ภาพของ “หมอแม่” หรือ พญ.พิศศรี กิจนิรันดร์สิน จากช่อง pawindrmom ที่นั่งคุยกับลูกชายอย่างอบอุ่นและเปิดอกเหมือนเพื่อนสนิท ทำให้หลายคนอาจสงสัยว่า อะไรคือเคล็ดลับความสัมพันธ์ของแม่ลูกคู่นี้ บทความนี้จะถอดรหัส 10 ข้อคิดเลี้ยงลูก ฉบับหมอแม่ ที่ตกผลึกมาจากชีวิตจริงอันเข้มข้นของเธอเอง ผ่านบทสัมภาษณ์จากรายการ มนุษย์ต่างวัย Talk EP.65 ค่ะ
10 ข้อคิดเลี้ยงลูก ฉบับหมอแม่
ข้อคิดที่ 1: “เราอยากมีแม่แบบไหน เราต้องเป็นแม่แบบนั้น”
นี่คือจุดเริ่มต้นของ ข้อคิดเลี้ยงลูก ฉบับหมอแม่ หมอแม่มองว่า การเลี้ยงลูกไม่ใช่การพยายามปั้นเขาให้เป็นเด็กในอุดมคติที่เราอยากได้ แต่คือการที่พ่อแม่ต้องลงมือปั้นตัวเองให้เป็นพ่อแม่ในอุดมคติ ที่ลูกต้องการ
หมอแม่ย้อนถามตัวเองว่า “เราอยากได้แม่แบบไหน?”
เราอยากได้แม่ที่พูดดีๆ กับเรา หรือไม่? เราอยากได้แม่ที่เข้าใจเราอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่ตอนที่เราป่วยหรือทำความดีหรือไม่?
เมื่อคำตอบคือ “ใช่” หน้าที่ของหมอแม่ก็คือการเป็นแม่แบบนั้นให้ลูก แทนที่จะเรียกร้องจากลูก หมอแม่เลือกที่จะ “เป็น” ให้ลูกเห็น การเปลี่ยนแปลงจึงต้องเริ่มต้นที่ตัวผู้ใหญ่ก่อนเสมอ และเป้าหมายสูงสุดคือการเลี้ยงลูกให้เขารู้สึก “โชคดีที่มีเราเป็นแม่”
ข้อคิดที่ 2: “ลูกไม่ใช่สมบัติ แต่คือมนุษย์ที่ต้องให้เกียรติ”
“ลูกไม่ใช่สมบัติของเรา เค้าก็คือตัวเขาเอง เพราะฉะนั้นเราจะไม่บังคับให้เค้าทำอะไรอย่างที่เราอยากให้เค้าทำ”
สำหรับหมอแม่ การเลี้ยงลูกแบบเพื่อน คือการให้เกียรติและนับถือเขาในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง การเลี้ยงแบบเพื่อนคือการทลายกำแพงแห่งอำนาจที่มองว่าลูกคือ คนที่อยู่ใต้เรา
เมื่อกำแพงนี้ถูกทลายลง สิ่งที่เข้ามาแทนคือความไว้วางใจ ลูกจะกล้าเล่าทุกเรื่อง กล้าปรึกษา กล้าที่จะเป็นตัวเอง เพราะเขารู้ว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าคือพื้นที่ปลอดภัย นี่คือหนึ่งใน ข้อคิดเลี้ยงลูก ฉบับหมอแม่ ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
ข้อคิดที่ 3: “หยุดวงจร! ไม่ส่งต่อวัฒนธรรมที่มันไม่เข้าท่า”
หากข้อ 1 และ 2 คือสิ่งที่ “ควรทำ” ข้อนี้คือสิ่งที่หมอแม่ตั้งปณิธานว่า “ต้องไม่ทำ”
ชีวิตในวัยเด็กของหมอแม่ไม่ได้สวยงาม เธอผ่านการเลี้ยงดูที่ยึดถือการตี ด่า ทำให้จำ ซึ่งเธอรู้ซึ้งด้วยตัวเองว่ามันเจ็บช้ำน้ำใจ และมันไม่หาย แต่กลับสร้างแผลที่ฝังลึก
