นักจิตวิทยาเด็กผู้บุกเบิกแนวคิดเรื่อง “Temperament” อย่าง Stella Chess และ Alexander Thomas ได้กล่าวไว้ว่า “เด็กแต่ละคนเกิดมาพร้อมลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมและการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น” การทำความเข้าใจ นิสัยเด็กทารก ตั้งแต่แรกเกิด จึงมีความสำคัญต่อการเลี้ยงดู และช่วยให้พ่อแม่สามารถสนับสนุนการเติบโตของลูกน้อยได้อย่างตรงจุดและเต็มศักยภาพ
นิสัยเด็กทารก มีกี่แบบ?
นักจิตวิทยาได้ศึกษาและจำแนกลักษณะนิสัยพื้นฐานของทารก หรือที่เรียกว่า “Temperament” โดย แนวคิดที่โดดเด่นในด้านนี้คืองานวิจัย New York Longitudinal Study (NYLS) ของ Stella Chess และ Alexander Thomas ซึ่งได้แบ่งประเภทของ นิสัยเด็กทารก ออกเป็นหลักๆ ดังนี้
- เด็กเลี้ยงง่าย (Easy Child): มักมีอารมณ์สดใส ร่าเริง ปรับตัวเข้ากับตารางเวลาและกิจวัตรใหม่ๆ ได้ดี และตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ อย่างไม่รุนแรง
- เด็กเลี้ยงยาก (Difficult Child): มักแสดงอารมณ์ด้านลบออกมาอย่างชัดเจนและรุนแรง ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงได้ยาก และมีตารางเวลาที่ไม่แน่นอน
- เด็กปรับตัวช้า (Slow-to-Warm-Up Child): ในช่วงแรกอาจมีปฏิกิริยาต่อสิ่งใหม่ๆ ไม่มากนัก แต่จะค่อยๆ ปรับตัวและคุ้นเคยได้เมื่อมีเวลา
วิธีสังเกตว่าลูกน้อยของเราเป็นเด็กแบบไหน?
เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เห็นภาพ นิสัยเด็กทารก ชัดเจนขึ้น ลองมาดูตัวอย่างพฤติกรรมของลูกน้อยตามลักษณะนิสัยพื้นฐาน 3 แบบกันค่ะ
1. เด็กเลี้ยงง่าย (Easy Child)
ลูกจะกินนมตรงเวลา งอแงเมื่อถึงเวลาหิวแต่ไม่มากนัก นอนหลับกลางวันและกลางคืนเป็นเวลาค่อนข้างแน่นอน เช่น กินนมทุก 3-4 ชั่วโมง และนอนหลับยาวในช่วงกลางคืน
เมื่อมีเสียงดัง ลูกอาจจะสะดุ้งเล็กน้อยแล้วกลับมาสนใจสิ่งเดิมได้ ไม่ค่อยแสดงอาการไม่ชอบเมื่อถูกอุ้มหรือสัมผัส อาจจะชอบการอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า
ส่วนใหญ่มักจะยิ้มง่าย หัวเราะคิกคัก ร้องไห้น้อยหรือไม่รุนแรงนัก มักแสดงสีหน้าสงบและพึงพอใจ

เมื่อมีการเปลี่ยนเวลาป้อนนม หรือพาไปสถานที่ใหม่ๆ ลูกอาจจะงอแงบ้างเล็กน้อย แต่จะปรับตัวได้ค่อนข้างเร็ว เช่น ยอมกินนมตามเวลาใหม่ภายใน 1-2 วัน หรือไม่แสดงอาการต่อต้านสถานที่ใหม่ๆ มากนัก
อาจจะมีการขยับแขนขาบ้าง แต่ไม่มากจนเกินไป สามารถนอนเล่นคนเดียวได้สักพัก
อาจจะมองตามของเล่นที่เคลื่อนไหวได้นานพอสมควร หรือสนใจฟังเสียงคุณพ่อคุณแม่พูดคุย
เมื่อคุณแม่เปลี่ยนยี่ห้อนม ลูกอาจจะทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมกินจนหมดขวด หรือเมื่อพาไปบ้านญาติครั้งแรก ลูกอาจจะมองสำรวจรอบๆ แต่ก็ไม่ได้ร้องไห้งอแงมากนัก
2. เด็กเลี้ยงยาก (Difficult Child)
ลูกอาจจะกินนมน้อยหรือไม่เป็นเวลา งอแงมากเมื่อหิว นอนหลับไม่เป็นเวลา ตื่นบ่อยในช่วงกลางคืน หรือหลับยาก
ลูกอาจจะตกใจง่ายมากกับเสียงดัง แสงจ้า หรือการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ อาจจะไม่ชอบการถูกอุ้ม ชอบดิ้นเมื่อถูกเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือร้องไห้เมื่ออาบน้ำ
ร้องไห้บ่อย ร้องเสียงดังและนาน อาจจะหงุดหงิดง่าย แสดงสีหน้าไม่พอใจบ่อยครั้ง ยิ้มและหัวเราะน้อย
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกิจวัตร เช่น เลื่อนเวลาป้อนนม หรือเปลี่ยนสถานที่ ลูกจะแสดงอาการต่อต้านอย่างชัดเจน ร้องไห้งอแงมาก อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะปรับตัวได้

อาจจะมีการเคลื่อนไหวแขนขา ดิ้น หรือร้องอยู่ตลอดเวลา ยากที่จะอยู่นิ่งๆ
อาจจะวอกแวกง่าย ไม่ค่อยสนใจของเล่นนานๆ หรือเปลี่ยนกิจกรรมบ่อย
เมื่อถึงเวลานอน ลูกอาจจะร้องไห้งอแงไม่ยอมนอน ต้องอุ้มกล่อมเป็นเวลานาน หรือเมื่อพาไปเจอคนแปลกหน้า ลูกอาจจะร้องไห้เสียงดังและกอดคุณแม่อย่างแน่น
3. เด็กปรับตัวช้า (Slow-to-Warm-Up Child)
ลูกอาจจะกินนมไม่มากในตอนแรก แต่จะค่อยๆ กินได้มากขึ้นเมื่อคุ้นเคย อาจจะนอนหลับไม่เป็นเวลาในช่วงแรก แต่จะค่อยๆ สร้างตารางเวลาได้
เมื่อมีเสียงดังหรือแสงจ้า ลูกอาจจะแสดงอาการตกใจเล็กน้อย แต่ไม่รุนแรงเท่าเด็กเลี้ยงยาก อาจจะไม่แสดงความชอบหรือไม่ชอบต่อการสัมผัสชัดเจนในตอนแรก
อาจจะแสดงอารมณ์ไม่ชัดเจนในช่วงแรก ไม่ค่อยยิ้มหรือร้องไห้มากนัก มักมีสีหน้าเฉยๆ
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงกิจวัตร หรือพาไปสถานที่ใหม่ๆ ลูกอาจจะดูไม่ค่อยพอใจ หรือเงียบไป ไม่ได้ต่อต้านรุนแรง แต่จะใช้เวลาในการสังเกตและทำความคุ้นเคยนานกว่าเด็กเลี้ยงง่าย

อาจจะมีการเคลื่อนไหวไม่มากนักในช่วงแรก ดูเหมือนจะชอบสังเกตการณ์มากกว่าลงมือทำ
อาจจะมองของเล่นหรือฟังเสียง แต่ไม่ได้แสดงความตื่นเต้นมากนัก จะค่อยๆ แสดงความสนใจเมื่อรู้สึกคุ้นเคย
เมื่อเริ่มให้อาหารเสริม ลูกอาจจะเม้มปากไม่ยอมกินในครั้งแรก แต่เมื่อลองซ้ำๆ ลูกจะค่อยๆ เปิดใจและยอมกินในที่สุด หรือเมื่อไปบ้านญาติครั้งแรก ลูกอาจจะเงียบและเกาะคุณแม่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็จะเริ่มสำรวจและเล่นกับคนอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม เด็กส่วนใหญ่อาจมีลักษณะนิสัยที่ผสมผสานกัน และลักษณะนิสัยเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้บ้างเมื่อลูกน้อยเติบโตขึ้น
วิธีเลี้ยงลูกให้เหมาะสมกับบุคลิกและลักษณะนิสัย
เมื่อเราเข้าใจลักษณะนิสัยพื้นฐานของลูกน้อยแล้ว การปรับวิธีการเลี้ยงดูให้เหมาะสมกับบุคลิกของเขาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการที่ดีในทุกด้าน ลองมาดูแนวทางเบื้องต้นสำหรับการเลี้ยงดูเด็กแต่ละประเภทกันค่ะ

เด็กเลี้ยงง่าย ควรเลี้ยงอย่างไร
- ส่งเสริมกิจวัตรที่สม่ำเสมอ: เด็กกลุ่มนี้จะรู้สึกปลอดภัยและมีความสุขกับตารางเวลาที่แน่นอน เช่น เวลากินนม เวลาเล่น และเวลานอน การมีกิจวัตรที่คาดการณ์ได้จะช่วยให้พวกเขามีความมั่นคงทางอารมณ์
- ให้ความรักและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง: เด็กเลี้ยงง่ายมักจะเปิดรับความรักและการดูแลเอาใจใส่ การแสดงความรักผ่านการกอด การสัมผัส และการพูดคุยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจะช่วยเสริมสร้างความผูกพันและความรู้สึกมั่นใจในตนเอง
- เปิดโอกาสให้เรียนรู้และสำรวจ: เนื่องจากเป็นเด็กที่ปรับตัวได้ดี คุณพ่อคุณแม่สามารถค่อยๆ แนะนำสิ่งใหม่ๆ หรือพาไปในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้และพัฒนาการของพวกเขา
เด็กเลี้ยงยาก ควรเลี้ยงอย่างไร
- สร้างกิจวัตรที่คาดการณ์ได้: แม้ว่าลูกอาจจะยังปรับตัวได้ยาก แต่การมีกิจวัตรที่สม่ำเสมอจะช่วยให้เขารู้สึกปลอดภัยและลดความกังวลลงได้ พยายามทำกิจกรรมต่างๆ ในเวลาเดิมๆ ทุกวัน
