นมแม่ไม่มีประโยชน์ ไม่จริงเลยนมแม่เป็นสารอาหารสำหรับลูกที่มีคุณค่าที่สุด และยังสะอาด ประหยัดอีกด้วย นมแม่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อลูกครบถ้วน มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโต ทำให้ลูกเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ มีภูมิต้านทานในการต่อต้านเชื้อโรค และช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ในลูก เช่นการติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร การติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ ลดภาวะเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ หอบหืด หูอักเสบ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว ภาวะหลับไม่ตื่น (sudden infant death syndrome) โรคอ้วน และเบาหวาน เป็นต้น นอกจากนี้ยังทำให้เกิดสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแม่กับลูก เนื่องจากแม่และลูกได้สัมผัสกัน ก่อให้เกิดความผูกพัน เกิดพัฒนาการทางด้านสมองและสติปัญญา เกิดความฉลาดทางอารมณ์ และมีบุคลิกภาพที่ดีในอนาคต
ช่วงหลังคลอดเป็นช่วงเวลาที่คุณแม่สามารถให้นมลูกได้อย่างเต็มที่ แต่คุณแม่หลายท่านมักจะไม่มั่นใจและวิตกกังวลว่าตนเองมีน้ำนมไม่เพียงพอกับความต้องการของลูกลูกจึงไม่ยอมดูดนมตนเอง ทำให้หันไปพึ่งพาการป้อนนมผสมด้วยขวดมากขึ้น รวมถึงอาจมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ หลายประการที่ทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จในการให้นมแม่
ในช่วง 6 – 12 เดือน
เด็กควรได้กินนมแม่เป็นหลัก และทานอาหารเสริมสำหรับทารกควบคู่ไปกับนมแม่เพราะต้องการพลังงานมากขึ้น และการทานอาหารเสริมยังช่วยพัฒนาเด็กในการฝึกทานอาหาร ฝึกด้านการบดเคี้ยว การกลืน การย่อยอาหาร
เมื่ออายุ 1 ปี
ทารกก็จะกินข้าวเป็นหลัก 3 มื้อ นมแม่ก็จะกินเป็นเพียงแค่อาหารเสริมเท่านั้น แต่นมแม่ไม่หมดประโยชน์แต่อย่างใด สารอาหาร คุณประโยชน์ในนมแม่ไม่ได้ลดน้อยลงไปตามอายุของลูก แต่อาจจะน้อยลงตามธรรมชาติร่างกายของแม่และตามความต้องการของลูก แม่บางท่าน อยากให้ลูกได้ทานจนโตไปจนถึง 5 – 6 ปี อยากให้ลูกได้รับไขมันบำรุงสมองและภูมิคุ้มกันจากนมแม่ เพราะฉะนั้นคุณแม่ยังต้องหลอกร่างกายว่าต้องการนม โดยการกระตุ้นปั๊มนมออกทุก ๆ วัน เพื่อให้ร่างกายผลิตน้ำนมในปริมาณเท่าเดิมเพื่อให้ลูกได้กินนมแม่ได้จนโต
น้ำนมแม่หลัง 1 – 2 ปี
จะมีปริมาณภูมิคุ้มกันบางชนิดมากขึ้นซะอีก โดยข้อมูลของ Iowa State University Extension Service รายงานว่า ในนมแม่ปริมาณ 1 ช้อนชา มีเซลส์ที่ฆ่าเชื้อโรคถึง 3,000,000 เซลส์ เลยทีเดียว
หลังจาก 1 ปี ในน้ำนมแม่ปริมาณ 15 ออนซ์ ให้สารอาหารกับทารกในสัดส่วนดังนี้
- 29% ของ พลังงาน ที่ทารกต้องการต่อวัน
- 43% ของ โปรตีน ที่ทารกต้องการต่อวัน
- 36% ของ แคลเซียม ที่ทารกต้องการต่อวัน
- 75% ของ vitamin A ที่ทารกต้องการต่อวัน
- 76% ของ โฟเลต ที่ทารกต้องการต่อวัน
- 94% ของ vitamin B12 ที่ทารกต้องการต่อวัน
- 60% ของ vitamin C ที่ทารกต้องการต่อวัน
ตารางสารอาหารในนมแม่เปรียบเทียบตามระยะเวลา
|
สารอาหาร |
ระยะเวลาที่ให้นม |
0 – 1 ปี |
1 – 2 ปี |
2 – 3 ปี |
โปรตีน |
(g/100 ml) |
1.27 |
1.27 |
1.4 |
ไขมัน |
(g/100 ml) |
4.57 |
4.89 |
4.9 |
แล็คโตส |
(meg/100 ml) |
6.94 |
6.93 |
6.93 |
วิตามิน A |
(g/100 ml) |
12.46 |
16.32 |
13.02 |
การเลี้ยงลูกด้วย “นมแม่” นั้นมีประโยชน์ทั้งกับสุขภาพของแม่และสุขภาพของลูก
1. ป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากทำให้เกิดการกระตุ้นการหลัง hormone oxytocin ทำให้มดลูกกลับสู่สุขภาพปกติเร็วขึ้น
2. ช่วยการคุมกำเนิด เนื่องจากกดการทำงานของรังไข่ โดยแม่ที่เลี้ยงนมลูกอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอจะมีโอกาสตั้งครรภ์ในระยะ 6 เดือนแรกหลังคลอดน้อยกว่าร้อยละ 2 แต่หลังจาก 6 เดือนไปแล้วแนะนำให้คุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย
3.ช่วยลดน้ำหนักแม่ในระยะหลังคลอด โดยน้ำหนักจะค่อยๆ ลดประมาณ 0.6 – 0.8 กิโลกรัม/เดือน เนื่องจากมีการเผาผลาญไขมันที่เก็บสะสมไว้ในระยะตั้งครรภ์เพื่อใช้ในการสร้างน้ำนม ทำให้แม่กลับมามีรูปร่างที่สวยงามได้เร็ว มีการศึกษาว่า การให้นมแม่ถึงอายุ 1 ปี แม่จะมีน้ำหนักใกล้เคียงกับเมื่อก่อนตั้งครรภ์
4. ลดความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยเฉพาะมารดาที่เป็น GDM ซึ่งกลไกคิดว่าเกิดจากการที่มีน้ำหนักตัวลดลง การเปลี่ยนแปลงสัดส่วน การกระจายของไขมัน และความไวต่อการตอบสนองของอินซูลิน
5. ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง หากเคยเลี้ยงบุตรด้วยนมแม่นาน 12 เดือนขึ้นไป
6. ลดความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน เนื่องจากการสร้างมวลกระดูกจะสูงมากหลังหยุดให้นมแม่ และจะยังมีผลต่อไปอีก 5 – 10 ปี
7. ลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว กรณีถ้าให้นานกว่า 18 เดือน (แต่ถ้าให้ระยะสั้น ๆ จะลดโอกาสการเกิดแต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ) มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและมะเร็งเต้านม โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม ในสตรีวัยที่มีประจำเดือน ยิ่งให้นมนาน ก็ยิ่งมีผลในการป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ผลดีต่อสุขภาพทารก
1. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค โดยการสร้างจุลินทรีย์ประจำถิ่น (Microbial colonization) บนผิวหนังของลูกชนิดเดียวกับแม่ มีสาร prebiotics ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของ Bifidobacterium ในลำไส้ทารก นอกจากนี้ในน้ำนมแม่ยังมีสารนิวคลีโอไทด์หลายชนิด ช่วยทำให้เยื่อบุลำไส้ในลำไส้ทารกเจริญเติบโตเร็ว เพื่อรองรับการสัมผัสกับเชื้อประจำถิ่น การได้รับ sIgA บนบริเวณลานนมซึ่งจะไปดักจับเชื้อโรคบนเยื่อบุผิวลำไส้ และเยื่อบุผิวบนอวัยวะอื่นๆ เช่น ระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ยังมี T-lymphocyte ทำหน้าที่จับกินเชื้อโรคที่มาเกาะเยื่อบุผิว โดยภาพรวม ทำให้ลดอัตราตายของทารกและเด็ก โดยเฉพาะจากโรคติดเชื้อทางระบบหายใจ และโรคอุจจาระร่วง
2. ลดโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ เช่นโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ โรคหืด โดยมีการศึกษาว่า การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างน้อย 3 เดือน ช่วยลดโอกาสการเกิด atopic dermatitis และโรคหืดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(6,7) นอกจากนี้ยังลดโอกาสการเกิดเป็นเบาหวาน
3. เสริมสร้างสมองให้ว่องไวในการเรียนรู้ เพิ่มระดับเชาว์ปัญญา จึงทำให้ทารกเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ มีสุขภาพที่ดี เติบโตสมวัย ในนมแม่จะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสายโมเลกุลยาว ซึ่งมีความสำคัญมากต่อการเจริญของเนื่อเยื่อประสาทและจอประสาทตาเมื่ออายุ 6 เดือน
นอกจากนี้ ยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกตลอดเวลาที่ให้นมบุตร ซึ่งสามารถพัฒนาพฤติกรรมทางสังคม ทารกจะเกิดการเรียนรู้เนื่องจากมีการทำงานของสมองที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าตลอดเวลา โดยการให้ลูกได้ดูดนมแม่ จะทำให้มีการหลั่ง oxytocin ในสมองของมารดา มีผลให้มารดาคลายความกังวล ลดความก้าวร้าวและมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางสังคมที่เร็วขึ้น
ขอแค่คุณแม่ไม่หวั่นไหว เชื่อมั่นในนมแม่ ไม่สนใจ ไม่กังวลในสิ่งที่มากระทบ แค่นี้คุณแม่ก็จะมีน้ำนมคุณภาพให้ลูกกินไปได้อีกนานเท่านานเลยล่ะ ทุกหยดของน้ำนมแม่มีคุณภาพและคุณค่ามหาศาล น้ำนมถูกดึงจากร่างกายแม่ แม่ทานอาหารเข้าไปจะช่วยบำรุงร่างกายแม่ ไม่ว่าแม่จะจนหรือรวย กินอาหารเสริมแพงหรือไม่ หรือกินแค่อาหารพื้นบ้าน คุณค่าของนมแม่ที่มีให้ลูกยังเป็นเสมือนอาหารระดับภัตตาคาร 5 ดาวเสมอไม่มีวันเปลี่ยน
ที่มา : www.bumrungrad.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
จะรู้ได้ไงว่าลูกอิ่ม กินนมแม่พอหรือไม่พอ คุณแม่เช็คได้นะ
เก็บนมแม่ให้ลูกกินได้นาน นมแม่เก็บอย่างไรไม่ให้เหม็นหืน
ให้นมแม่ต้องรู้! ให้ลูกได้กิน น้ำนมเหลือง หลังคลอดดีสุดๆ!!
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!