ร่างกายของคุณแม่ตั้งครรภ์เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งรูปร่างที่ใหญ่ขึ้น ฮอร์โมนที่แปรปรวน อารมณ์ที่อ่อนไหว และอาการต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดระยะเวลา 9 เดือน หนึ่งในอาการที่คุณแม่หลายคนคุ้นเคยและอาจสร้างความกังวลใจก็คือ “อาการท้องแข็ง” บางครั้งแค่ขยับตัวเปลี่ยนท่าทาง หรือลุกเดินก็รู้สึกได้ถึงความตึงแข็งบริเวณหน้าท้อง ทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจว่า “ท้องแข็งเวลาขยับตัว แบบนี้ อันตรายหรือไม่?”
บทความนี้จะพาคุณแม่ไปทำความรู้จักอาการ ท้องแข็ง สาเหตุที่ทำให้ท้องแข็ง ท้องแข็งแบบไหนปกติ แบบไหนอันตราย รวมถึง วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการท้องแข็ง ไปติดตามกันเลยค่ะ
ทำความรู้จักกับอาการ “ท้องแข็ง”
อาการท้องแข็ง เกิดจากการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูก เปรียบเทียบง่ายๆ เหมือนกำปั้นที่กำเข้าแล้วคลายออก แต่ความรู้สึกและความถี่ในการเกิดจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ลักษณะอาการท้องแข็ง
โดยทั่วไปจะรู้สึกตึงๆ แน่นๆ ที่บริเวณหน้าท้อง คล้ายกับมีลูกบอลแข็งๆ อยู่ข้างใน บางคนอาจรู้สึกเพียงแค่ตึงๆ น้อยๆ แต่บางคนอาจรู้สึกเจ็บ หรือปวดหน่วงๆ ร่วมด้วย
อาการท้องแข็งสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดช่วงเวลาของการตั้งครรภ์ แต่จะพบได้บ่อยในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่มดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ขึ้นไป อาการท้องแข็งเป็นระยะๆ จากการที่มดลูกบีบตัวตามธรรมชาติ ถือเป็นเรื่องปกติ
เราสามารถแบ่งอาการท้องแข็งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
-
ท้องแข็งแบบปกติ
ลักษณะ มักเกิดขึ้นนานๆ ครั้ง ไม่สม่ำเสมอ และไม่รุนแรง รู้สึกแค่ตึงๆ แน่นๆ หน้าท้องแข็งเป็นบางช่วงเวลา สลับกับการคลายตัว
สาเหตุ เกิดจากการบีบตัวของมดลูกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด เป็นกระบวนการทางธรรมชาติ ไม่เป็นอันตราย
วิธีสังเกต มักหายไปเองเมื่อได้พักผ่อน เปลี่ยนอิริยาบถ หรือดื่มน้ำ
-
ท้องแข็งแบบอันตราย
ลักษณะ ท้องแข็งบ่อยครั้ง ถี่ขึ้นเรื่อยๆ และรุนแรงขึ้น อาจปวดหน่วงๆ ท้องน้อย ร่วมกับมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดหลัง มีมูกเลือด น้ำเดิน
สาเหตุ เป็นสัญญาณเตือนของการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ ความเครียด การติดเชื้อ
วิธีสังเกต อาการไม่หายไปเอง แม้จะพักผ่อน และมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น

ท้องแข็งเกิดจากอะไร
อาการท้องแข็งระหว่างตั้งครรภ์ อาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากพฤติกรรมของคุณแม่เอง และจากปัจจัยอื่นๆ ดังนี้
-
พฤติกรรมของคุณแม่
- ท้องแข็งเวลาขยับตัว การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างกะทันหัน เช่น ลุกจากที่นั่งเร็วๆ ก้มตัว หรือเอี้ยวตัว อาจทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้องเกิดการหดตัว ส่งผลให้เกิดอาการท้องแข็งได้