หมอแม่ตระหนักว่า เมื่อคนเราเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดี เราจะมีแนวโน้มผลิตวิธีการซ้ำโดยไม่รู้ตัว ทำแบบเดียวกับที่เคยโดนมา เพื่อส่งต่อความเจ็บปวดนั้นโดยจิตใต้สำนึก
ทางเลือกมีสองทาง คือทำซ้ำ หรือ หยุดมันไว้ที่รุ่นเรา หมอแม่เลือกอย่างหลัง เธอมีสติรู้ตัว และตัดสินใจที่จะตัดวงจรนี้ “เราจะไม่มีทางทำแบบนี้เด็ดขาด เพราะเราต้องไม่ส่งต่อวัฒนธรรมที่มันไม่เข้าท่า”
ขอบคุณภาพจาก FB: Dr.Mom-หมอแม่
ข้อคิดที่ 4: “ใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์นำ”
หมอแม่ยอมรับว่าตามธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเจอสิ่งกระตุ้น เช่น ลูกทำผิด อารมณ์มักจะมาก่อนเหตุผลเสมอ
พ่อแม่ส่วนใหญ่ รวมถึงคนสมัยก่อน มักเผลอแสดงอารมณ์นั้นออกไปทันที กลายเป็นการด่าลูก หรือการตีลูก
เทคนิคของหมอแม่ ซึ่งอาจได้มาจากการฝึกฝนแบบแพทย์ คือ เมื่อความโกรธเกิดขึ้น สิ่งแรกที่ต้องทำคือ หยุด และ รอ
รอให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวสงบลงก่อน แล้วจึงอนุญาตให้สมองส่วนที่เป็นเหตุผลเข้ามาทำงาน เมื่อนั้น การสื่อสารที่แท้จริงจึงจะเกิดขึ้นได้ แทนที่จะเป็นการปะทะกันของอารมณ์
ข้อคิดที่ 5: “สอนให้เข้าใจผลลัพธ์ แทนการใช้คำสั่งห้าม'”
เมื่ออารมณ์สงบและเหตุผลเข้ามาแทนที่ นี่คือศิลปะในการสื่อสารตาม ข้อคิดเลี้ยงลูก ฉบับหมอแม่
หมอแม่จะไม่ใช้คำสั่งที่ปราศจากคำอธิบาย เช่น “ห้ามไปเที่ยวกลางคืน” หรือ “ห้ามดื่มเหล้า” เพราะคำสั่งห้ามมีแต่จะสร้างการต่อต้าน
แต่เธอจะใช้วิธีอธิบายเหตุผล ให้ลูกเห็นภาพผลลัพธ์ของการกระทำอย่างชัดเจนที่สุด
หมอแม่ยกตัวอย่างการดื่มเหล้า ว่ามันไม่ได้จบแค่ความสนุก แต่มันอาจนำไปสู่การเมา สติลดลง ไปชนเขาตาย หรือ เขามาชนเราตาย ถ้าไม่ตายก็ พิการ ติดคุก หรืออาจไปทำคนอื่นท้อง สิ่งเหล่านี้คือความเสี่ยงที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนเลยนะ
เมื่อลูกคิดเองได้ และเข้าใจผลลัพธ์ที่จะตามมา เขาก็จะรู้เองว่าต้องทำอะไรต่อ โดยไม่จำเป็นต้องมีใครมาห้าม
ข้อคิดที่ 6: “ลูกต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง”
หมอแม่ปลูกฝังแนวคิด “ความรับผิดชอบส่วนบุคคล” ตั้งแต่ลูกยังเล็ก
“ลูกไม่ใช่สมบัติของเรา” จึงหมายความว่า “ชีวิตเขาเป็นของเขา”
หมอแม่พูดกับลูกอย่างชัดเจนว่า “อันนี้นะ คือลูกต้องเป็นคนรับผิดชอบชีวิตลูกเองนะ ไม่ใช่แม่” ไม่ว่าลูกจะตั้งใจเรียนหรือไม่ตั้งใจเรียน คนที่ได้ผลจากการกระทำนั้นคือตัวเขาเอง
