TAP top app download banner
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้า
เข้าสู่ระบบ
  • TAP Awards 2025
  • อยากท้อง
  • แม่ท้อง แม่ให้นม
    • ระยะการตั้งครรภ์
    • โภชนาการเเม่ท้อง
    • โภชนาการแม่ให้นม
    • ตั้งชื่อลูก
    • พัฒนาการสมอง
  • แม่ผ่าคลอด
    • พัฒนาการเด็กผ่าคลอด
    • เตรียมตัวผ่าคลอด
    • สุขภาพเด็กผ่าคลอด
    • คู่มือคุณแม่ผ่าคลอด
    • การดูแลหลังผ่าคลอด
    • โภชนาการเด็กผ่าคลอด
  • หลังคลอด
    • คลอดธรรมชาติ
    • ผ่าคลอด
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
    • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
    • TAPpedia
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • ไลฟ์สไตล์
    • ที่เที่ยว
    • ที่กิน
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • VIP

คุณแม่ตั้งครรภ์ ท้องแข็งเวลาขยับตัว อันตรายไหม?

บทความ 8 นาที
คุณแม่ตั้งครรภ์ ท้องแข็งเวลาขยับตัว อันตรายไหม?

ท้องแข็งเวลาขยับตัว อันตรายไหม สาเหตุที่ทำให้ท้องแข็ง ท้องแข็งแบบไหนปกติ แบบไหนอันตราย รวมถึง วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการท้องแข็ง

ร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งรูปร่างที่ใหญ่ขึ้น ฮอร์โมนที่แปรปรวน อารมณ์ที่อ่อนไหว และอาการต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดระยะเวลา 9 เดือน หนึ่งในอาการที่คุณแม่หลายคนคุ้นเคยและอาจสร้างความกังวลใจก็คือ “อาการท้องแข็ง” บางครั้งแค่ขยับตัวเปลี่ยนท่าทาง หรือลุกเดินก็รู้สึกได้ถึงความตึงแข็งบริเวณหน้าท้อง ทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจว่า  “ท้องแข็งเวลาขยับตัว แบบนี้ อันตรายหรือไม่?”

บทความนี้จะพาคุณแม่ไปทำความรู้จักอาการ ท้องแข็ง สาเหตุที่ทำให้ท้องแข็ง ท้องแข็งแบบไหนปกติ แบบไหนอันตราย รวมถึง วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการท้องแข็ง ไปติดตามกันเลยค่ะ

 

สารบัญ

  • ทำความรู้จักกับอาการ “ท้องแข็ง”
  • ลักษณะอาการท้องแข็ง
  • ท้องแข็งเกิดจากอะไร
  • ท้องแข็งเวลาขยับตัว อันตรายหรือไม่?
  • วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการท้องแข็ง
  • แล้วถ้าท้องแข็งเป็นก้อน ช่วงไตรมาส 1 ล่ะ?

ทำความรู้จักกับอาการ “ท้องแข็ง”

อาการท้องแข็ง เกิดจากการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนกำปั้นที่กำเข้าแล้วคลายออก แต่ความรู้สึกและความถี่ในการเกิดจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

 

ลักษณะอาการท้องแข็ง

โดยทั่วไปจะรู้สึกตึงๆ แน่นๆ ที่บริเวณหน้าท้อง คล้ายกับมีลูกบอลแข็งๆ อยู่ข้างใน บางคนอาจรู้สึกเพียงแค่ตึงๆ น้อยๆ แต่บางคนอาจรู้สึกเจ็บ หรือปวดหน่วงๆ ร่วมด้วย

อาการท้องแข็งสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ แต่จะพบได้บ่อยในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป อาการท้องแข็งเป็นระยะๆ จากการที่มดลูกบีบตัวตามธรรมชาติ ถือเป็นเรื่องปกติ

เราสามารถแบ่งอาการท้องแข็งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

  1. ท้องแข็งแบบปกติ

ลักษณะ มักเกิดขึ้นนานๆ ครั้ง ไม่สม่ำเสมอ และไม่รุนแรง รู้สึกแค่ตึงๆ แน่นๆ หน้าท้องแข็งเป็นบางช่วงเวลา สลับกับการคลายตัว

