วันแห่งชาเขียว หากพูดถึงชาเขียวประเทศที่เรามักจะนึกถึงเป็นประเทศแรก ๆ คือประเทศญี่ปุ่น เพราะคนญี่ปุ่นนั้น นิยมดื่มชาเขียวกันมากกว่าประเทศอื่น ๆ อีกทั้งยังมีวิธีการชงชา และดื่มชาที่เป็นเอกลักษณ์อีกด้วย ในวันนี้ทาง theAsianparent จะพาทุกคนไปรู้จักกับประวัติและที่มาของชาเขียวในประเทศญี่ปุ่น และทำไมชาเขียวจึงเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของคนญี่ปุ่น รวมถึง จะพาทุกคนไปรู้จักกับ วันแห่งชาเขียว ของญี่ปุ่น อีกด้วย
ประวัติและที่มาของชาเขียวในประเทศญี่ปุ่น
ชาเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั่วโลก และอยู่คู่กับวัฒนธรรมการดื่มกินของหลาย ๆ ประเทศมาอย่างช้านาน โดยในญี่ปุ่นจะเรียกชาเขียวว่า เรียวคุชะ (Ryokucha , 緑茶) และสำหรับต้นกำเนิดชาเขียวในประเทศญี่ปุ่นนั้น เริ่มมาตั้งแต่สมัยเฮอัน (Heian) โดยนักบวชญี่ปุ่นที่ชื่อ Eichu ได้เดินทางไปเป็นทูตเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากประเทศจีนรวมทั้งการศึกษาตัวยาสมุนไพรจากจีน ชา จึงเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ๆ โดยพระสงฆ์นั่นเอง โดยนักบวชจากญี่ปุ่นได้นำชาอัดแข็ง และเมล็ดชาจำนวนหนึ่งเข้ามาที่ญี่ปุ่น และเมื่อจักรพรรดิ Saga ได้เข้ามาเยี่ยมพระ Eichu ที่วัด พระ Eichu จึงได้ชงชาใส่ถ้วยนำมาถวาย เมื่อองค์จักรพรรดิได้ดื่มชาก็เกิดความประทับใจในรสชาติ จึงสั่งให้นำเมล็ดชาไปปลูกที่สวนสมุนไพรภายในบริเวณราชวัง หลังจากนั้นชาจึงได้เริ่มแพร่หลายในเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูง
บทความที่น่าสนใจ : มีความสุขกับการดื่มชา ไขข้อข้องใจช่วงตั้งครรภ์คุณแม่ดื่มชาอย่างไรถึงจะพอดี ?
ต่อมาในช่วงตอนต้นสมัยคามาคุระ (Kamakura) นักบวช Eisai ได้นำเมล็ดชามาจากจีนเป็นจำนวนมาก พร้อมกับวิธีการผลิตชากลับมาด้วย ซึ่งนั่นก็คือการดื่มชาในสไตล์ Matcha นักบวช Eisai ได้ส่งเสริมการเพาะปลูกชาเพื่อใช้เป็นสมุนไพรให้แพร่หลายมากขึ้น จากนั้นก็เริ่มมีการค้นคว้าสรรพคุณของชา ที่ช่วยดับกระหายได้ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยล้างพิษ ด้วยการขับสารพิษออกทางปัสสาวะอีกด้วย ต่อมานักบวช Eisai ได้เดินทางเพื่อออกเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชาไปทั่วญี่ปุ่น จากนั้นชาจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งพิธีกรรมและใช้เพื่อการรักษาโรค และยังเป็นเครื่องดื่มที่นิยมดื่มเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น
การดื่มชายังเป็นที่นิยมในงานพบปะสังสรรค์ของชนชั้นนักรบมากขึ้น แต่เป็นการดื่มชาเพื่อเล่นเกมทายปัญหาต่าง ๆ เพื่อชิงรางวัล ต่อมานักบวชที่ชื่อ Shuko Murata ไม่เห็นด้วยกับการดื่มชาเพื่อความสนุกสนานเช่นนั้น เขาคิดว่าโลกแห่งความเรียบง่ายของเซนนั้นมีแนวคิดแตกต่างออกไปในการดื่มชา นักบวชจึงออกแบบห้องพิธีชงชาขนาดเล็ก เพื่อใช้สนับสนุนการชงชาตามอุดมคติของนักบวช Eisai และผู้ที่วางแผนและให้กำเนิดประเพณีการชงชาในแบบฉบับญี่ปุ่นอย่างแท้จริงก็คือ Sen Rikyu โดยในสมัยนี้ชาเริ่มมีส่วนเกี่ยวข้องกับแนวคิดในด้านศิลปหัตถกรรม การออกแบบสวนญี่ปุ่น เครื่องปั้นดินเผาต่าง ๆ และอาหารญี่ปุ่น
