ร้องไห้ อาการที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์

ร้องไห้ อาการที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณแม่ตั้งครรภ์ ในการตั้งครรภ์คุณแม่ต่างรู้กันเป็นอย่างดีว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ในบางครั้งการปรับตัวของฮอร์โมนภายในร่างกายก็อาจทำให้คุณแม่นั้นอาจมีน้ำตาบ้าง วันนี้เรามารู้ถึงประโยชน์ของการร้องไห้กันเถอะค่ะ เราจะได้ไม่รู้สึกผิดที่อยู่ดี ๆ ก็อยากร้องไห้แบบไม่มีเหตุผล

ร้องไห้ ดีอย่างไร

การร้องไห้ เป็นการกระทำของมนุษย์ทั่วไป และอาจเกิดจากอารมณ์ต่าง ๆ มากมาย แล้วทำไมมนุษย์เราถึงต้องร้องไห้ด้วยหละ เป็นคำถามที่ใครหลายคนอาจสงสัย โดยมีนักวิจัยท่านหนึ่งพบว่า การร้องไห้นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย และจิตใจของมนุษย์ สำหรับผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือน หรือแม้แต่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ มักเกิดอาการร้องไห้แบบไม่มีเหตุผลเหมือนกัน โดยการร้องไห้นั้นสามารถแบ่งน้ำตาออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

• น้ำตาที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อหล่อเลี้ยงดวงตาให้มีความชุ่มชื้น (Basal tears)
• น้ำตาที่ถูกผลิตขึ้นเมื่อมีสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกิดการระคายเคือง (Reflex tears)
• น้ำตาที่ถูกผลิตขึ้นเมื่อมีอารมณ์สุขหรือเศร้า (Emotional tears)

บทความที่น่าสนใจ : อาการโรคซึมเศร้า ในกลุ่มคนท้อง เกิดขึ้นได้อย่างไร เสี่ยงต่อเด็กในครรภ์หรือไม่

ร้องไห้นั้นมีประโยชน์อย่างไร

หลายคนยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วการร้องไห้ก็มีประโยชน์เหมือนกัน ยิ่งกับคนที่ไม่ชอบแสดงออก หรือคนที่ไม่ชอบพูดแล้วหละก็ การร้องไห้อาจะเป็นวิธีที่สุดสำหรับพวกเขา แต่สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว ในบางครั้งคงอาจเคยสงสัยว่า ทำไมอยู่ดี ๆ ถึงอยากจะร้องไห้ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะร้องไปทำไม มาดูประโยชน์ของการร้องไห้ดีกว่าค่ะ ครั้งหน้าถ้ามีคนถามว่าร้องไห้แล้วได้อะไรขึ้นมาจะได้ตอบถูก

1. ร้องไห้ เพื่อขับสารพิษออกจากร่างกาย

เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมมาเข้าที่ดวงตาของเรา เช่น เศษฝุ่น ควัน ของเหลวที่ทำให้เกิดการระคายเคือง เป็นต้น ดวงตาของเราจะผลิตน้ำตาออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อจะหล่อลื่นดวงตา และนำสิ่งที่ทำให้เกิดการระคายเคืองออก อีกทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้ติดเชื้อ

2. ช่วยปลอบประโลมตัวเอง

การร้องไห้อาจเป็นกลไกที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการปลอบประโลมตัวเอง นักวิจัยหลายท่านพบว่าการร้องไห้ช่วยกระตุ้นระบบประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous System : PNS) ที่ช่วยให้ร่างกายของคุณได้พักผ่อนและย่อยอาหาร อย่างไรก็ตามประโยชน์ของการร้องไห้เพื่อปลอบประโลมเองนั้นจะไม่มีผลในทันที อาจต้องใช้เวลาหลายนาทีในการหลั่งน้ำตาก่อนที่คุณจะรู้สึกผ่อนคลายจากการร้องไห้

3. ช่วยเรื่องของการลดความเจ็บปวด

การร้องไห้เป็นเวลานาน ส่งผลทำให้ออกซิโตซิน (Oxytocin) หรือฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมองที่จำเป็นสำหรับการคลอดลูก และให้นมบุตร และสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ถูกหลั่งออกมา โดยสารเหล่านี้จะทำให้คุณความรู้สึกดี และยังช่วยบรรเทาเรื่องความเจ็บปวด ทั้งทางร่างกายและจิตใจได้

4. ช่วยทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น

นอกจากการร้องไห้จะช่วยให้คุณคลายความเจ็บปวดแล้ว การร้องไห้สะอึกสะอื้นนั้นยังช่วยยกระดับสภาพจิตใจที่บอบซ้ำของคุณให้รู้สึกดีขึ้นได้ เพราะในขณะที่คุณสะอึกสะอื้นนั้น ทำให้คุณสูดออกซิเจนเข้าออกหลายครั้งในปริมาณที่มากกว่าการหายใจเข้าออกปกติ สมองของคุณจะได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ส่งผลทำให้อารมณ์ของคุณนั้นอาจดีขึ้นหลังจากร้องไห้สะอึกสะอื้น

5. คุณอาจได้รับแรงสนับสนุนจากการร้องไห้

บางครั้งหากคุณกำลังประสบปัญหา หรือกำลังรู้สึกว่าตัวของคุณนั้นต้องการแรงสนับสนุนทางด้านจิตใจจากใครสักคนหนึ่ง แต่ไม่สามารถพูด หรืออธิบายมันออกมากได้ การร้องไห้เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะบอกให้คนรอบข้างของคุณรู้ว่า คุณกำลังต้องการการสนับสนุนจากพวกเขา โดยคุณสามารถเห็นถึงประโยชน์ของการร้องไห้ข้อนี้ได้จากเด็กทารกที่พวกเขาไม่สามารถที่จะสื่อสารกับบุคคลอื่นได้ จึงเลือกวิธีที่จะร้องไห้ เพื่อต้องการจะสื่อสารสิ่งที่ตนเองต้องการ

