คุณแม่ท่านหนึ่งได้โพสต์แชร์ประสบการณ์ พาลูกไปเที่ยวทะเล แล้วซื้อกุ้งเผามากินกัน ตกดึกน้องบอกแสบตา เปิดไฟดูอีกทีตกใจมาก ลูกแพ้กุ้ง ตาบวมหน้าบวม รีบหายาแก้แพ้มาให้น้องกิน และสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งคืน
คุณแม่ตัดสินใจโพสต์เล่าในครั้งนี้ เพราะอยากเตือนแม่ๆ ให้สังเกตอาการของลูกหลังกินอาหาร และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคุณแม่ท่านอื่นๆ ค่ะ
โดยคุณแม่ได้โพสต์รูปและข้อความว่า
ปกติน้อง ก็กินกุ้งประจำ แต่อาจจะปริมาณที่ไม่มาก แค่ 3-4 ตัว ข้าวผัดกุ้ง กุ้งกระเทียม กุ้งเผา
แต่พอเราไปทะเล ก็ซื้อกุ้งเผาหัวมันมากินช่วงกลางคืน
น้องชอบ ก็กินไปประมาณเกือบ 10 ตัวได้
กินเสร็จช่วงสองทุ่มครึ่ง เราเล่นริมทะเลก็ถึงช่วง สามทุ่มครึ่ง ความผิดปกติอะไรก็ไม่มี จนถึง เกือบห้าทุ่มก็ปิดไฟนอน พอปิดไฟ น้องบอกแสบตา แม่ก็บอกหลับตาเดี๋ยวก็หาย
แต่ระหว่างที่นอนอยู่ น้องก็ร้องเป็นช่วงๆว่า น้องแสบตาๆ
แม่ก็คิดว่าน้องละเมอ เพราะเล่นน้ำทะเลแล้วน้องกลัวน้ำเข้าตา เล่นทะเลสนุกจึงคิดว่าน้องละเมอและผวา คือพี่เล่นน้ำทีไรจะละเมอทุกทีเพราะสนุกและตื่นเต้น
แต่น้องก็ร้องแป๊ปๆก็หยุด เหมือนคนละเมอจริงๆ หลายครั้งเหมือนกัน
พอแม่ลุกมาเข้าห้องน้ำช่วงเกือบตี 2 ไฟสลัวๆ เลยมองไปที่หน้าน้องแล้วตกใจมาก หน้าน้องบวมตาบวมมาก หบ้าบวมจนถึงสันจมูก เรียบไปกับหน้า
บอกแฟนเปิดไฟ หน้าตาลูกบวม
แล้วยังกะในหนังเลยค่ะ ฝนตกฟ้าร้องแรงมากบอกเลยว่าตกหนักสุดๆ ฟ้าร้องฟ้าแลบ น่ากลัว
คิดทันทีลูกแพ้กุ้ง เพราะลูกกินเยอะมาก รีบเสิซเน็ต
เด็กแพ้กุ้ง…มันน่ากลัวจริงๆ ทั้งระบบหายใจอะไรน่ากลัวหมด แต่แม่ตั้งสติ อ่านข้อมูล น้องน่าจะมีแค่หน้าบวมตาบวม แต่ระบบหายใจไม่กระทบ
ถ้าระบบหายใจกระทบจะแบบเฉียบพลัน
แต่ระบบหายใจน้องคือปกติ
กังวลตกใจ เพราะฝนก็ตกหนัก
เราพักที่หาดน้ำใสที่พักทหาร
ห้ามออกนอกพื้นที่พักหลังสามทุ่มครึ่ง
แต่ถ้ามีเหตุฉุกเฉินก็โทรได้
แม่เตรียมยาสามัญทุกอย่างใส่กล่องไป แต่..ไม่มียาแก้แพ้ เพราะลูกๆไม่แพ้เคยอะไร ไม่ได้นึกถึงเลย
ระหว่างนั้น ลูกก็บอกเจ็บตาเป็นช่วงๆและกลัวเสียงฟ้าร้องดังมาก
แต่คือโชคยังดีคือดีสุดๆในกระเป๋าพ่อมียาแก้แพ้
ให้น้องกินครึ่งเม็ด น้องเก่งมากกินยาเม็ดได้
หลังจากกินยา น้องก็หลับสนิท แม่กับพ่อก็คอยสังเกตระบบหายใจของน้อง
ที่แม่ไม่ไปโรงพยาบาลทันที เพราะอ่านข้อมูลดูแล้ว
น้องไม่ใช่แพ้แบบเฉียบพลัน เพราะการแพ้แบบเฉียบพลันคือขั้นรุนแรง หายใจติดขัดแน่นหน้าอกตั้งแต่หลังทานเสร็จ
แต่น้องกินเสร็จตั้งแต่สองทุ่มครึ่ง มาบอกเจ็บตาช่วงห้าทุ่ม สะดุ้งเป็นช่วงๆร้องเจ็บตาเหมือนอารมณ์เด็กละเมอแล้วก็เงียบหลับต่อ ส่วนการหายใจไม่มีผิดปกติ
เช้ามา แม่ก็โทรหาคุณหมอเด็กที่พาน้องหาประจำ บอกอาการของน้อง คุณหมอก็แนะนำให้กินยาแก้แพ้ต่อ ต้องขอบคุณคุณหมอมากๆค่ะ
หน้าตาน้องบวม ประมาณ 4-5 วันเลยค่ะ ถึงกลับมาเป็นปกติ ไปทะเลนางแบบน้อยของแม่เลยไม่ได้มีรูปเยอะเพราะตาบวมหน้าบวม ภาพที่เห็นคือหลังจากกินยาแก้แพ้แล้ว ช่วงที่บวมตอนที่แม่เห็นตอนแรกบวมเปล่งกว่านี้ค่ะ
อุทาหรณ์ครั้งนี้เลยมาแชร์ไว้
บางทีเราไม่คาดคิด เลยอยากเตือนแม่ๆ ให้สังเกตอาการลูกและระวังในอาหารการกิน บางทีอะไรที่มันเยอะๆเกินไปก็เป็นอันตรายโดยเราไม่คาดคิด
ปล.เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านมาตั้งแต่ช่วง 2 พ.ค.ค่ะ
แม่ก็ลังเลจะลงดีมั๊ย เพราะอาจจะมีดราม่าหลายอย่างในโลกโซเชียล คือแม่รักลูกมากค่ะ ไม่แพ้แม่ท่านอื่น
การแสดงความเห็นมีหลายมุม
ใจแม่ต้องเข้มแข็งก่อนที่จะลงโซเชียล
แต่ที่ตัดสินใจลงเพราะเคสน้องอาจจะมีประโยชน์ในการเตือนแม่ๆท่านอื่นค่ะ
ทีมงาน theAsianparent ขอขอบคุณคุณแม่ที่อนุญาตในนำเรื่องราว ลูกแพ้กุ้ง ในครั้งนี้มาเผยแพร่ค่ะ
โดยหลังจากคุณแม่ได้โพสต์แชร์ประสบการณ์ ลูกแพ้กุ้ง ก็มีคุณพ่อคุณแม่ชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางค่ะ โดยส่วนหนึ่งคาดการณ์ว่า น้องอาจแพ้น้ำยาแช่กุ้ง เพราะปกติน้องกินกุ้งได้ไม่เคยแพ้ รวมถึงแนะนำให้คุณแม่ไปตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุการแพ้ต่อไป
———————-
อาการแพ้อาหารมีกี่แบบ
อาการแพ้อาหารสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและระยะเวลาในการแสดงอาการ
1. แพ้อาหารแบบเฉียบพลันและรุนแรง (Anaphylaxis)
อาการแพ้ประเภทนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาทีหรือเป็นชั่วโมงหลังการสัมผัสหรือบริโภคอาหารที่แพ้ โดยมีอาการที่รุนแรงและมักแสดงออกพร้อมกันหลายระบบ
- ผิวหนัง: พบได้บ่อยที่สุด คือ ผื่นแดง, ผื่นลมพิษ ที่กระจายทั่วร่างกาย โดยเฉพาะที่ใบหน้า คอ แขน ขา หรือมี อาการบวม เช่น ตาบวม หรือ ปากบวม ซึ่งเป็นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันอย่างรวดเร็ว
- ระบบทางเดินหายใจ: อาจมีอาการ หลอดลมอักเสบ หรือบวม ทำให้ หายใจลำบาก, หอบ, หายใจมีเสียงหวีด, ไอ, เจ็บคอ, คันคอหรือจมูก, กล่องเสียงบวม ทำให้ เสียงแหบ
- ระบบทางเดินอาหาร: มักมีอาการทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้, อาเจียนอย่างรุนแรง, ท้องเสีย, หรือ ปวดท้อง