ข้อคิดเลี้ยงลูก ฉบับหมอแม่ ในข้อนี้ คือการย้ายจุดโฟกัส จากการที่ลูกทำดีเพื่อเอาใจแม่ ไปสู่การที่ลูกทำดีเพื่ออนาคตของตัวเอง
ขอบคุณภาพจาก FB: Dr.Mom-หมอแม่
ข้อคิดที่ 7: “เน้นการค้นพบตัวเอง ไม่ใช่การไล่ล่าความสำเร็จ'”
หมอแม่ชดเชยสิ่งที่เธอขาดหายไปในวัยเด็ก ด้วยการเติมเต็มให้ลูก
ชีวิตวัยเด็กของเธอต้องทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างหนักเพื่อเอาตัวรอด จนไม่มีชีวิตวัยรุ่น
เมื่อเธอมีลูก เธอมอบโอกาสนั้นให้เขาอย่างเต็มที่ เธอแยกแยะระหว่าง “วิชาการ” ซึ่งเป็นความรับผิดชอบ ต้องเรียนให้ผ่าน กับ “กิจกรรม” ซึ่งเป็นการค้นพบตัวเอง
หมอแม่ให้ลูกทดลองไปเรื่อยๆ ทั้งดนตรี กีฬา และสิ่งอื่นๆ โดยไม่บังคับเรียน และหากลูกลองแล้วรู้สึก ไม่อยากเรียน เธอก็ให้เลิก แล้วไปเรียนอย่างอื่น
เป้าหมายของหมอแม่ไม่ใช่การสร้างลูกให้เป็นอัจฉริยะ แต่คือการให้เขาได้หาสิ่งที่เขาชอบ ด้วยตัวเอง
ข้อคิดที่ 8: “เงื่อนไขชีวิต ต้องมาก่อน Passion”
หมอแม่เล่าว่าเธอยอมรับความจริงที่ว่า ต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน ในขณะที่บางคนมีทางเลือกเยอะ เช่น หน้าตาดี ครอบครัวดี แต่ต้นทุนของเธอในตอนนั้นคือ สมองเพียงอย่างเดียว
การเลือกเรียนหมอของเธอ ไม่ได้มาจาก Passion แต่มาจากเงื่อนไขชีวิต มันคือ สิ่งที่ต้องทำ เพื่อให้หลุดพ้นจากความยากจน
เธอจึงจัดลำดับความสำคัญของชีวิตไว้ 3 ขั้น
- “สิ่งที่เราต้องทำ” นี่คือลำดับความสำคัญสูงสุดที่เรา ต้องเลือกทำก่อนเสมอ ตามเงื่อนไขชีวิตและความรับผิดชอบ เช่น ภาระครอบครัว การเงิน)
- “สิ่งที่เราควรทำ” สิ่งที่ควรปฏิบัติ ตามความเหมาะสม หรือกาลเทศะทางสังคม
- “สิ่งที่เราอยากทำ” สิ่งที่ทำตามความปรารถนาส่วนตัว ซึ่งหมอแม่มองว่าต้องมาเป็น “อันดับสุดท้าย”
ข้อคิดเลี้ยงลูก ฉบับหมอแม่ ข้อนี้ คือการให้กำลังใจคนที่กำลัง ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ว่าตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ หน้าที่ของเราคือ ยอมรับมัน และหาวิธีอยู่กับมันให้เจ็บปวดน้อยที่สุด
ข้อคิดที่ 9: “พ่อแม่ก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง (ไม่ใช่หน้าที่ลูกต้องดูแล)”
นี่คือข้อคิดที่ปฏิวัติแนวคิดครอบครัวแบบเดิมๆ อย่างสิ้นเชิง หมอแม่ขยายหลักการ “ทุกคนต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเอง” ให้ครอบคลุมไปถึงตัวพ่อแม่ในวัยชราด้วย เธอยืนยันว่า การที่แม่แก่แล้ว แม่ก็ต้องยังรับผิดชอบชีวิตของแม่เอง การที่ลูกจะมาดูแลพ่อแม่ “ไม่ใช่เป็นหน้าที่” แต่เป็นสิ่งที่เขาเลือกทำ