บทความที่น่าสนใจ : 8 วิธีลดความเครียด สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ เครียดมากส่งผลต่อลูกในท้อง

6. ช่วยให้คุณหายจากความเศร้าโศก

การเสียใจเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาแห่งความเศร้า ความรู้สึกผิดและความโกรธ การร้องไห้มีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงที่คุณกำลังโศกเศร้า และทุกคนต่างต้องผ่านกระบวนการเสียใจในรูปแบบที่แตกต่างกัน หากคุณพบว่าคุณไม่สามารถหยุดร้องไห้ หรือการร้องไห้นั้นรบกวนชีวิตประจำวันของคุณ คุณควรไปพบจิตแพทย์

7. คืนความสมดุลทางอารมณ์

การร้องไห้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่น่าเศร้าเพียงเท่านั้น บางครั้งคุณอาจร้องไห้เมื่อมีความสุข มีความกลัว หรือเวลาที่เครียดมาก ๆ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเยล (Yale University) พบว่าการร้องไห้อาจมีส่วนช่วยให้คุณสามารถฟื้นฟูสมดุลทางอารมณ์ได้เป็นอย่างดี

8. ช่วยให้ทารกหายใจได้

สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์แล้ว การได้ยินเสียงร้องของทารกในห้องคลอดถือเป็นการสิ้นสุดการตั้งครรภ์อย่างสมบูรณ์แบบ และการร้องไห้ของทางรกแรกเกิดนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยทารกนั้นจะได้รับออกซิเจนผ่านทางสายสะดือขณะที่อยู่ในครรภ์ แต่เมื่อคลอดทารกคลอดออกมาแล้ว พวกเขาจะต้องเริ่มหายใจด้วยตัวเอง การร้องไห้ครั้งแรก คือสิ่งที่ช่วยให้ปอดของทารกปรับตัวเข้ากับโลกภายนอกได้ นอกจากนี้การร้องไห้ยังช่วยให้ทารกล้างของเหลวส่วนเกินในปอด จมูก และปากได้

บทความที่น่าสนใจ : น้ำเดิน ภาวะเสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายสำหรับคุณแม่ใกล้คลอด

9. ช่วยให้ทารกนอนหลับ

การร้องไห้อาจช่วยให้ทารกนอนหลับได้ดีขึ้นในเวลากลางคืน มีการศึกษาเกี่ยวกับการร้องไห้ของทารกนั้นพบว่า ทารกที่ถูกปล่อยให้ร้องไห้เป็นเวลานานหลายนาทีก่อนที่คุณพ่อ คุณแม่ หรือผู้ดูแลเด็ก ๆ จะเข้าไปทำการปลอบนั้น ส่งผลให้ทารกสามารถนอนหลับได้ในระยะเวลาที่นานขึ้น และลดจำนวนครั้งที่ตื่นในเวลากลางคืนลง แต่การปล่อยให้ทารกร้องไห้นั้นไม่ได้ส่งผลให้เกิดความเครียดในเด็ก หรือความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างผู้ปกครอง และเด็ก ๆ

คุณควรร้องไห้มากแค่ไหน?

การร้องไห้เพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข หรือเศร้าเป็นเรื่องปกติ และเป็นเรื่องที่ดีต่อสุขภาพ อย่าอายที่จะร้องไห้ออกมากหากคุณรู้สึกว่าจำเป็นต้องปลดปล่อยความรู้สึกออกมา แต่อย่างไรก็ตามการร้องไห้มากเกินไปเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพของคุณมากนัก คุณควรหาโอกาสไปพูดคุยกับแพทย์ หากการร้องไห้เริ่มรบกวนกิจกรรมประจำวันของคุณ ซึ่งนั่นอาจเป็นสัญญาณของภาวะซึมเศร้า โดยอาการเบื้องต้นที่คุณควรสังเกตตนเองมีดังนี้

• ความรู้สึกเศร้า หรือสิ้นหวัง
• รู้สึกหงุดหงิด
• การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านความอยากอาหาร หรือการลด-เพิ่มของน้ำหนัก
• อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า
• นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไป
• ปวดเมื่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ
• มีความคิดเรื่องความตาย หรือการฆ่าตัวตาย

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ หลังจากที่ทราบประโยชน์ของการร้องไห้แล้ว รู้สึกดีขึ้นมาบ้างมั้ยเอ่ยแต่ถึงอย่างไรก็ตาม ต่อให้การร้องไห้นั้นจะมีประโยชน์มากมาย คุณก็อย่าละเลยข้อเสียของการร้องไห้ เพราะอาจส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณได้ และที่สำคัญก็คืออย่าลืมที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขในทุกวัน มายิ้มกันเยอะ ๆ นะคะ

บทความที่น่าสนใจ :

อาการคนท้องเดือนแรก มีสัญญาณเตือนอย่างไรบ้าง คุณอาจจะยังไม่รู้ตัว

ออกกำลังกายสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ด้วย พิลาทิส ดีหรือไม่

ช่วงโควิดคุณแม่ควรดูแลตัวเองอย่างไร วิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้ห่างไกลจากภัยร้าย

ที่มา : abc.net.au, healthline.com, health.harvard.edu, rutningimbel.com