กวดวิชาแย่งเวลาของลูกไปจากพ่อแม่
เด็กเรียนหนัก การบ้านเยอะ โดนกดดันจากผู้ใหญ่ ความเป็นจริงที่เด็กได้รับในแต่ละวัน เมื่อเด็กเกิดมาพร้อมกับความคาดหวังของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกได้เข้าเรียนโรงเรียนดังๆ ได้ประสบความสำเร็จในชีวิตการงาน เรียนสูงๆ ตำแหน่งดีๆ เป็นที่นับหน้าถือตา สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เด็กต่างพากันต้องเรียนให้หนัก ติวให้หนักเพื่อที่จะได้สอบเข้าแข่งขันกับผู้อื่นได้ จนบางครั้งทำให้พ่อแม่ลูกไม่เคยมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างกัน หรืออาจเรียกได้ว่า กวดวิชาแย่งเวลาของลูกไปจากพ่อแม่
โดยหมอเดว-รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น ได้ให้สัมภาษณ์ในผู้จัดการออนไลน์ เกี่ยวกับปัญหาการศึกษา จนเด็กต้องหันมาร้องขอเวลา จากในเพจ “บันทึกหมอเดว” โดยขอสรุปมาไว้ดังนี้
โดยคุณหมอเล่าว่า เจอเคสที่เด็กเรียนหนัก ติวหนัก การบ้านเยอะ กดดันหนัก ทุกวัน ทุกเทอม ทุกปี และเจอเคสแบบนี้เยอะมาก อย่างกรณีนี้ ที่คุณหมอสะท้อนใจหมอมากๆ คือ เด็กร้องขอเวลา ไม่ต้องโทษพ่อแม่แต่ต้องโทษความเป็นจริงระบบการศึกษาแพ้ออกที่เกิดขึ้นในเด็กเล็ก
จุดเริ่มต้นมาจากการที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนแห่งหนึ่ง คุณครูได้แนะนำให้มาพบเพื่อให้ยาสมาธิสั้น ขาดความรับผิดชอบ แต่คุณหมอได้ฟังเรื่องราวแล้ว สารสารมาก ด้วยความที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่รักลูกมากแต่ต้องทำงานหนัก กลับบ้านดึกลูกหลับ ต้องให้ตายายช่วยเลี้ยงหลาน รับส่งหลาน
ในชีวิตประจำวันเด็กต้องตื่นตี 5 ออกจากบ้าน 6 โมงเช้ากินข้าวบนรถ ถึงโรงเรียน 7 โมงเช้า แล้วต้องรับการบ้านมาทำก่อนเข้าเรียน ทำเสร็จก็ต้องเข้าแถว เข้าเรียนแต่ก็เรียนหนักเพราะเด็กต้องเรียนของชั้นที่โตกว่าคือ ป. 5 เลิกเรียนบ่าย 3 ครึ่ง ก็ต้องไปกวดวิชา เลิกเกือบ 5 โมงเย็น กินข้าวเย็นบนรถ มาถึงบ้านต้องรีบทำการบ้าน ส่วนคุณตาก็เข้มกับหลานมาก อยากให้หลานเข้าโรงเรียนดัง ก็ให้ท่องอาขยาน ศัพท์ภาษาอังกฤษทุกวัน กว่าจะนอนก็ 3-4 ทุ่ม วันเสาร์ ก็ต้องไปกวดวิชา 2-3 ที่ กลับมาต้องรีบทำการบ้าน วันอาทิตย์ก็ต้องกวดวิชา แล้วก็ทำการบ้านอีก ทำให้เด็กไม่มีเวลาให้แม่เลย ทั้งๆ ที่แม่มีเวลา ใครขโมยเวลา ใครมาโทษว่าขาดความรับผิดชอบ ใครเป็นคนกดดันเด็ก ครูก็ดุ การบ้านก็เยอะแถมมีทุกวัน
กวดวิชาแย่งเวลาของลูกไปจากพ่อแม่