“ถ้าลูกเราเนี่ย มีโอกาสดี ร่ำรวย มีสุขภาพดี เค้าก็มีโอกาสที่จะให้เราได้ แต่ถ้าตัวเค้าเอง เค้ายังเอาตัวไม่รอดเลยเนี่ย เค้าจะมาดูเราได้เหรอ ซึ่งก็กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม พังกันไปหมด อ่า เพราะฉะนั้นก็คือว่า ทำยังไงที่ให้เค้ารับผิดชอบตัวเขาเองให้ได้ก่อน จริง ๆ แล้วอันนี้ มันเป็นหลักการธรรมชาติเลยนะ เราอะ ต้องดูแลตัวเองเราให้ได้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ การเงิน การงาน แล้วเราถึงจะไปดูแลคนอื่นได้”
ดังนั้น พ่อแม่จึงมีความรับผิดชอบ ที่จะต้องดูแลตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ ทั้งสุขภาพ การเงิน การงาน เพื่อที่จะแก่อย่างมีคุณภาพ และไม่เป็นภาระคนอื่น
ขอบคุณภาพจาก FB: Dr.Mom-หมอแม่
ข้อคิดที่ 10: “ชีวิตเริ่มใหม่ได้เสมอ”
สุดท้าย ข้อคิดเลี้ยงลูกฉบับหมอแม่ ไม่ใช่แค่เรื่องของลูก แต่คือเรื่องของผู้ใหญ่ที่กำลังเลี้ยงดูเขาด้วย
หมอแม่ให้กำลังใจทุกคนที่กำลังประสบความล้มเหลว หรือมีปัญหาชีวิตหนักหนาสาหัส ว่าอย่าเพิ่งหมดหวัง เพราะชีวิตเริ่มใหม่ได้เสมอ
เราไม่จำเป็นต้องรอฤกษ์ยามมงคล “เราเริ่มวันไหนก็ได้… วันพรุ่งนี้ เราก็เริ่มได้”
แต่การเริ่มต้นใหม่นั้น มีเงื่อนไขสำคัญเพียงข้อเดียว คือมันต้องเริ่มจากการที่เราต้องรักตัวเอง ต้องดูแลตัวเอง และตระหนักรู้อยู่เสมอว่า ไม่มีใครจะรับผิดชอบชีวิตเราได้ นอกจากตัวเราเอง
ข้อคิดเลี้ยงลูกฉบับหมอแม่ คือการเดินทางจากการเอาตัวรอด สู่การเข้าใจชีวิต เธอพิสูจน์ให้เห็นว่า การเลี้ยงลูกที่ดีที่สุด อาจไม่ใช่การพยายามควบคุมหรือครอบครอง แต่คือการเป็นพื้นที่ปลอดภัย ที่ลูกไว้ใจที่สุดในโลก และในขณะเดียวกัน ก็คือการรับผิดชอบชีวิตตัวเองให้ดีที่สุด
ที่มา: มนุษย์ต่างวัย Talk EP.65
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
พ่อแม่ที่มีลูกประสบความสำเร็จ เลี้ยงลูกแบบไหน? สูตร (ไม่) ลับ ที่นักวิจัยค้นพบ
แม่ที่ดีคือแม่ที่มีความสุข ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แต่เลี้ยงลูกด้วยหัวใจที่ยืดหยุ่น
พลังของการ เลี้ยงลูกด้วยการฟัง เพราะเด็กที่ถูกฟัง จะโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ฟังคนอื่นเป็น
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!