- ระบบไหลเวียนโลหิต: ในกรณีที่รุนแรงที่สุด อาจเกิดภาวะ ช็อก, หมดสติ หรือ เป็นลม ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การรับมือ: ผู้ป่วยที่มีอาการแพ้อาหารรุนแรงจำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์ทันที ควรโทร 1669 หรือติดต่อโรงพยาบาลที่ดูแลประจำ และรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยเร็วที่สุด ในบางรายที่มีประวัติแพ้รุนแรง อาจมียาฉีดฉุกเฉิน อะดรีนาลิน พกติดตัว และควรฉีดทันทีเมื่อมีอาการ หรืออาจทานยาแก้แพ้ชนิดรุนแรง (antihistamine) ตามที่แพทย์แนะนำ เพื่อป้องกันภาวะฉุกเฉินที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
2. แพ้อาหารแบบเฉียบพลันแต่ไม่รุนแรง
อาการแพ้ประเภทนี้จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วคล้ายกับแบบแรก แต่ความรุนแรงของอาการจะน้อยกว่า และมักมีอาการเพียงอย่างเดียวหรือสองอย่าง เช่น
- ผื่นลมพิษ หรือ ผื่นแดง ขึ้นเพียงเล็กน้อย
- ตาบวม หรือ ปากบวม (โดยไม่มีอาการทางเดินหายใจรุนแรง)
- อาเจียน หรือ ถ่ายเหลว เพียงเล็กน้อย
การรับมือ: เมื่อมีอาการ สามารถทานยาแก้แพ้เบื้องต้นได้ พร้อมทั้งบันทึกรายละเอียดของอาหารที่สงสัย รูปภาพอาการ และเวลาที่เกิดอาการไว้ จากนั้นควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
3. แพ้อาหารแบบไม่เฉียบพลัน
อาการแพ้ชนิดนี้จะไม่แสดงออกอย่างรวดเร็ว แต่จะเป็นอาการแพ้แบบไม่รุนแรงแต่เรื้อรัง อาจเกิดขึ้นช้าๆ เป็นชั่วโมงหรือเป็นวันหลังรับประทานอาหารที่แพ้ โดยมักแสดงออกผ่านอาการทางผิวหนังหรือระบบอื่นๆ
- ผิวหนัง: อาจมี ผื่นแพ้ ค่อยๆ เกิดขึ้นบริเวณแก้ม แขน ขา หรือข้อพับ ผิวแห้ง, มีผื่นเม็ดเล็กๆ, หรือผื่นที่มีลักษณะเหวอะแฉะ มีน้ำเหลือง
- ระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง: อาจมีอาการ น้ำมูกเรื้อรัง, นอนกรน หรือมี เสมหะ
- ระบบทางเดินอาหาร: บางรายอาจมีอาการปวดท้อง, ท้องอืด หรือท้องเสียเรื้อรัง
การรับมือ: หากสงสัยว่ามีอาการแพ้อาหารแบบไม่เฉียบพลัน ควรลอง งดอาหารที่สงสัยว่าก่อให้เกิดการแพ้ และรีบมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำในการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การทดสอบภูมิแพ้หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารอาจจำเป็นเพื่อจัดการกับอาการแพ้ประเภทนี้
ที่มา : โรงพยาบาลกรุงเทพหัวหิน
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!