สาเหตุ เกิดจากการบีบตัวของมดลูกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด เป็นกระบวนการทางธรรมชาติ ไม่เป็นอันตราย

วิธีสังเกต มักหายไปเองเมื่อได้พักผ่อน เปลี่ยนอิริยาบถ หรือดื่มน้ำ

  1. ท้องแข็งแบบอันตราย

ลักษณะ ท้องแข็งบ่อยครั้ง ถี่ขึ้นเรื่อยๆ และรุนแรงขึ้น อาจปวดหน่วงๆ ท้องน้อย ร่วมกับมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดหลัง มีมูกเลือด น้ำเดิน

สาเหตุ เป็นสัญญาณเตือนของการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ความเครียด การติดเชื้อ

วิธีสังเกต อาการไม่หายไปเอง แม้จะพักผ่อน และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น

 

ท้องแข็งเวลาขยับตัว

ท้องแข็งเกิดจากอะไร

อาการท้องแข็งระหว่างตั้งครรภ์ อาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากพฤติกรรมของคุณแม่เอง และจากปัจจัยอื่นๆ ดังนี้

  1. พฤติกรรมของคุณแม่

  • ท้องแข็งเวลาขยับตัว การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างกะทันหัน เช่น ลุกจากที่นั่งเร็วๆ ก้มตัว หรือเอี้ยวตัว อาจทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องเกิดการหดตัว ส่งผลให้เกิดอาการท้องแข็งได้
  • การยกของหนัก การยกของที่มีน้ำหนักมาก เป็นเวลานาน หรือยกของในท่าที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้เกิดแรงกดทับที่มดลูกและกล้ามเนื้อหน้าท้อง กระตุ้นให้เกิดอาการท้องแข็งได้เช่นกัน
  • การมีเพศสัมพันธ์ ในบางกรณี การมีเพศสัมพันธ์อาจกระตุ้นให้มดลูกบีบตัว และเกิดอาการท้องแข็งได้ โดยเฉพาะในช่วงใกล้คลอด
  • ทานอาหารอิ่มเกินไป การทานอาหารมื้อใหญ่ๆ หรืออาหารที่ย่อยยาก อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ ไปเบียดมดลูก ทำให้รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง และท้องแข็งได้ 
  • ภาวะขาดน้ำ การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมถึงกล้ามเนื้อมดลูก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องแข็งได้
  • ความเครียด ความเครียด วิตกกังวล หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ล้วนส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการท้องแข็งได้

 

  1. ปัจจัยอื่นๆ

  • ลูกน้อยดิ้นแรงหรือโก่งตัว เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เวลาลูกดิ้น มดลูกจะถูกกระตุ้นให้บีบตัว คุณแม่จะรู้สึกท้องแข็งเป็นบางจุด สลับกับบางจุดที่ยังนิ่มอยู่ อาจเห็นเป็นรอยนูนๆ ตามแขน ขา ศอก เข่า หรือก้นของลูก ที่ดันออกมา ซึ่งเป็นอาการปกติ ไม่ต้องกังวลใจค่ะ
  • มดลูกบีบตัวเอง บางครั้งมดลูกก็บีบตัวเอง โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด อาจเกิดจากมดลูกไม่แข็งแรง หรือคุณแม่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  • การติดเชื้อ การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ช่องคลอด หรือมดลูก อาจทำให้เกิดการอักเสบ และกระตุ้นให้มดลูกบีบตัว
  • รกเกาะต่ำ ภาวะรกเกาะต่ำ หรือรกเกาะหน้าปากมดลูก อาจทำให้เกิดอาการท้องแข็ง และมีเลือดออก
  • ภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะครรภ์เป็นพิษ มักมีอาการท้องแข็งร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ และมีโปรตีนในปัสสาวะ
  • การตั้งครรภ์แฝด การตั้งครรภ์แฝด ทำให้มดลูกมีขนาดใหญ่กว่าปกติ และมีโอกาสเกิดอาการท้องแข็งได้มากกว่า

 

ท้องแข็งเวลาขยับตัว

ท้องแข็งเวลาขยับตัว อันตรายหรือไม่?

