกระทบเมื่อลูกถูกปฏิเสธความรู้สึก
ในทางจิตวิทยา เมื่อ ลูกบ่นเหนื่อย การตอบสนองเช่นนั้นกับลูกอาจหมายถึง “การปฏิเสธความรู้สึก” (Emotional Invalidation) ค่ะ มันคือการส่งสารไปว่า “ความรู้สึกของเธอไม่จริง ไม่ถูกต้อง หรือไม่สำคัญ” ซึ่งส่งผลกระทบระยะยาวต่อ สุขภาพจิตเด็ก ได้อย่างน่ากลัว
- ลูกจะปิดใจ: เมื่อลูกเรียนรู้ว่าการแสดงความรู้สึกเหนื่อยหรือเครียดจะถูกตัดสิน เขาก็จะเลือกที่จะ “ปิดปากเงียบ” และเก็บความรู้สึกไว้กับตัวเอง ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นที่อาจกระทบต่อ สุขภาพจิตเด็ก ในระยะยาว
- ปัญหาสุขภาพจิต: ข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต ชี้ว่าปัญหาสุขภาพจิตในวัยรุ่นไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น การที่ลูกไม่กล้าพูดคุยกับเราเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อาจหมายถึงเขาจะไม่กล้าปรึกษาเราเมื่อเจอปัญหาที่ใหญ่กว่า เช่น การถูกบูลลี่ หรือปัญหาความสัมพันธ์
- พลาดโอกาสในการสอนทักษะชีวิต: คำว่า “เหนื่อย” ของลูก คือ “คำเชิญ” ให้พ่อแม่เข้าไปช่วยสอนทักษะ ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ซึ่งรวมถึงการรู้จักอารมณ์ตัวเองและการจัดการอารมณ์ (Emotional Regulation)
- ทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) ยืนยันว่า เด็กที่รู้สึกว่ามี “พื้นที่ปลอดภัย” ให้หันกลับมาหาได้เมื่ออ่อนแอ จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางอารมณ์ การเป็นพื้นที่ปลอดภัยนั้น เริ่มต้นจากการรับฟังและยอมรับความรู้สึกของลูกนี่เองค่ะ
เทคนิค ‘แม่เป็นทีมเดียวกับหนู’
นี่คือเทคนิคการเลี้ยงลูกเชิงบวก โดยเปลี่ยนวิธีการตอบสนอง ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดสวยหรู แต่ใช้ความจริงใจเข้าช่วย ลองใช้เทคนิคง่ายๆ 3 ขั้นตอนนี้
1. รับฟังและยอมรับความรู้สึก
คือการสะท้อนให้ลูกรู้ว่าเราได้ยิน และเข้าใจ ว่าเขารู้สึกอย่างไร ย้ำว่าแค่รับรู้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
- เลิกพูด: “แค่นี้เอง / คนอื่นเหนื่อยกว่าอีก”
- ลองพูด:
- “โอ้โห…ฟังดูเหมือนวันนี้ที่โรงเรียนเป็นวันที่หนักหนาสำหรับหนูจริงๆ เลยนะ”
- “แม่เข้าใจเลยว่าการบ้านเยอะขนาดนี้มันน่าจะทำให้เหนื่อยมากๆ”
- “อืม…เหนื่อยใจมาใช่ไหมลูก มานั่งข้างๆ แม่ตรงนี้มา”
เพียงแค่เปลี่ยนประโยคแรก ก็เหมือนเราเปลี่ยนจากการเป็น “ผู้พิพากษา” มาเป็น “ทีมเดียวกับลูก” แล้วค่ะ
2. เชื่อมต่อทางกายและใจ
บางครั้งการกระทำก็สื่อสารได้ดีกว่าคำพูด ลองสร้างการเชื่อมต่อเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้เขารู้สึกว่าไม่ได้ต่อสู้กับความเหนื่อยนี้เพียงลำพัง
- ลองทำ: กอดลูกเบาๆ, ลูบหลัง, หรือแค่นั่งลงข้างๆ แล้วยื่นน้ำเย็นๆ ให้สักแก้ว เพื่อช่วยให้ระบบประสาทที่กำลังตื่นตัวของลูกสงบลง

3. สอนทักษะและร่วมกันหาทางออก
หลังจากที่ลูกรู้สึกสงบลง นี่คือช่วงเวลาสำคัญที่จะช่วยกันหาทางออก
- ลองถาม (เมื่อลูกพร้อม):
- “พอจะเล่าให้แม่ฟังได้ไหมว่าอะไรทำให้หนูเหนื่อยที่สุดในวันนี้?” (ช่วยระบุปัญหา)
- “แล้วหนูคิดว่าเราจะทำอะไรกับความรู้สึกเหนื่อยนี้ได้บ้างนะ?” (สอนให้คิดหาทางแก้)
- “อยากให้แม่ช่วยอะไรไหม?” (ให้อำนาจในการตัดสินใจ)
วิธีตอบลูก แบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหา แต่ยังเป็นการปลูกฝัง Growth Mindset คือสอนให้ลูกมองว่าอุปสรรคคือสิ่งที่เรียนรู้และจัดการได้
ความเข้มแข็งทางใจ (Resilience) ไม่ได้เกิดจากการอดทนต่อความรู้สึกเหนื่อย แต่เกิดจากการ รับรู้ความเหนื่อยของตัวเอง, เรียนรู้วิธีจัดการกับมัน, แล้วยังเลือกที่จะลุกขึ้นสู้ต่อไปได้ต่างหาก
แล้วถ้าวันนั้นแม่ก็เหนื่อยมากๆ เหมือนกัน ควรพูดยังไง?
เราสามารถพูดกับลูกตามตรงได้เลย “รู้ไหม วันนี้แม่ก็เหนื่อยมากๆ เหมือนกันเลยลูก งั้นเราสองคนมานั่งพักด้วยกันสัก 5 นาทีนะ” เป็นการสอนให้รู้ว่าผู้ใหญ่ก็เหนื่อยเป็น และเราสามารถจัดการความรู้สึกอย่างมีสติได้ โดยหัวใจสำคัญคือ การเป็นทีมเดียวกัน เช่น “โอเค เหนื่อยจากการบ้านใช่ไหม? งั้นลุกมาช่วยแม่พับผ้าก่อนดีกว่า จะได้พักสมอง” หรือ “เข้าใจว่าเหนื่อยนะ งั้นเดี๋ยวเราไปเดินเล่นรับลมหน้าบ้านกันแป๊บนึง”
ครั้งต่อไปที่ ลูกบ่นเหนื่อย ขอให้เรามองว่านั่นไม่ใช่คำบ่น แต่เป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ และเป็นโอกาสที่เราจะมอบทักษะสำคัญให้ลูก ทั้ง ความฉลาดทางอารมณ์ (EQ), ความเข้มแข็งทางใจ, และความทรงจำอันอบอุ่นว่า…ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน ที่บ้านยังมีแม่อยู่เคียงข้างเสมอ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ชมเชยลูกยังไง ช่วยสร้างแรงจูงใจเชิงบวก ส่งเสริมการพัฒนาตัวเองของลูก
10 วิธีเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพจิตดี ที่สำคัญยิ่งกว่าผลการเรียนเกรด A
เลี้ยงลูกแบบไม่ดุ 7 เคล็ดลับ ปรับวิธีพูดให้ลูกเชื่อฟัง
อ้างอิง:
- Pantip.com
- กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข. (เข้าถึงข้อมูลปี 2568). สถิติและข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพจิตวัยรุ่นไทย.
- Bowlby, J. (1969). Attachment and Loss, Vol. 1: Attachment. New York: Basic Books.
- Dweck, C. S. (2006). Mindset: The New Psychology of Success. New York: Random House.
- Linehan, M. M. (1997). Validation and Psychotherapy. In A. C. Bohart & L. S. Greenberg (Eds.), Empathy Reconsidered: New Directions in Psychotherapy. American Psychological Association.
- UNICEF Thailand. (เข้าถึงข้อมูลปี 2568). รายงานสถานการณ์เด็กและเยาวชนในประเทศไทย.
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!