คำแนะนำจากคุณหมอ
การพบเจอกับเรื่องราวแบบนี้บ่อยๆ คุณหมอได้ตั้งคำถามว่า ทำไมถึงต้องเอาความรักมาเปลี่ยนเป็นความคาดหวัง กดดันเด็ก ควรที่จะให้เด็กมีชีวิตตามที่เด็กอยากจะเป็นจะดีกว่า โดยคุณหมอได้แสดงความคิดเห็นไว้ ดังนี้
1. ทัศนคติของผู้ปกครอง
คุณหมอบอกว่า วิธีเยียวยาที่จำเป็นต้องทำ อาจต้องเปลี่ยนกระแสนิยมของพ่อแม่ ต้องเข้าใจว่าประเทศชาติบ้านเมืองไม่ได้มีแค่บางอาชีพเท่านั้นที่มีความหมาย ทุกอาชีพมีความหมาย ต้องไม่เลี้ยงลูกแบบเปรียบเทียบ
2. ระบบการศึกษา
ไม่ควรใช้ระบบแพ้คัดออกกับเด็กเล็ก ในชั้นอนุบาลและชั้นประถม เพราะเท่ากับรังแกเด็ก เนื่องจากเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 10 ปี เพิ่งที่จะปรับตัวเข้าสังคม เข้ากับโรงเรียน เริ่มที่จะเข้าสู่กระบวนการมีเพื่อน กำลังหาจุดถนัดของตัวเอง ควรมีเฉพาะเด็กโต
3. การรับคนเข้าทำงาน
ให้ดูเด็กที่ความสามารถไม่ต้องดูที่ใบปริญญา เวลาที่ระบุคุณสมบัติในการรับเข้าทำงาน ไม่ควรระบุที่เกรดต้องเท่าไหร่ แต่ให้เอาความสามารถพื้นฐานเลย ถ้าไม่มีความสามารถพื้นฐาน ก็ไม่มีงาน
4. กระทรวงที่เกี่ยวข้อง
ควรช่วยกระตุกต่อมจิตสำนึก และดึงจิตวิญญาณความเป็นครูกลับมา ช่วยดูแลลูกหลานด้วยความรักและหัวใจ ไม่ใช่หลับหูหลับตา คุณไม่ได้มาดูที่หน้างาน เด็กกำลังรับกรรมขนาดไหน เขาไม่รู้หรอก แล้วเขาก็ยังนิยมชมชอบ เพราะคิดอย่างอื่นไม่เป็น ไม่เห็นภาพความจริง
ทั้งนี้ คุณหมอยังทิ้งท้ายอีกว่า ระบบการศึกษาไทย เกิดความล้มเหลวสะสมมานานมาก นี่จึงเป็นเหตุทำให้อัตราการฆ่าตัวตายของเด็กก็มีเพิ่มสูงเช่นกัน คุณไปใช้ระบบแพ้คัดออกโดยลืมซึ่งวิชาชีวิต ลืมเรื่องจิตสำนึกอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันขโมยธรรมชาติ ขโมยเวลาไป ลืมหัวใจความเป็นมนุษย์ นี่จึงทำให้เห็นอัตราฆ่าตัวตายของเด็กสูงมาก เราจะไม่วนหลูบนั้นใช่ไหม เราไม่ได้ต้องการอัตราฆ่าตัวตายของเราเพิ่มขึ้นใช่ไหม จึงจำเป็นจะต้องมาช่วยกัน
หมอเดว-รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี
อ่านบทความเต็มๆ ได้จาก: ผู้จัดการออนไลน์
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ:
พ่อแม่ต้องอ่าน! วิธี เลี้ยงลูกให้ประสบความสำเร็จ เลี้ยงลูกให้ฉลาด วิธีจากวิจัย!
พ่อแม่เจ้ากี้เจ้าการ เข้มงวดกับลูกมากเกินไป ยิ่งทำให้ชีวิตลูกดิ่งลงเหว!
การบ้านสำหรับเด็กอนุบาลเป็นสิ่งจำเป็นรึเปล่านะ?
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!