10 วิธีจัดการกับปัญหาเมื่อลูกทะเลาะกัน
เคล็ดลับเหล่านี้เป็นเคล็ดลับในการเลี้ยงดูลูกที่ไม่เพียงช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ทักษะทางสังคมและฝึกฝนให้ลูกรู้วิธีในการจัดการตัวเองเมื่อเจอกับปัญหาความขัดแย้ง แต่ยังช่วยให้คุณไม่ต้องทนกับการทะเลาะหรือโต้เถียงกันเองของลูก ๆ ได้

1. ตั้งกฎ “ไม่ทะเลาะกัน”
ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุด และคุณสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเลี้ยงลูกได้โดยการตั้งกฎพื้นฐานสำหรับการประพฤติตัวของลูก คุณรู้จักกฎ “ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่คุณอยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อคุณ” หรือไม่ คุณสามารถที่จะตั้งกฎของคุณที่คล้ายกับกฎต่าง ๆ ด้านล่างนี้ได้:
1.1 รักพี่น้องของตัวเองเสมอ
1.2 ทำให้ห้องตัวเองสะอาดและเป็นระเบียบอยู่เสมอ
1.3 ทำความสะอาดสิ่งของหลังจากใช้งานและเอากลับไปไว้ที่ที่มันควรอยู่
1.4 ไม่ทะเลาะกัน ไม่กัดกัน ไม่ถ่มน้ำลายใส่กัน ไม่สาปแช่งกัน
1.5 เคารพในทรัพย์สินของผู้อื่น ฯลฯ
คุณสามารถสร้างกฎเหล่านี้กับลูก ๆ ของคุณได้ ให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมและให้เขาได้เป็นเจ้าของกฎของตัวเอง เมื่อพวกเขารู้สึกว่าตนเองได้รับอำนาจและเป็นเจ้าของกฎของตัวเอง นั่นจะทำให้พวกเขาสามารถปฏิบัติตามกฎที่คุณตั้งได้ง่ายขึ้น คุณอาจพูดคุยและอธิบายกฎที่คุณได้สร้างขึ้นให้พวกเขาฟัง ให้ลูกพิมพ์กฎเหล่านี้และเอาไปติดตามที่ต่าง ๆ ที่ทุกคนมองเห็น เช่น ที่ตู้เย็น หากมีลูกคุณบางคนยังอ่านกฎเหล่านี้ไม่ออก ก็ไม่เป็นไร เขาอาจแกล้งทำเป็นอ่านออกเพราะเขาต้องรู้กฎเหล่านี้ด้วยความรู้สึกของเขาเอง
1.1 รักพี่น้องของตัวเองเสมอ
1.2 ทำให้ห้องตัวเองสะอาดและเป็นระเบียบอยู่เสมอ
1.3 ทำความสะอาดสิ่งของหลังจากใช้งานและเอากลับไปไว้ที่ที่มันควรอยู่
1.4 ไม่ทะเลาะกัน ไม่กัดกัน ไม่ถ่มน้ำลายใส่กัน ไม่สาปแช่งกัน
1.5 เคารพในทรัพย์สินของผู้อื่น ฯลฯ
คุณสามารถสร้างกฎเหล่านี้กับลูก ๆ ของคุณได้ ให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมและให้เขาได้เป็นเจ้าของกฎของตัวเอง เมื่อพวกเขารู้สึกว่าตนเองได้รับอำนาจและเป็นเจ้าของกฎของตัวเอง นั่นจะทำให้พวกเขาสามารถปฏิบัติตามกฎที่คุณตั้งได้ง่ายขึ้น คุณอาจพูดคุยและอธิบายกฎที่คุณได้สร้างขึ้นให้พวกเขาฟัง ให้ลูกพิมพ์กฎเหล่านี้และเอาไปติดตามที่ต่าง ๆ ที่ทุกคนมองเห็น เช่น ที่ตู้เย็น หากมีลูกคุณบางคนยังอ่านกฎเหล่านี้ไม่ออก ก็ไม่เป็นไร เขาอาจแกล้งทำเป็นอ่านออกเพราะเขาต้องรู้กฎเหล่านี้ด้วยความรู้สึกของเขาเอง