เวลาที่คุณแม่ตั้งครรภ์เปลี่ยนท่าทาง เช่น จากนั่งเป็นนอน หรือลุกขึ้นยืน มดลูกซึ่งเป็นอวัยวะภายในช่องท้องก็จะขยับตัวตามไปด้วย ธรรมชาติของมดลูกเมื่อถูกสัมผัสหรือกระทบกระเทือน ก็จะมีการหดรัดตัว ทำให้คุณแม่รู้สึกว่าท้องแข็งขึ้นมา ซึ่งเป็นกลไกการตอบสนองตามปกติของร่างกาย ไม่ต้องกังวลใจไปนะคะ

อาการท้องแข็งแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ชั่วครู่ คือแข็งแล้วก็คลายตัว เป็นๆ หายๆ ไม่ได้แข็งตลอดเวลา อาจเกิดจากการเปลี่ยนท่าทาง การขยับตัว หรือมีสิ่งมากระทบ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ

แต่ถ้าหากคุณแม่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ขยับตัว แต่กลับรู้สึกว่าท้องแข็งเป็นประจำ แข็งแบบสม่ำเสมอ อันนี้ต้องคอยสังเกตอาการ และอาจต้องปรึกษาคุณหมอเพื่อหาสาเหตุ เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อยค่ะ

การจะประเมินว่า ท้องแข็งเวลาขยับตัว นั้นอันตรายหรือไม่ ต้องพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • ความถี่ในการเกิด ท้องแข็งเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน? หากเกิดขึ้นนานๆ ครั้ง และหายไปเองเมื่อได้พัก ก็มักจะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าเกิดขึ้นถี่ และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต้องระวัง
  • ระยะเวลาที่ท้องแข็ง แต่ละครั้งที่ท้องแข็ง เป็นอยู่นานแค่ไหน? หากเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แล้วหายไป ก็ไม่น่ากังวล แต่ถ้าแข็งนาน และไม่หายไปเอง อาจเป็นสัญญาณอันตราย
  • มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่? เช่น ปวดหน่วงท้องน้อย ปวดหลัง มีมูกเลือด หรือน้ำเดิน หากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

 

วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการท้องแข็ง

แม้ในบางครั้งอาการท้องแข็งจะเป็นอาการปกติ แต่การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ก็ช่วยลดความเสี่ยง และทำให้คุณแม่รู้สึกสบายขึ้นได้

  1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

  • การขยับตัวอย่างช้าๆ หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น การลุกจากที่นั่ง หรือการก้มตัว ควรขยับตัวอย่างช้าๆ เพื่อให้ร่างกายปรับตัว และลดการหดตัวของกล้ามเนื้อหน้าท้อง
  • การเลือกท่าทางที่เหมาะสมในการนั่ง นอน ยืน
    • การนั่ง: ควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิง และนั่งหลังตรง ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง หรือก้มตัวไปข้างหน้าเป็นเวลานาน
    • การนอน: คนท้องควรนอนตะแคงซ้าย เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด และลดแรงกดทับที่เส้นเลือดใหญ่ อาจใช้หมอนข้างหนุนหลัง และระหว่างขา เพื่อช่วยพยุงร่างกาย
    • การยืน: ควรยืนหลังตรง ไม่ควรยืนนานๆ หากจำเป็นต้องยืนเป็นเวลานาน ควรหาที่พักเท้า หรือเก้าอี้เตี้ยๆ มานั่งพักเป็นระยะ
  • การพักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน และงีบหลับในช่วงกลางวัน หากรู้สึกเหนื่อยล้า
  • ดื่มน้ำมากๆ ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการท้องแข็งได้
  1. การบริหารร่างกายสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรง และลดอาการท้องแข็งได้ แต่ควรเลือกชนิดของการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย และระยะเวลาของการตั้งครรภ์

  • โยคะ โยคะคนท้อง ช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพิ่มความยืดหยุ่น ผ่อนคลายความเครียด และฝึกการหายใจ ซึ่งมีประโยชน์ต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อย
  • การเดิน การเดิน เป็นการออกกำลังกายที่ง่าย และปลอดภัย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด และเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

 

ถึงแม้ว่า ท้องแข็งเวลาขยับตัว ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์  แต่คุณแม่ต้องสังเกตให้ดี หากท้องแข็งถี่ และใช้เวลานานกว่าจะหาย หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุต่อไปค่ะ

 

แล้วถ้าท้องแข็งเป็นก้อน ช่วงไตรมาส 1 ล่ะ?