- ให้เวลาในการปรับตัว: เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง หรือต้องเผชิญกับสิ่งใหม่ๆ ให้เวลาลูกได้ค่อยๆ ทำความคุ้นเคย อย่าเร่งเร้าหรือกดดัน เพราะจะยิ่งทำให้เขารู้สึกต่อต้าน
- ยอมรับและเข้าใจอารมณ์ของลูกอย่างอดทน: เด็กเลี้ยงยากมักจะแสดงอารมณ์รุนแรง คุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามเข้าใจว่านั่นคือลักษณะนิสัยของเขา ตอบสนองด้วยความอดทนและใจเย็น พยายามปลอบโยนและช่วยให้เขาสงบลง
- อาจต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากมีความกังวล: หากคุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่าการเลี้ยงดูลูกยากเกินกว่าจะรับมือได้ หรือมีความกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการของลูก การขอคำแนะนำจากกุมารแพทย์ นักจิตวิทยาเด็ก หรือผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กจะเป็นประโยชน์อย่างมาก
เด็กปรับตัวช้า ควรเลี้ยงอย่างไร
- ให้เวลาและความอดทนในการทำความคุ้นเคยกับสิ่งใหม่ๆ: เด็กกลุ่มนี้ต้องการเวลามากกว่าเด็กคนอื่นๆ ในการทำความเข้าใจและยอมรับสิ่งใหม่ๆ อย่าเพิ่งท้อแท้หากลูกไม่ตอบสนองในทันที
- ค่อยๆ แนะนำสิ่งต่างๆ อย่างนุ่มนวล: เมื่อต้องการแนะนำสิ่งใหม่ๆ ให้ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทีละน้อย อาจจะเริ่มจากการให้ลูกมองดู สัมผัส หรือมีส่วนร่วมเล็กน้อยก่อน
- สร้างความรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจ: การแสดงความรัก ความเข้าใจ และการให้กำลังใจจะช่วยให้ลูกรู้สึกปลอดภัยและกล้าที่จะลองสิ่งใหม่ๆ ในที่สุด
ไม่ว่าลูกน้อยจะมีนิสัยแบบไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเลี้ยงดูด้วย ความเข้าใจ ความอดทน และการตอบสนองต่อความต้องการของลูกอย่างเหมาะสม แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากนักจิตวิทยาพัฒนาการหลายท่าน เช่น Mary Ainsworth ในทฤษฎีความผูกพัน (Attachment Theory) ซึ่งเน้นย้ำว่าการที่ผู้เลี้ยงดูตอบสนองต่อสัญญาณและความต้องการของเด็กอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสม จะช่วยสร้างความผูกพันที่มั่นคงและส่งผลดีต่อพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมของเด็ก
นอกจากนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย มั่นคง และส่งเสริมพัฒนาการของลูกน้อยในทุกด้าน ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่น การสนับสนุน และโอกาสในการเรียนรู้ จะช่วยให้เด็กทุกคนเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพค่ะ
อ้างอิง:
- Chess, S., & Thomas, A. (1977). Temperamental individuality from childhood to adult life. Brunner/Mazel.
- Ainsworth, M. D. S., Blehar, M. C., Waters, E., & Wall, S. (1978). Patterns of attachment: A psychological study of the strange situation. Lawrence Erlbaum Associates.
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ลูกติดแม่มาก จนไม่เป็นอันทำอะไร รับมือยังไง? ให้ลูกมั่นใจ ติดแม่น้อยลง
ห่วงเกินไป ใช่ว่าดี! วิจัยเผย ลูกที่ถูกเลี้ยงแบบตีกรอบ เสี่ยงซึมเศร้า และภาวะวิตกกังวล
ฮาร์วาร์ดชี้! เดือนเกิดลูกมีผลต่อสติปัญญา เด็กเกิด 3 เดือนนี้จะฉลาด!?
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!