แม่ ๆ ทราบกันหรือไม่คะว่า แมลงสาบที่พบในบ้านเรา ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์อเมริกัน ที่สามารถแพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว หากเราเห็นแมลงสาบในบ้าน 1 ตัว เท่ากับยังมีอยู่ในรังอีก 10-800 ตัว สารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบจะมาจากส่วนต่าง ๆ ทั้งจากตัวมันเอง และส่วนต่าง ๆ ของแมลงสาบ เช่น ปีก หนวด ไข่ รวมทั้งสิ่งที่ขับถ่ายออกมา หรือจากสารคัดหลั่งของแมลงสาบ
ที่มา : mgronline.com
แม้โรคภูมิแพ้ จะเป็นโรคที่ไม่สามารถติดต่อกันได้ แต่ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคคือ กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม จะมีสักกี่คนที่ทราบว่า สิ่งแวดล้อมที่กล่าวถึงนั้น รวมถึงบ้านพักอาศัยด้วย เพราะในบ้านมีสารก่อภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ ฝุ่นบ้าน ขนสัตว์ ฯลฯ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “แมลงสาบ” ที่เปรียบเสมือนมัจจุราชเงียบภายในบ้านที่หลาย ๆ คนมักมองข้าม คนแทบทุกเพศทุกวัยถือเป็นกลุ่มเสี่ยงกับโรคภูมิแพ้แมลงสาบด้วยกันทั้งสิ้น ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงก็ได้แก่สภาพความเป็นอยู่ จากการสำรวจพบว่า ในส่วนที่เป็นครัวจะมีสารก่อภูมิแพ้จากแมลงสาบมากที่สุด รองลงมาคือ ห้องนั่งเล่นและห้องนอน
จากการศึกษาผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลศิริราชที่ผ่านมา พบว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้นั้นมักมีสาเหตุมาจากแมลงสาบมากถึง 44 – 60 % ของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ทั้งหมด
อาการภูมิแพ้แมลงสาบ เป็นอย่างไร
อาการที่พบนั้นได้แก่ คันที่ผิวหนัง คอ ตาและจมูก ที่พบบ่อยคือ โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้หรือโรคแพ้อากาศ (Allergic rhinitis) และโรคหืด (asthma) ซึ่งมักมีอาการเกิดขึ้นได้ตลอดปี หากเกิดอาการในกลุ่มเด็กจะมีความรุนแรงมากกว่า อาจทำให้เกิดโรคหอบหืดและหายใจไม่ออก จนต้องไปโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉินหรือเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และมีโอกาสเสียชีวิตได้ถ้านำส่งโรงพยาบาลไม่ทัน
แพทย์จึงมักแนะนำให้ผู้ป่วยกำจัดหรือลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือได้รับสารก่อภูมิแพ้อย่างมุ่งมั่นและจริงจัง ถือเป็นส่วนสำคัญที่สุดในการรักษาโรคภูมิแพ้
การกำจัดแมลงสาบต้องอาศัยหลายวิธีร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม โดยการรักษาความสะอาด กำจัดขยะและเศษอาหาร การควบคุมโดยใช้สารเคมี และใช้อุปกรณ์กำจัดแมลงสาบ
อย่างไรก็ตามโรคภูมิแพ้คือโรคหนึ่งที่พบว่ามีแนวโน้มผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น สาเหตุเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป สิ่งที่เป็นปัญหาของการเข้ารับการรักษาของผู้ป่วยนั้น ส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าในบ้านจะมีสารก่อภูมิแพ้ใด จึงทำให้แพทย์เกิดแนวคิดในการทำชุดทดสอบต่าง ๆ เพื่อตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ในบ้านโดยเฉพาะเพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในอดีตจะใช้ชุดตรวจสอบจากต่างประเทศซึ่งเป็นแมลงสาบคนละสายพันธุ์กับไทย ทำให้ไม่ได้มาตรฐาน แต่วันนี้เราสามารถพัฒนาน้ำยาดังกล่าวได้สำเร็จ และนำมาใช้ในการตรวจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้คณะผู้วิจัยนำโดย ศาสตราจารจารย์ ดร.วันเพ็ญ ชัยคำภา ยังได้พัฒนาวัคซีนโดยการนำโปรตีนของแมลงสาบกว่า 20 ชนิด มาตรวจสอบว่าชนิดใดก่อให้เกิดภูมิแพ้ เมื่อทราบว่าโปรตีนจากแมลงสาบชนิดใดที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้และเป็นโปรตีนที่ไม่พบในคน จึงนำมาพัฒนาเป็นวัคซีนต้นแบบสำหรับการรักษาโรคภูมิแพ้แมลงสาบได้สำเร็จเรียกว่า วัคซีนดีเอ็นเอ โดยการนำดีเอ็นเอที่สร้างโปรตีนแมลงสาบมาเชื่อมกับดีเอ็นเอของสารช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของคน ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนในผู้ป่วย
แม้ว่าภูมิแพ้จะได้รับการรักษาแล้ว แต่ไม่อาจพูดได้ว่าหายขาด 100 % จากข้อมูลที่ผ่านมา มีเด็กประมาณ 30 – 50 % ถ้าได้รับการดูแลรักษาดี โตขึ้นอาจหายได้ แต่ในรายที่ไม่หายขาด สามารถดูแลรักษาไม่ให้อาการกำเริบได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณคะ ถ้าไม่อยากให้ลูกหลานหรือตัวคุณเองเป็นภูมิแพ้แมลงสาบละก็ อย่าลืมหมั่นทำความสะอาด ดูแลสิ่งแวดล้อมภายในบ้านกันนะคะ
ที่มา: Manager.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
โปรตีนในนมแม่ช่วยลูกห่างไกลจากโรคภูมิแพ้
ภูมิแพ้ระยะยาว ป้องกันได้ตั้งแต่แรกเกิด
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!