“รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” สุภาษิตเก่าแก่ที่คนไทยคุ้นเคย แต่ในยุคที่วิทยาศาสตร์การเลี้ยงดูเด็กก้าวหน้า คำถามที่หลายครอบครัวกำลังเผชิญคือ การใช้ไม้เรียวยังเป็นคำตอบของการสร้างวินัยในเด็กอยู่หรือไม่? ลงโทษแบบไหนให้ได้ผล?
เมื่อการตีถูกตั้งคำถาม
วัฒนธรรมการเลี้ยงดูเด็กกำลังเปลี่ยนไป ที่เคยได้ยินว่า “โดนตีแล้วจะได้จำ” หรือ “พ่อแม่ตีเพราะรัก” อาจกำลังถูกทบทวนใหม่ด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาเด็กที่ลึกซึ้งกว่าเดิม ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กหลายท่านมีความเห็นว่า การตีอาจใช้ได้ในสถานการณ์เฉพาะ เช่น เมื่อเด็กกำลังทำสิ่งที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อตัวเองหรือผู้อื่น และต้องมีข้อตกลงร่วมกันไว้ล่วงหน้า แต่คำถามสำคัญคือแม้จะเป็นการตีเพียงเบาๆ คุณแน่ใจหรือว่าไม่ได้ทิ้งรอยแผลลึกในใจลูกที่คุณมองไม่เห็น?
บาดแผลที่มองไม่เห็น: เมื่อไม้เรียวทำร้ายจิตใจ
การศึกษาทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากยืนยันว่า ไม้เรียวไม่ได้สร้างแค่รอยฟกช้ำภายนอก แต่ยังส่งผลกระทบต่อจิตใจและพัฒนาการของเด็กในระยะยาว
- ทำลายความภาคภูมิใจในตัวเอง เด็กที่โดนตีบ่อยๆ มีแนวโน้มรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่สมควรได้รับความรัก และมองตัวเองในแง่ลบ
- สร้างวงจรความล้มเหลว เมื่อเด็กไม่เชื่อในศักยภาพของตัวเอง พวกเขามีแนวโน้มที่จะล้มเหลวซ้ำๆ ในชีวิต และอาจนำไปสู่การยอมแพ้ง่ายเมื่อเผชิญความท้าทาย
- ส่งผลต่อสุขภาพกายและใจ งานวิจัยเรื่อง ACEs (Adverse Childhood Experiences) พบว่า เด็กที่เติบโตมากับความรุนแรงในครอบครัว มีความเสี่ยงสูงต่อโรคร้ายในอนาคต ทั้งโรคหัวใจ มะเร็ง และภาวะซึมเศร้า การตีอาจหยุดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้ชั่วคราว แต่มันไม่ได้สอนให้เด็กรู้ว่าควรทำอย่างไรแทน

ลงโทษแบบไหนให้ได้ผล
หากถามว่า ถ้าไม่ตีลูกแล้วจะ ลงโทษแบบไหนให้ได้ผล คำตอบคือ การสร้างวินัยโดยไม่ใช้ความรุนแรง แม้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป หลักการสำคัญคือ การสร้างกติกาที่ยุติธรรมและมีความหมาย
-
กติกาที่มีเหตุผลและเหมาะสมกับวัย
สร้างกติกาที่สมเหตุสมผลและเหมาะกับช่วงวัยของลูก เด็กเล็กต้องการกติกาที่ง่ายและชัดเจน ขณะที่เด็กโตสามารถเข้าใจเหตุผลและรับผิดชอบมากขึ้น
-
อธิบายที่มาที่ไปของกติกา
เด็กจะเชื่อฟังมากขึ้นเมื่อเข้าใจว่าทำไมต้องมีกติกานั้น เช่น “เราต้องเก็บของเล่นเพราะว่าถ้าวางทิ้งไว้ มันอาจทำให้คนอื่นสะดุดล้มได้” แทนที่จะใช้คำสั่งเพียง “เก็บของเล่นเดี๋ยวนี้!”
-
กำหนดผลที่จะตามมาอย่างชัดเจน
ให้ลูกรู้ล่วงหน้าว่าถ้าทำผิดกติกาจะเกิดอะไรขึ้น และผลที่ตามมาควรสัมพันธ์กับการกระทำ เช่น “ถ้าไม่เก็บของเล่น พรุ่งนี้จะไม่ได้เล่นของชิ้นนั้น” แทนที่จะลงโทษแบบไม่เกี่ยวข้องกัน
อารมณ์ของพ่อแม่: กุญแจสำคัญที่มักถูกมองข้าม
บ่อยครั้งที่การลงโทษรุนแรงเกิดจากอารมณ์โกรธของพ่อแม่มากกว่าพฤติกรรมของลูก เมื่อใดที่คุณรู้สึกโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ นั่นคือสัญญาณเตือนให้
- หยุดพัก หายใจลึกๆ นับ 1-10 หรือแยกตัวออกมาสงบสติอารมณ์
- ตั้งคำถามกับตัวเอง ฉันกำลังตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูก หรือกำลังระบายอารมณ์ของตัวเอง?
- กลับมาแก้ไขปัญหา เมื่ออารมณ์สงบลงแล้ว ค่อยกลับมาพูดคุยและหาทางออกร่วมกัน

สร้างบ้านที่ปลอดภัยทางใจ
การเลี้ยงลูกในยุคใหม่ไม่ได้วัดที่ความเข้มงวดหรือการลงโทษ แต่วัดที่ความสามารถในการสร้าง “พื้นที่ปลอดภัย” ให้ลูกได้เติบโต เรียนรู้จากความผิดพลาด และกล้าที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ
บ้านที่เด็กรู้สึกปลอดภัยทางใจคือบ้านที่
- มีกติกาชัดเจนแต่ยืดหยุ่นได้
- พ่อแม่รับฟังความรู้สึกของลูกอย่างจริงจัง
- ความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่เหตุผลของการถูกลงโทษ
- ลูกกล้าบอกความรู้สึกและความกังวลโดยไม่กลัวว่าจะถูกตี
ในวันที่ความรู้ด้านสุขภาพจิตและพัฒนาการเด็กเติบโตไปไกล การทบทวนวิธีการเลี้ยงลูกแบบเดิมๆ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นการแสดงความรักอีกรูปแบบหนึ่ง ความรักที่พร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้ลูกได้เติบโตอย่างมีสุขภาพกายและใจที่สมบูรณ์ จำไว้ว่า สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การเลี้ยงลูกให้ “เชื่อฟัง” แต่เป็นการเลี้ยงให้ลูกเติบโตเป็นคนที่ “เข้าใจ” ว่าทำไมบางสิ่งถึงถูกและบางสิ่งถึงผิด และเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ๆ ในอนาคต พวกเขาจะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีวิจารณญาณและมีความรับผิดชอบ
Ref : American Academy of Pediatrics. (2018).** “Disciplining Your Child.” แนวทางจากองค์กรวิชาชีพด้านกุมารเวชศาสตร์ที่แนะนำการใช้ผลที่ตามมาอย่างเป็นธรรมชาติและสมเหตุสมผลในการสร้างวินัยเด็ก
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
วิธีเลี้ยงลูก Gen Beta ต้องปลูกฝัง 6 ทักษะสำคัญนี้ให้ลูก
10 สัญญาณที่บ่งบอกว่า พ่อแม่เลี้ยงลูกถูกทาง รู้แบบนี้สบายใจได้เลย!
ผลเสียจากการตะโกนใส่ลูก บาดแผลทางใจที่มองไม่เห็น
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!