อาการ “ท้องแข็ง” หรือรู้สึกว่ามดลูกบีบตัวเป็นก้อน เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในคนท้อง แต่สาเหตุและความอันตรายจะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุครรภ์ค่ะ โดยทั่วไปในช่วงไตรมาสแรกถึงต้นไตรมาสสอง อาการท้องแข็งมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและฮอร์โมน มากกว่าจะเป็นการเจ็บครรภ์จริง แต่ต้องสังเกตอาการร่วมด้วยเสมอ

  • ตั้งครรภ์ 2 เดือน ท้องแข็งเป็นก้อน

ปกติค่ะ ในระยะนี้มดลูกยังมีขนาดเล็กและอยู่ในอุ้งเชิงกราน การรู้สึกแน่นหรือแข็งมักเกิดจากแก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้ หรืออาการท้องอืด ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้น ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง หรืออาจเกิดจากการกลั้นปัสสาวะนานจนกระเพาะปัสสาวะดันมดลูกขึ้นมา

ข้อสังเกต: หากถ่ายลมหรือปัสสาวะแล้วอาการดีขึ้น ถือว่าปกติ

 

  • ตั้งครรภ์ 3 เดือน ท้องแข็งเป็นก้อน

ปกติค่ะ มดลูกเริ่มขยายตัวขึ้นมาเหนือกระดูกหัวหน่าว อาจคลำพบก้อนแข็งๆ น้อยๆ ได้โดยเฉพาะเวลาตื่นนอนหรือปัสสาวะเต็มที่ นอกจากนี้อาจมีอาการ “เจ็บเอ็นยึดมดลูก” ซึ่งจะรู้สึกตึงหรือเจ็บจี๊ดๆ ที่ขาหนีบหรือท้องน้อยเวลาเปลี่ยนท่าเร็วๆ

ข้อสังเกต: อาการตึงควรหายไปเองเมื่อพัก และไม่มีเลือดออก

 

  • ตั้งครรภ์ 4 เดือน ท้องแข็งเป็นก้อน

ปกติค่ะ ทารกเริ่มตัวใหญ่ขึ้นและมีการเคลื่อนไหว บางครั้งทารกอาจจะโก่งตัวไปอยู่มุมใดมุมหนึ่ง ทำให้คุณแม่รู้สึกว่าท้องแข็งปูดขึ้นมาข้างเดียว หรืออาจเริ่มมี “การเจ็บครรภ์เตือน” ซึ่งมดลูกจะบีบตัวเบาๆ ไม่เจ็บ และไม่สม่ำเสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อ

ข้อสังเกต: อาการแข็งควรเป็นช่วงสั้นๆ ไม่เจ็บร้าว และหายไปเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ

 

ท้องแข็งแบบไหนควรไปหาหมอ

หากมีอาการท้องแข็งร่วมกับสัญญาณเตือนเหล่านี้ ไม่ควรรรอช้า

  1. ท้องแข็งถี่และสม่ำเสมอ: แข็งตัวบ่อยๆ เช่น ทุก 10-15 นาที และไม่หายไปแม้จะนอนพัก
  2. มีอาการปวดร่วมด้วย: ปวดหน่วงๆ คล้ายปวดประจำเดือน ปวดร้าวไปถึงหลัง หรือปวดบีบเกร็ง
  3. มีเลือดออกทางช่องคลอด: ไม่ว่าจะมากหรือน้อย หรือเป็นสีน้ำตาล
  4. มีมูกเลือดหรือน้ำเดิน: มีน้ำใสๆ ไหลออกมาจากช่องคลอด
  5. อาการไม่ดีขึ้นหลังพัก: หากนอนพักผ่อน 1 ชั่วโมงแล้วอาการยังคงเดิมหรือแย่ลง

ข้อแนะนำเบื้องต้น: หากรู้สึกท้องแข็ง ให้ลองหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ นั่งหรือนอนพัก ดื่มน้ำเปล่าแก้วใหญ่ๆ (ภาวะขาดน้ำทำให้ท้องแข็งได้) และเข้าห้องน้ำปัสสาวะ หากอาการหายไปแสดงว่าไม่อันตรายค่ะ

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นคำแนะนำเบื้องต้นเพื่อสุขภาพ ไม่สามารถทดแทนการวินิจฉัยของแพทย์ได้ หากคุณแม่มีความกังวลใจ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ฝากครรภ์นะคะ

 

ที่มา : DrNoon Channel , โรงพยาบาลพญาไท

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

คำถามที่แม่ท้องควรรู้! ตั้งครรภ์ ตรวจมะเร็งปากมดลูกได้ไหม ?