บทความที่น่าสนใจ : อาหารช่วยให้หลับง่าย หลับสบาย หมดปัญหาการหลับยาก จะมีผลไม้อะไรบ้าง
ต่อมาในสมัยยุคเอโดะ (Edo) พิธีชงชาและการดื่มชาเริ่มมีการแพร่ขยายลงมาถึงชนชั้นล่างมากขึ้น แต่เมื่อถึงการเก็บเกี่ยวชาที่ดีที่สุดในช่วงแรกของปี ก็ต้องส่งมอบให้กับชนชั้นซามูไรก่อน ส่วนชาที่ชาวบ้านดื่มกันจะเป็นชาที่เก็บเกี่ยวในครั้งต่อมาซึ่งคุณภาพก็จะด้อยลงมา
ต่อมาในยุคเมจิ (Meiji) การผลิตชาเริ่มมีมากขึ้น มีหนังสือเทคนิคการผลิตต่าง ๆ ออกมาอย่างแพร่หลาย รวมถึงเริ่มมีเครื่องจักรเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต และเริ่มมีการส่งออกชาไปยังต่างประเทศ อีกทั้งปริมาณการส่งออกยังสูงมากจะเป็นรองแค่เพียงประเทศจีนเท่านั้น และในศตวรรษที่ 20 ชาเขียวก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนทั้งประเทศญี่ปุ่น และแพร่หลายออกมาทั่วโลกอย่างที่เราเห็นกันในจนถึงปัจจุบัน
บทความที่น่าสนใจ : 5 ชาเพื่อสุขภาพ รสชาติอร่อย ดีต่อใจมาก ๆ
วันแห่งชาเขียวของประเทศญี่ปุ่น
วันแห่งชาเขียว (抹茶の日 , Maccha No Hi) ของประเทศญี่ปุ่นนั้น ตรงกับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ก่อตั้งโดยคณะกรรมการส่งเสริมชา (macha-nishio) เมือง Nishio จังหวัด Aichi ซึ่งเป็นวันที่ได้มีรณรงค์ให้คนเห็นถึงความสำคัญของชาเขียว และสนับสนุนให้ประชาชนดื่มชาเขียว โดยในวันแห่งชาเขียวนี้ คนญี่ปุ่นทุกหมู่บ้านจะจัดพิธีการชงชาแบบดั้งเดิม และพิธีการดื่มชาในรูปแบบ Matcha นอกจากนั้นแล้ว ชาวญี่ปุ่นยังมีความเชื่อว่าการดื่มชาเขียวจะช่วยสามารถรักษาและบำบัดโรคภัยต่าง ๆ ได้ เพราะชาเขียวถือเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่สามารถรักษาโรคได้หลายชนิด นอกจากจะให้ชาวญี่ปุ่นเองได้เห็นความสำคัญของการดื่มชาในวันแห่งชาเขียวแล้ว การกำหนดวันแห่งชาเขียวขึ้นมานั้น จะช่วยให้ชาวญี่ปุ่นเข้าใจประวัติและความเป็นมาของชาเขียวในญี่ปุ่นมากขึ้น ว่าแต่เดิมนั้นชาเขียวมาจากที่ใด รวมถึงยังเป็นการให้ชาวญี่ปุ่นร่วมกันดื่มชาเพื่อระลึกถึงผู้ที่นำชาเขียวเข้ามาในญี่ปุ่นอีกด้วย นอกจากนี้ การมอบชาเขียวให้กัน สำหรับคนญี่ปุ่นนั้นก็จะแฝงความหมายที่แตกต่างตามโอกาสที่ให้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความยินดี การทักทาย หรือแสดงความขอบคุณ เพราะชาเป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นดื่มกันทุกวัน ซึ่งนอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังให้ความรู้สึกถึงความมีคุณภาพ มีราคา และมีความหมายที่มงคลอีกด้วย
บทความที่น่าสนใจ :
กินน้ำอัดลม กินชาเขียว แทนน้ำตอนท้อง ลูกออกมาไม่เป็นอะไร โชคดีแค่ไหนแล้วคะ คุณแม่ทั้งหลาย
ประวัติวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ ที่คุณอาจไม่เคยรู้
เทศกาลกินเจ ไม่อยากเจแตกฟังทางนี้ อาหารกินได้และอาหารต้องห้ามในช่วงกินเจ
ที่มา :
talonjapan, marumura, wegointer, matchazuki