2. มีความสม่ำเสมอ
อย่าให้อารมณ์ของคุณตัดสินสิทธิในการปฏิบัติตามกฎเหล่านี้ ไม่ว่าคุณจะเหนื่อยหรือยุ่งมากแค่ไหน หากมีการละเมิดกฎ คุณจะต้องเข้าไปอบรมสั่งสอนลูกที่เกี่ยวเนื่องกับการละเมิดกฎนั้น ๆ หากคุณไม่เข้มงวดในเรื่องการทำผิดกฎเหล่านี้ มันจะทำให้ลูกรู้สึกว่าพวกเขาสามารถทำผิดกฎได้ในบางครั้ง

3. ให้ความสนใจพวกเขา (ไม่ใช่ในขณะที่พวกเขากำลังทะเลาะกัน)
คุณจำประประโยคนี้ได้หรือไม่? “ถึงรึยัง?” เมื่อสมาชิกในครอบครัวอยู่ในระหว่างการเดินทางที่กินเวลานาน เด็ก ๆ ก็จะเริ่มกวนใจพ่อแม่ด้วยคำถามนี้ พวกเขาจะเริ่มด้วยอาการหงุดหงิด เถียงกัน และทะเลาะกันในที่สุด พฤติกรรมเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นหากคุณพูดคุยกับลูกหรือพาลูกเล่นเกมส์ในระหว่างการเดินทาง
เด็กที่รู้สึกถึงความรัก การดูแล และความเอาใจใส่ที่เพียงพอจากพ่อแม่นั้นมักจะทะเลาะกันน้อยกว่า ไม่ว่าจะอยู่ในรถหรืออยู่ที่บ้าน คุณก็ควรให้ความสนใจพวกเขาอยู่เสมอ ก็อย่างที่รู้กันว่าเด็กทะเลาะกันเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณ (ถึงแม้ว่าคุณอาจไม่ให้พวกเขา) หากคุณมีลูกมากกว่าหนึ่งคน คุณควรเป็นหนึ่งใน “แก๊งค์” ของพวกเขา และแบ่งเวลาเพื่อเล่นเป็นเพื่อนลูกโดยไม่ได้ทำตัวเป็นพ่อหรือแม่สักพัก และมันอาจจะดีกว่าด้วยหากคุณสามารถที่จะให้เวลาและความใส่ใจกับลูกแต่ละคน บอกรักเขาเสมอ กอดเขาให้มากเท่าที่คุณมีโอกาส
เด็กที่รู้สึกถึงความรัก การดูแล และความเอาใจใส่ที่เพียงพอจากพ่อแม่นั้นมักจะทะเลาะกันน้อยกว่า ไม่ว่าจะอยู่ในรถหรืออยู่ที่บ้าน คุณก็ควรให้ความสนใจพวกเขาอยู่เสมอ ก็อย่างที่รู้กันว่าเด็กทะเลาะกันเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณ (ถึงแม้ว่าคุณอาจไม่ให้พวกเขา) หากคุณมีลูกมากกว่าหนึ่งคน คุณควรเป็นหนึ่งใน “แก๊งค์” ของพวกเขา และแบ่งเวลาเพื่อเล่นเป็นเพื่อนลูกโดยไม่ได้ทำตัวเป็นพ่อหรือแม่สักพัก และมันอาจจะดีกว่าด้วยหากคุณสามารถที่จะให้เวลาและความใส่ใจกับลูกแต่ละคน บอกรักเขาเสมอ กอดเขาให้มากเท่าที่คุณมีโอกาส

4. สอนให้ลูกสื่อสารได้อย่างเหมาะสม
จงจำไว้ว่าความขัดแย้งเกิดขึ้นจากขาดการสื่อสารที่เหมาะสม หรือขาดการสื่อสารกัน การสื่อสารกันได้อย่างเหมาะสมเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่ดี แม้กระทั่งในหมู่เด็กด้วยกัน เขาจะแสดงความเป็นตัวเขาเอง เด็กสามารถโน้มน้าวและชักจูงพี่หรือน้องให้ออกจากสถานการณ์ความขัดแย้งได้ การที่เขาไม่สามารถแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้จะทำให้เขาเกิดความหงุดหงิดและทะเลาะกับคนอื่นได้

5. สอนให้เด็กรู้จักเห็นใจคนอื่น
การสอนนี้เป็นการสอนให้ลูกคุณมี “ความรู้สึก” เมื่อลูกพูดว่า “หนูเกลียดพี่” คุณควรอธิบายให้เขาฟังว่าการเกลียดนั้นแตกต่างจาก “ความโกรธ” คุณอาจบอกลูกว่า “ลูกไม่ได้เกลียดพี่หรอก ลูกรักพี่ แต่ลูกแค่โกรธพี่ที่เขาแย่งของเล่นลูกเท่านั้นเอง” นี่เป็นวิธีการแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจในความรู้สึกของลูกน้อย ลูกจะรู้สึกขอบคุณที่คุณเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร และนี่จะกลายเป็นพื้นฐานในการพัฒนาความเห็นอกเห็นใจของลูกที่มีต่อคนอื่น
คุณอาจอธิบายให้ลูกฟังว่าเด็กคนอื่นรู้สึกอย่างไร “แม่คิดว่าเขาคงรู้สึกแย่มากแน่ ๆ เลย เพราะเขาร้องไห้ด้วย มันคงจะดีถ้ามีใครปลอบใจเขา” และหากลูกคุณสามารถที่จะปลอบใจคนอื่นได้ นั่นแสดงว่าเขาสามารถหยุดคิดทบทวนได้เมื่อเขารู้สึกว่าอยากจะทำร้ายคนอื่น
คุณอาจอธิบายให้ลูกฟังว่าเด็กคนอื่นรู้สึกอย่างไร “แม่คิดว่าเขาคงรู้สึกแย่มากแน่ ๆ เลย เพราะเขาร้องไห้ด้วย มันคงจะดีถ้ามีใครปลอบใจเขา” และหากลูกคุณสามารถที่จะปลอบใจคนอื่นได้ นั่นแสดงว่าเขาสามารถหยุดคิดทบทวนได้เมื่อเขารู้สึกว่าอยากจะทำร้ายคนอื่น

6. สอนความคิดเรื่อง “ทุกฝ่ายได้ประโยชน์” ให้กับลูก
อาจเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้ลูกได้เข้าใจว่าโลกไม่ได้หมุนรอบตัวพวกเขา ดังนั้น การสอนให้ลูกรู้จักเจรจาและประนีประนอมนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ หนึ่งในบทเรียนที่คุณสามารถใช้สอนลูกได้นั่นคือ ลูกจะไม่ได้ทุกอย่างที่ลูกอยากได้ บางครั้งลูกต้องใช้ความพยายามหรือทำบางอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ลูกต้องการ
หากลูกทะเลาะกันเพื่อที่จะได้นั่งที่นั่งหน้าของรถ คุณอาจสอนให้ลูกผลัดเปลี่ยนกันหรือให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอบางอย่างเพื่อแลกกับการได้นั่งที่นั่งด้านหน้า
หากลูกทะเลาะกันเพื่อที่จะได้นั่งที่นั่งหน้าของรถ คุณอาจสอนให้ลูกผลัดเปลี่ยนกันหรือให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสนอบางอย่างเพื่อแลกกับการได้นั่งที่นั่งด้านหน้า

7. สอนให้ลูกรู้คุณค่าของความอดทนและการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น
หากทั้งหมดที่กล่าวมาใช้ไม่ได้ผล พวกเขาอาจต้องใช้ความอดทนเพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อยหรือยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นเพิ่มขึ้น หากคุณตั้งกฎ “รักพี่น้องของตัวเองเสมอ” ความอดทนและการยอมรับในความคิดเห็นของคนอื่นมักเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ คุณสามารถสอนลูกให้รู้จักแบ่งปัน (เช่น แบ่งปันเค้ก) หรือรู้จักให้ นอกจากนี้ เรียนรู้การเจรจา การรู้จักอดทนและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่นนั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาควบคู่กันไป

8. อย่าเข้าไปยุ่ง
อย่าเข้าไปยุ่งการทะเลาะกันของพี่น้องเพื่อที่จะหยุดการทะเลาะเบาะแว้ง ให้พวกเขาจัดการต่อสู้กันเอง เพราะหากคุณยื่นมือเข้าไปยุ่งตลอดเวลา พวกเขาจะต่อสู้กันได้ตลอดเวลาเพราะพวกเขาจะคิดว่าคุณจะอยู่ที่นั่นด้วยเพื่อยุติการทะเลาะกัน พวกเขาจะไม่เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง นี่ฟังดูเหมือนยาก แต่ตราบเท่าที่ไม่มีความอันตรายทางด้านร่างกาย คุณอาจให้พวกเขาได้เรียนรู้ว่าการก่อเรื่องนั้นเป็นอย่างไร หลังจากนั้นคุณก็เตือนพวกเขาให้นึกถึงกฎพื้นฐานที่ไม่ให้มีการทะเลาะกันและบอกให้ลูกแก้ปัญหาความเห็นที่แตกต่างด้วยตัวของพวกเขาเอง คุณสามารถตัดสินใจในภายหลังว่าควรมีการ “ลงโทษ” สำหรับการไม่ปฏิบัติตามกฎหรือไม่ แต่ไม่ควรลงโทษก่อนที่พวกเขาจะมีการทะเลาะกัน
โดยปกติแล้ว สิ่งแรกที่คนเป็นพ่อหรือแม่มักทำคือการถามว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน อย่าทำเช่นนั้น! เพราะมันไม่สำคัญที่ใครเริ่มต้นทะเลาะก่อน ต่างฝ่ายต่างมีส่วนร่วมในการทะเลาะเบาะแว้งครั้งนี้ ดังนั้น ทุกคนต้องมีส่วนในการรับผิดชอบ แต่ในกรณีที่ลูกคนโตรังแกลูกที่เล็กกว่านั้นคนละเรื่องกัน มันเป็นการรังแก ไม่ใช่การทะเลาะกัน
โดยปกติแล้ว สิ่งแรกที่คนเป็นพ่อหรือแม่มักทำคือการถามว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน อย่าทำเช่นนั้น! เพราะมันไม่สำคัญที่ใครเริ่มต้นทะเลาะก่อน ต่างฝ่ายต่างมีส่วนร่วมในการทะเลาะเบาะแว้งครั้งนี้ ดังนั้น ทุกคนต้องมีส่วนในการรับผิดชอบ แต่ในกรณีที่ลูกคนโตรังแกลูกที่เล็กกว่านั้นคนละเรื่องกัน มันเป็นการรังแก ไม่ใช่การทะเลาะกัน

9. ทำตัวเป็นตัวอย่าง
หากคุณสร้างกฎการ “ไม่ทะเลาะกัน” แต่เด็กเห็นคุณทะเลาะกับสามีหรือภรรยาของคุณ คุณไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำตัวให้เป็นตัวอย่าง แต่คุณเองนั่นแหละที่แหกกฎ

10. สร้างความสุขและสนุกสนานในครอบครัว
หากคุณสามารถสร้างความสุขและทำให้ครอบครัวสนุกสนานอยู่เสมอ สิ่งอื่น ๆ จะตามมา ลูก ๆ จะไม่ทะเลาะกัน และทุกคนก็จะรักกันมากขึ้น
ถัดไป
บทความโดย
theAsianparent Editorial Team
แชร์ :