- การยกของหนัก การยกของที่มีน้ำหนักมาก เป็นเวลานาน หรือยกของในท่าที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้เกิดแรงกดทับที่มดลูกและกล้ามเนื้อหน้าท้อง กระตุ้นให้เกิดอาการท้องแข็งได้เช่นกัน
- การมีเพศสัมพันธ์ ในบางกรณี การมีเพศสัมพันธ์อาจกระตุ้นให้มดลูกบีบตัว และเกิดอาการท้องแข็งได้ โดยเฉพาะในช่วงใกล้คลอด
- ทานอาหารอิ่มเกินไป การทานอาหารมื้อใหญ่ๆ หรืออาหารที่ย่อยยาก อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ ไปเบียดมดลูก ทำให้รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง และท้องแข็งได้
- ภาวะขาดน้ำ การดื่มน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมถึงกล้ามเนื้อมดลูก ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการท้องแข็งได้
- ความเครียด ความเครียด วิตกกังวล หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ ล้วนส่งผลต่อฮอร์โมนในร่างกาย และอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการท้องแข็งได้
-
ปัจจัยอื่นๆ
- ลูกน้อยดิ้นแรงหรือโก่งตัว เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด เวลาลูกดิ้น มดลูกจะถูกกระตุ้นให้บีบตัว คุณแม่จะรู้สึกท้องแข็งเป็นบางจุด สลับกับบางจุดที่ยังนิ่มอยู่ อาจเห็นเป็นรอยนูนๆ ตามแขน ขา ศอก เข่า หรือก้นของลูก ที่ดันออกมา ซึ่งเป็นอาการปกติ ไม่ต้องกังวลใจค่ะ
- มดลูกบีบตัวเอง บางครั้งมดลูกก็บีบตัวเอง โดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด อาจเกิดจากมดลูกไม่แข็งแรง หรือคุณแม่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- การติดเชื้อ การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ช่องคลอด หรือมดลูก อาจทำให้เกิดการอักเสบ และกระตุ้นให้มดลูกบีบตัว
- รกเกาะต่ำ ภาวะรกเกาะต่ำ หรือรกเกาะหน้าปากมดลูก อาจทำให้เกิดอาการท้องแข็ง และมีเลือดออก
- ภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะครรภ์เป็นพิษ มักมีอาการท้องแข็งร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดศีรษะ และมีโปรตีนในปัสสาวะ
- การตั้งครรภ์แฝด การตั้งครรภ์แฝด ทำให้มดลูกมีขนาดใหญ่กว่าปกติ และมีโอกาสเกิดอาการท้องแข็งได้มากกว่า

ท้องแข็งเวลาขยับตัว อันตรายหรือไม่?
เวลาที่คุณแม่ตั้งครรภ์เปลี่ยนท่าทาง เช่น จากนั่งเป็นนอน หรือลุกขึ้นยืน มดลูกซึ่งเป็นอวัยวะภายในช่องท้องก็จะขยับตัวตามไปด้วย ธรรมชาติของมดลูกเมื่อถูกสัมผัสหรือกระทบกระเทือน ก็จะมีการหดรัดตัว ทำให้คุณแม่รู้สึกว่าท้องแข็งขึ้นมา ซึ่งเป็นกลไกการตอบสนองตามปกติของร่างกาย ไม่ต้องกังวลใจไปนะคะ
อาการท้องแข็งแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ชั่วครู่ คือแข็งแล้วก็คลายตัว เป็นๆ หายๆ ไม่ได้แข็งตลอดเวลา อาจเกิดจากการเปลี่ยนท่าทาง การขยับตัว หรือมีสิ่งมากระทบ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่ถ้าหากคุณแม่อยู่เฉยๆ ไม่ได้ขยับตัว แต่กลับรู้สึกว่าท้องแข็งเป็นประจำ แข็งแบบสม่ำเสมอ อันนี้ต้องคอยสังเกตอาการ และอาจต้องปรึกษาคุณหมอเพื่อหาสาเหตุ เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อยค่ะ
การจะประเมินว่า ท้องแข็งเวลาขยับตัว นั้นอันตรายหรือไม่ ต้องพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ความถี่ในการเกิด ท้องแข็งเกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน? หากเกิดขึ้นนานๆ ครั้ง และหายไปเองเมื่อได้พัก ก็มักจะไม่เป็นอันตราย แต่ถ้าเกิดขึ้นถี่ และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต้องระวัง
- ระยะเวลาที่ท้องแข็ง แต่ละครั้งที่ท้องแข็ง เป็นอยู่นานแค่ไหน? หากเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แล้วหายไป ก็ไม่น่ากังวล แต่ถ้าแข็งนาน และไม่หายไปเอง อาจเป็นสัญญาณอันตราย
- มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่? เช่น ปวดหน่วงท้องน้อย ปวดหลัง มีมูกเลือด หรือน้ำเดิน หากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
วิธีดูแลตัวเองเมื่อมีอาการท้องแข็ง
แม้ในบางครั้งอาการท้องแข็งจะเป็นอาการปกติ แต่การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ก็ช่วยลดความเสี่ยง และทำให้คุณแม่รู้สึกสบายขึ้นได้
-
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- การขยับตัวอย่างช้าๆ หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่น การลุกจากที่นั่ง หรือการก้มตัว ควรขยับตัวอย่างช้าๆ เพื่อให้ร่างกายปรับตัว และลดการหดตัวของกล้ามเนื้อหน้าท้อง
- การเลือกท่าทางที่เหมาะสมในการนั่ง นอน ยืน
- การนั่ง: ควรเลือกเก้าอี้ที่มีพนักพิง และนั่งหลังตรง ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง หรือก้มตัวไปข้างหน้าเป็นเวลานาน
- การนอน: คนท้องควรนอนตะแคงซ้าย เพื่อช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด และลดแรงกดทับที่เส้นเลือดใหญ่ อาจใช้หมอนข้างหนุนหลัง และระหว่างขา เพื่อช่วยพยุงร่างกาย
- การยืน: ควรยืนหลังตรง ไม่ควรยืนนานๆ หากจำเป็นต้องยืนเป็นเวลานาน ควรหาที่พักเท้า หรือเก้าอี้เตี้ยๆ มานั่งพักเป็นระยะ
- การพักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน และงีบหลับในช่วงกลางวัน หากรู้สึกเหนื่อยล้า
- ดื่มน้ำมากๆ ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการท้องแข็งได้
-
การบริหารร่างกายสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรง และลดอาการท้องแข็งได้ แต่ควรเลือกชนิดของการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย และระยะเวลาของการตั้งครรภ์
- โยคะ โยคะคนท้อง ช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพิ่มความยืดหยุ่น ผ่อนคลายความเครียด และฝึกการหายใจ ซึ่งมีประโยชน์ต่อทั้งคุณแม่และลูกน้อย
- การเดิน การเดิน เป็นการออกกำลังกายที่ง่าย และปลอดภัย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด และเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
ถึงแม้ว่า ท้องแข็งเวลาขยับตัว ถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในคุณแม่ตั้งครรภ์ แต่คุณแม่ต้องสังเกตให้ดี หากท้องแข็งถี่ และใช้เวลานานกว่าจะหาย หรือมีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุต่อไปค่ะ
แล้วถ้าท้องแข็งเป็นก้อน ช่วงไตรมาส 1 ล่ะ?
อาการ “ท้องแข็ง” หรือรู้สึกว่ามดลูกบีบตัวเป็นก้อน เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในคนท้อง แต่สาเหตุและความอันตรายจะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงอายุครรภ์ค่ะ โดยทั่วไปในช่วงไตรมาสแรกถึงต้นไตรมาสสอง อาการท้องแข็งมักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาและฮอร์โมน มากกว่าจะเป็นการเจ็บครรภ์จริง แต่ต้องสังเกตอาการร่วมด้วยเสมอ
-
ตั้งครรภ์ 2 เดือน ท้องแข็งเป็นก้อน
ปกติค่ะ ในระยะนี้มดลูกยังมีขนาดเล็กและอยู่ในอุ้งเชิงกราน การรู้สึกแน่นหรือแข็งมักเกิดจากแก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้ หรืออาการท้องอืด ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่สูงขึ้น ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง หรืออาจเกิดจากการกลั้นปัสสาวะนานจนกระเพาะปัสสาวะดันมดลูกขึ้นมา
ข้อสังเกต: หากถ่ายลมหรือปัสสาวะแล้วอาการดีขึ้น ถือว่าปกติ
-
ตั้งครรภ์ 3 เดือน ท้องแข็งเป็นก้อน
ปกติค่ะ มดลูกเริ่มขยายตัวขึ้นมาเหนือกระดูกหัวหน่าว อาจคลำพบก้อนแข็งๆ น้อยๆ ได้โดยเฉพาะเวลาตื่นนอนหรือปัสสาวะเต็มที่ นอกจากนี้อาจมีอาการ “เจ็บเอ็นยึดมดลูก” ซึ่งจะรู้สึกตึงหรือเจ็บจี๊ดๆ ที่ขาหนีบหรือท้องน้อยเวลาเปลี่ยนท่าเร็วๆ
ข้อสังเกต: อาการตึงควรหายไปเองเมื่อพัก และไม่มีเลือดออก
-
ตั้งครรภ์ 4 เดือน ท้องแข็งเป็นก้อน
ปกติค่ะ ทารกเริ่มตัวใหญ่ขึ้นและมีการเคลื่อนไหว บางครั้งทารกอาจจะโก่งตัวไปอยู่มุมใดมุมหนึ่ง ทำให้คุณแม่รู้สึกว่าท้องแข็งปูดขึ้นมาข้างเดียว หรืออาจเริ่มมี “การเจ็บครรภ์เตือน” ซึ่งมดลูกจะบีบตัวเบาๆ ไม่เจ็บ และไม่สม่ำเสมอ เพื่อเตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อ
ข้อสังเกต: อาการแข็งควรเป็นช่วงสั้นๆ ไม่เจ็บร้าว และหายไปเมื่อเปลี่ยนอิริยาบถ
ท้องแข็งแบบไหนควรไปหาหมอ
หากมีอาการท้องแข็งร่วมกับสัญญาณเตือนเหล่านี้ ไม่ควรรรอช้า
- ท้องแข็งถี่และสม่ำเสมอ: แข็งตัวบ่อยๆ เช่น ทุก 10-15 นาที และไม่หายไปแม้จะนอนพัก
- มีอาการปวดร่วมด้วย: ปวดหน่วงๆ คล้ายปวดประจำเดือน ปวดร้าวไปถึงหลัง หรือปวดบีบเกร็ง
- มีเลือดออกทางช่องคลอด: ไม่ว่าจะมากหรือน้อย หรือเป็นสีน้ำตาล
- มีมูกเลือดหรือน้ำเดิน: มีน้ำใสๆ ไหลออกมาจากช่องคลอด
- อาการไม่ดีขึ้นหลังพัก: หากนอนพักผ่อน 1 ชั่วโมงแล้วอาการยังคงเดิมหรือแย่ลง
ข้อแนะนำเบื้องต้น: หากรู้สึกท้องแข็ง ให้ลองหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ นั่งหรือนอนพัก ดื่มน้ำเปล่าแก้วใหญ่ๆ (ภาวะขาดน้ำทำให้ท้องแข็งได้) และเข้าห้องน้ำปัสสาวะ หากอาการหายไปแสดงว่าไม่อันตรายค่ะ
หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นคำแนะนำเบื้องต้นเพื่อสุขภาพ ไม่สามารถทดแทนการวินิจฉัยของแพทย์ได้ หากคุณแม่มีความกังวลใจ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ฝากครรภ์นะคะ
ที่มา : DrNoon Channel , โรงพยาบาลพญาไท
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
คำถามที่แม่ท้องควรรู้! ตั้งครรภ์ ตรวจมะเร็งปากมดลูกได้ไหม ?
ตั้งครรภ์ มีเลือดออก ไม่ปวดท้อง อันตรายไหม? มีสาเหตุจากอะไร?
ตกขาวสีเหลือง ในช่วง “ตั้งครรภ์” อันตรายไหม? แก้ไขยังไงดี
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!