วิธีการเลือกที่ดูดน้ำมูก สำหรับเด็กทารก มีวิธีการเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม วันนี้เรามีทริคดี ๆ มาแนะนำค่ะ แน่นอนอยู่แล้วว่าเด็กนั้นร่างกายในส่วนของจมูกจะยังคงมีความบอบบางอยู่ ดังนั้น เวลาที่จะเลือกซื้ออุปกรณ์อย่างที่ดูดน้ำมูกมาใช้งานกับลูกน้อยจึงจำเป็นจะต้องเลือกเหมาะสมกับลูกน้อยของคุณมากที่สุด เพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย เพราะเวลาที่ลูกป่วย เด็กทารกก็อาจจะยังไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองในการที่จะสั่งน้ำมูกได้ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันค่ะ ว่าจะวิธีการเลือกอย่างไรบ้าง
ที่ดูดน้ำมูกมีกี่ประเภท
โดยปกติทั่วไปแล้ว ที่ดูดน้ำมูกจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
สำหรับที่ดูดน้ำมูกประเภทนี้ ถือเป็นที่ดูดน้ำมูกแบบคลาสสิกที่สุด ซึ่งจะทำมาจากซิลิโคน มีลักษณะคล้ายลูกบอลแล้วก็มีปลายยาว ๆ ซึ่งคุณสมบัติของที่ดูดน้ำมูกประเภทนี้จะสามารถปรับแรงดูดให้เหมาะสมได้ด้วยมือของผู้ใช้งานเอง สามารถกำจัดน้ำมูกได้อย่างอ่อนโยน แถมยังหาซื้อได้ง่าย และราคาไม่แพงอีกด้วยค่ะ
-
ที่ดูดน้ำมูกไฟฟ้า หรืออัตโนมัติ
สำหรับที่ดูดน้ำมูกประเภทนี้จะใช้งานโดยพลังงานแบตเตอรี่ สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบายเพราะมีมอเตอร์ช่วยดูดได้ทันที ไม่ต้องใช้งานแรงเลยค่ะ แถมยังสามารถปรับระดับความแรงของเครื่องได้อีกด้วย สำหรับบางรุ่นก็จะมีหัวดูดหลากหลายขนาด เพื่อเปลี่ยนให้เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก ๆ แล้วก็สามารถพกพาได้อย่างสะดวกสบาย ชาร์จด้วยสาย USB ได้อีกด้วยค่ะ แต่อาจจะมีราคาแพงที่แพงกว่าประเภทแรกนะคะ
ที่ดูดน้ำมูกมีประโยชน์อย่างไร
ที่ดูดน้ำมูก ถือเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นมาก ๆ สำหรับเด็กเล็กที่ป่วยเป็นไข้หวัด เนื่องจากเด็ก ๆ นั้นจะไม่สามารถสั่งน้ำมูกได้ด้วยตัวเอง เมื่อน้ำมูกเกิดการอุดตันที่โพรงจมูกเป็นจำนวนมากก็จะส่งผลให้เด็ก ๆ หายใจลำบากมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เมื่อน้ำมูกเกิดการอุดตันมาก ๆ แล้วไม่เอาออกก็จะส่งผลทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา
เช่น ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ หรืออาจจะมีการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น ดังนั้น การที่เด็กป่วยเป็นไข้หวัด และมีน้ำมูกสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก คุณแม่ลองซื้อไปไว้ใช้งานดูนะคะ เพราะจะช่วยให้คุณแม่สามารถกำจัดน้ำมูกของลูกออกได้อย่างง่ายดายมาก ๆ แถมยังช่วยทำให้โพรงจมูกสะอาดยิ่งขึ้นอีกด้วย แถมอาการหวัดที่เรื้อรังมานานก็จะดีขึ้นด้วยค่ะ บรรเทาอาการคัดจมูก และระคายเคืองในจมูกได้เป็นอย่างดี และที่ดูดน้ำมูกก็ยังสามารถป้องกันเชื้อโรคจากจมูก และไซนัสไปสู่ปอดได้อีกด้วย
วิธีการเลือกที่ดูดน้ำมูกสำหรับเด็ก
ที่ดูดน้ำมูกสำหรับเด็กที่ดี และมีคุณภาพจะต้องผลิตจากวัสดุที่มีคุณภาพ และปลอดภัยสำหรับเด็กมาก ๆ เลยนะคะ วัสดุควรที่จะนิ่ม และมีความยืดหยุ่นสูง มีผิวเรียบ ไม่แหลมคม และจะต้องสามารถถอดทำความสะอาดได้ง่าย เพื่อลดการสะสมของเชื้อโรค นอกจากนี้ ที่ดูดน้ำมูกก็จะต้องปราศจาก BPA เพื่อความปลอดภัยสำหรับเด็ก ๆ เพราะอาจก่อให้เกิดอันตราย และส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กได้ค่ะ ทางที่ดีเลือกใช้ยี่ห้อที่ผลิตจากวัสดุที่ผ่านมาตรฐานสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์จะดีที่สุดนะคะ
-
เลือกที่ดูดน้ำมูกให้เหมาะสมกับช่วงวัย
เพื่อการใช้งานที่ดูดน้ำมูกให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรที่จะเลือกให้เหมาะสมกับช่วงวัยนะคะ เพราะโดยปกติทั่วไปแล้วรูจมูกของเด็กในแต่ละวัยนั้นจะมีขนาดที่ไม่เท่ากัน ดังนั้น ปริมาณของน้ำมูกก็จะแตกต่างด้วยเช่นกันค่ะ และอีกอย่างถ้าหากเป็นเด็กทารกก็จะมีรูจมูกที่เล็ก ที่ดูดน้ำมูกก็จะต้องมีหัวดูดที่เล็กด้วยเช่นกัน ดังนั้น เพื่อการใช้งานให้ได้ประสิทธิภาพ และปลอดภัย อย่าลืมเลือกให้เหมาะสมกับช่วงวัยนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้อง : 10 ที่ดูดน้ำมูก สำหรับทารก ทำให้หายใจสะดวก แบบไหนดี? อัปเดต 2023
-
เลือกที่ดูดน้ำมูกที่ถอดล้างทำความสะอาดง่าย
เนื่องจากที่ดูดน้ำมูกนั้นถือเป็นอุปกรณ์ที่จะสัมผัสเข้าไปในจมูกของเด็กโดยตรง ดังนั้น เพื่อการทำความสะอาดที่ง่าย แนะนำให้เลือกที่ดูดน้ำมูกที่มีชิ้นส่วนน้อยจะดีกว่านะคะ เพื่อที่จะได้สามารถถอดส่วนประกอบแต่ละชิ้นออกได้ง่ายอีกด้วย แถมยังช่วยลดเวลาในการทำความสะอาดได้มากขึ้นด้วยค่ะ
ที่ดูดน้ำมูกแต่ละรุ่นก็จะมีประสิทธิภาพในการดูดที่แตกต่างกันออกไป มีทั้งแบบที่แรงดูดมาก และแบบที่มีแรงดูดน้อย ซึ่งการเลือกพิจารณาประสิทธิภาพแรงดูด ก็จะดูปริมาณของน้ำมูกว่ามากหรือน้อย และมีลักษณะของน้ำมูกว่าเหนียว หรือเหลวมากกว่ากัน เช่น ถ้าหากน้ำมูกเหนียวแนะนำให้ใช้ที่ดูดน้ำมูกที่มีแรงดูดที่มากจะดีที่สุดค่ะ
วิธีการใช้ที่ดูดน้ำมูกสำหรับเด็ก
- ขั้นตอนแรก ก่อนที่จะใช้ที่ดูดน้ำมูกนะคะ แนะนำให้หยอดน้ำเกลือลงในรูจมูกก่อนดูดน้ำมูกทุกครั้ง เพื่อที่น้ำมูกจะได้อ่อนตัว และดูดง่าย แนะนำให้หยดประมาณ 3 – 5 หยด แล้วก็จะต้องเว้นระยะเวลาประมาณ 3 – 5 วินาทีต่อหยด
- ขั้นตอนต่อมา ให้ใช้หัวดูดซิลิโคนที่มีขนาดเหมาะสมกับช่วงอายุของเด็ก ค่อย ๆ สอดเข้าจมูกอย่างระมัดระวัง ไม่ควรให้ลึกเกินไปนะคะ เพราะอาจจะไปกระทบกับผนังรูจมูกของเด็กได้ และอาจจะส่งผลเสียทำให้จมูกบวม หรือเลือดกำเดาไหลได้
- หลังจากดูดน้ำมูกเสร็จแล้ว แนะนำให้ใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาดบริเวณจมูกให้แห้งนะคะ แล้วก็อย่าลืมทำความสะอาดที่ดูดน้ำมูกทุกครั้งหลังใช้งานเสร็จด้วยนะคะ
ควรล้างจมูกบ่อยแค่ไหน
สำหรับเด็กที่ป่วย และมีน้ำมูกในปริมาณมาก และความหนืดมากจนแน่นจมูก แนะนำให้ล้างจมูก และดูดน้ำมูกอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวันนะคะ ช่วงตื่นนอนตอนเช้า และก่อนเข้านอน เพื่อลดการสะสมเชื้อโรค แล้วก็หลีกเลี่ยงการใช้ที่ดูดน้ำมูกร่วมกับคนอื่นนะคะ เพราะอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง : ล้างจมูกให้ลูก อันตรายไหม ลูกจะสำลักลงปอดหรือเปล่า
ข้อควรระวังในการล้างจมูก
- เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพร่างกายของเด็ก น้ำเกลือ และอุปกรณ์ที่ใช้ล้างจมูกจะต้องสะอาดที่สุดนะคะ ซึ่งน้ำเกลือที่จะใช้ล้างจมูกควรใช้ขวดละ 100 ซีซี จะดีที่สุดนะคะ ไม่แนะนำให้ใช้น้ำเกลือขวดใหญ่ เพราะถ้าหากเปิดทิ้งไว้และใช้ต่อเนื่อง ๆ อาจจะทำให้มีเชื้อโรคสะสมอยู่ได้
- แล้วก็ข้อควรระวังอีกหนึ่งอย่าง ควรใช้ที่ดูดน้ำมูกเมื่อมีน้ำมูกปริมาณมาก และมีความหนืดเหนียวข้นเท่านั้นนะคะ ถ้าหากเป็นน้ำมูกใสถ้าสั่งออกมาได้ให้สั่งออกมาจะดีกว่าค่ะ แล้วก็จากหลังจากที่ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในโพรงจมูกก็ให้สั่งน้ำมูกออกมาทันที ไม่ควรกลั้นหายใจเพื่อให้น้ำเกลือค้างอยู่ในจมูก เพราะน้ำเกลืออาจไหลย้อนไปในไซนัสได้นะคะ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับ วิธีการเลือกที่ดูดน้ำมูก สำหรับเด็กทารกไปจนถึงเด็กเล็ก การมีที่ดูดน้ำมูกเตรียมไว้ใช้งานถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เลยนะคะ เพราะเรื่องอาการเจ็บป่วยเป็นไข้หวัดนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะเด็กจะมีความเสี่ยงในการเป็นไข้หวัด มีน้ำมูกได้ง่ายกว่าปกติ และเมื่อเด็กมีน้ำมูกสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก ก็จะส่งผลเสียทำให้หายใจไม่สะดวก ดังนั้น การมีที่ดูดน้ำมูกไว้ใช้งานจึงช่วยให้เด็กหายใจได้สะดวกขึ้น ดังนั้น อย่าลืมเลือกซื้อตัวช่วยดี ๆ อย่างที่ดูดน้ำมูกมาไว้สำหรับดูแลลูกน้อยในยามเจ็บป่วยกันนะคะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ลูกป่วยเป็นอะไรได้บ้างในฤดูกาลต่าง ๆ
10 วิธีเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ลูก ลูกไม่สบายบ่อย ช่วยได้ ลูกจะไม่ป่วยบ่อยอีกต่อไปเเล้ว
วิธีป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่มากับฝน ถ้าไม่อยากให้ลูกป่วย ต้องทำแบบนี้!
ที่มา : mybest, Nakornthon
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!