ตั้งครรภ์ มีเลือดออก ไม่ปวดท้อง อันตรายไหม? มีสาเหตุจากอะไร?

ตกขาวสีเหลือง ในช่วง “ตั้งครรภ์” อันตรายไหม? แก้ไขยังไงดี

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
ddc-calendar
เตรียมความพร้อมสำหรับลูกน้อย โดยใส่วันครบกำหนดคลอดของคุณ
หรือ
คำนวณวันครบกำหนดคลอด
img
บทความโดย

สิริลักษณ์ อุทยารัตน์

  • หน้าแรก
  • /
  • ไตรมาส 3
  • /
  • คุณแม่ตั้งครรภ์ ท้องแข็งเวลาขยับตัว อันตรายไหม?
แชร์ :
  • Cryoviva Thailand คว้ารางวัล! "Most Innovative Stem Cell Banking" จาก theAsianparent Awards 2025 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการจัดเก็บสเต็มเซลล์
    บทความจากพันธมิตร

    Cryoviva Thailand คว้ารางวัล! "Most Innovative Stem Cell Banking" จาก theAsianparent Awards 2025 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการจัดเก็บสเต็มเซลล์

  • เปิดวาร์ป! Mil Plus+ 2 สูตร คู่หูตัวช่วยบำรุงน้ำนมแม่
    บทความจากพันธมิตร

    เปิดวาร์ป! Mil Plus+ 2 สูตร คู่หูตัวช่วยบำรุงน้ำนมแม่

  • ที่สุดแห่งผลิตภัณฑ์บำรุงน้ำนม Milk Plus & More  คว้ารางวัล Parents' Choice ตอกย้ำความเป็นผู้นำใน theAsianparent Awards 2025
    บทความจากพันธมิตร

    ที่สุดแห่งผลิตภัณฑ์บำรุงน้ำนม Milk Plus & More คว้ารางวัล Parents' Choice ตอกย้ำความเป็นผู้นำใน theAsianparent Awards 2025

  • Cryoviva Thailand คว้ารางวัล! "Most Innovative Stem Cell Banking" จาก theAsianparent Awards 2025 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการจัดเก็บสเต็มเซลล์
    บทความจากพันธมิตร

    Cryoviva Thailand คว้ารางวัล! "Most Innovative Stem Cell Banking" จาก theAsianparent Awards 2025 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการจัดเก็บสเต็มเซลล์

  • เปิดวาร์ป! Mil Plus+ 2 สูตร คู่หูตัวช่วยบำรุงน้ำนมแม่
    บทความจากพันธมิตร

    เปิดวาร์ป! Mil Plus+ 2 สูตร คู่หูตัวช่วยบำรุงน้ำนมแม่

  • ที่สุดแห่งผลิตภัณฑ์บำรุงน้ำนม Milk Plus & More  คว้ารางวัล Parents' Choice ตอกย้ำความเป็นผู้นำใน theAsianparent Awards 2025
    บทความจากพันธมิตร

    ที่สุดแห่งผลิตภัณฑ์บำรุงน้ำนม Milk Plus & More คว้ารางวัล Parents' Choice ตอกย้ำความเป็นผู้นำใน theAsianparent Awards 2025

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • พัฒนาการลูก
  • ชีวิตครอบครัว
  • ระยะการตั้งครรภ์
  • โภชนาการ
  • ไลฟ์สไตล์
  • TAP สังคมออนไลน์
  • ติดต่อโฆษณา
  • ติดต่อเรา
  • Influencer Marketing (KOL)
  • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Vietnam flag Vietnam
© Copyright theAsianparent 2025. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว