เขกกะโหลก ตบหัวลูก โบราณว่าจะทำให้ลูกไม่สบายบ่อย ฉี่รดที่นอนบ่อย? พ่อแม่ที่ชอบ เขกกะโหลก ตบหัวลูก ทำร้ายรังแกลูก ในสมัยก่อนนั้นคนโบราณมีกุศโลบายที่แยบยลมาเป็นคำเตือนที่ห้ามไม่ให้พ่อแม่ทำร้ายลูกหลานตัวเอง ด้วยคำพูดว่า “อย่าไปตีหัวลูกนะ เดี๋ยวคืนนี้มันจะฉี่รดที่นอน” นอกจากนี้ยังว่า ถ้าเขกหัวลูกจะทำลูกมีเคราะห์ร้าย ทำให้ขวัญเด็กหนีจากตัวไป ส่งผลทำให้เด็กเจ็บป่วยง่าย ไม่สบายบ่อย ๆ ทำให้เด็กไม่ฉลาด เรียนรู้ช้า ซึ่งอุบายนี้ได้กลายมาเป็นข้อห้ามที่ไม่ให้พ่อแม่คอยเอาแต่เขกหัวลูก โดยเฉพาะกับเด็กเล็ก
พ.ญ.เพียงทิพย์ พรหมพันธุ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาล สมิติเวช ศรีนครินทร์ ได้อธิบายว่า การตบ ตี หรือเขกศีรษะลูกนั้นนอกจากจะทำให้เด็กรู้สึกเจ็บมากแล้ว บางครั้งการใช้ความรุนแรงอาจทำให้สมองของเด็กกระทบกระเทือนได้ ถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ขวบ เพราะกระหม่อมเด็กยังปิดไม่สนิท หัวหรือกระโหลกของเด็กนั้นยังไม่แข็งแรงพอ และอีกอย่างการตบหัว ตีหัวที่ถือว่าศีรษะเป็นของสูงนั้น ถือเป็นสิ่งไม่ดีและกิริยามารยาทไม่ดี การที่พ่อแม่ทำแบบนี้ก็จะมีส่วนให้ลูกจดจำนำไปทำกับผู้อื่นซึ่งก็จะส่งผลไม่ดีต่อตัวเด็กเอง
หัว ของลูก อย่าไปตีเลย ตบหัว อันตรายเปล่า ๆ
ส่วนความเชื่อที่ว่า การตีหัวลูกจะทำให้เด็กฉี่รดที่นอนหรือขวัญหายนั้น อธิบายได้ว่า ลูกที่ถูกตีนั้นบางครั้งอาจพ่วงด้วยการถูกดุ ซึ่งก็ส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจไปด้วย จนทำให้ตอนกลางคืนเก็บไปฝันร้ายหรือระบายความรู้สึกที่ไม่สบายใจ ออกมาด้วยการปัสสาวะรดที่นอนก็เป็นได้ ในหลักทางจิตวิทยากุศโลบายในเรื่องนี้ก็คือคือความหวังดีของคนโบราณ แต่ยังไม่มีคำอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะสาเหตุที่แท้จริงของการฉี่รดที่นอนนั้นร้อยละ 85 มาจากพันธุกรรม และเป็นได้โดยธรรมชาติของเด็ก เมื่ออายุ 2-3 ขวบ จะมีเพียง 1 ใน 3 ที่ยังปัสสาวะรดที่นอน และจะหายไปเมื่อเข้าสู่อายุ 6 ขวบ แต่หากยังไม่หายอาจเป็นภาวะที่เกิดจากการควบคุมการปัสสาวะไม่ได้ ซึ่งพบในเด็กอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป หากพบว่าลูกในวัยนี้มีการปัสสาวะรดที่นอน ควรพาลูกไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะคะ.
การกระทำพ่อแม่ ตบหัว ทำร้ายจิตใจลูก แบบไม่รู้ตัว!!!
การกระ ทำพ่อแม่ ทำร้ายจิตใจลูก หากพ่อแม่อยากให้ลูกเติบโตขึ้นอย่างคนที่ “เก่ง ดี มีสุข” คนสำคัญที่จะสามารถสร้างให้ลูกได้ ก็คือพ่อแม่ แต่บางครั้งพ่อแม่อาจมองข้ามการกระทำของตัวเองที่ส่งไปให้ลูก การกระทำของพ่อแม่ที่อาจทำร้ายจิตใจลูก โดยไม่รู้ตัว มาให้ทราบกันค่ะ
การกระทำ พ่อ แม่ ทำร้ายจิตใจลูก แบบไม่รู้ตัว!!!
ด้วยความรักของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกได้ดีมีอนาคตสดใส บางครั้งอาจจะเพลี่ยงพล้ำใส่อารมณ์กับลูก จนหลุดคำพูด หรือการกระทำที่ไม่ดีจนไปกระทบกับจิตใจของลูก ซึ่งพ่อแม่รู้กันหรือไม่ว่าคำพูด หรือการกระทำที่ไม่ดี สามารถสร้างปมในใจลูกไปจนโตได้ และต่อให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ได้ดีแค่ไหน เขาก็จะมีคำพูดร้ายๆ จากพ่อแม่ที่คอยหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา คำพูดที่ไม่ดี การกระทำที่แย่ๆ จากพ่อแม่ คือตัวขัดขวาง เป็นเสมือนอุปสรรคให้ลูกไปไม่ถึงฝั่งฝัน และไม่ประสบความสำเร็จกับทุกเรื่องในชีวิต
กำลังใจที่ดีและสำคัญที่สุดในชีวิตลูก ก็คือพ่อกับแม่ แล้วถ้าหากคุณกำลังทำหน้าที่พ่อแม่ให้กับหนึ่งชีวิตน้อยๆ ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ คุณจะไม่อยากเห็นลูกที่รักเติบโตขึ้นอย่างเด็กที่มีคุณภาพกันหรือคะ และนี่คือเรื่องที่พ่อแม่ส่วนใหญ่อาจทำร้ายจิตใจลูกไปโดยไม่รู้ตัว
1. ไม่เคยรับฟังความคิดเห็นของลูก
เวลาทานข้าวนอกบ้านคุณเคยถามลูกไหมว่าเขาอยากทานอะไรเป็นพิเศษ เมนูโปรดของลูกคืออะไร?
ไปเที่ยวช่วงปิดเทอม คุณเคยถามลูกไหมว่าอยากไปทะเล น้ำตก หรือภูเขา?
อยากให้ลูกเรียนกิจกรรมเสริม คุณเคยถามลูกไหมว่าเขาอยากเรียนหรือเปล่า? ลูกสนใจศิลปะ เต้นบัลเล่ หรือดนตรี?
และอีกสารพัดเรื่องเกี่ยวกับลูก พ่อแม่ลองถามตัวเองกันก่อนว่า แท้จริงแล้วคุณรู้อะไรที่เป็นตัวตนของลูกจริงๆ แค่ไหน หรือไม่เคยรู้เลย เพราะไม่เคยถามลูก ทุกอย่างที่ลูกทำนั้นคือสิ่งที่พ่อแม่ยัดเยียดให้ โดยที่ไม่รู้ว่าลูกอยากทำ อยากเป็น อยากได้จริงๆ ไหม
หากพ่อแม่ไม่เคยเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นบ้างเลย เมื่อถูกสะสมมากๆ เข้า ลูกจะเติบโตขึ้นอย่างเด็กที่คิดไม่เป็น และไม่มีความสุข เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่พ่อแม่กำหนดให้เท่านั้น การปิดกั้นความคิดของลูก ก็เท่ากับเป็นการปิดกั้นไม่ให้เด็กคนหนึ่งมีอนาคตตามแบบฉบับที่แท้จริงของเขาเอง
2. มีถ้อยคำรุนแรงให้ลูกตลอดเวลา
ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่าเด็กแต่ละคนถึงแม้จะอยู่ในช่วงวัยเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีพฤติกรรม คำพูด การกระทำ หรือมีพัฒนาการทักษะทุกด้านเก่งเหมือนกัน เพราะเด็กแต่ละคนเขาก็จะมีความสามารถ ความถนัดเฉพาะเรื่อง เฉพาะทางของเขา หรือบางครั้งลูกอาจจะทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ โดยที่ลูกเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่อยากจะทำให้ความผิดพลาดเกิดขึ้น เช่น ทำแก้วแตก เล่นแล้วลืมเก็บของเล่น ทานข้าวไม่หมดจานเพราะแม่ตักให้ข้าวมากไป ฯลฯ
ทุกการกระทำของลูกไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อย หรือเรื่อใหญ่แค่ไหน สิ่งที่พ่อแม่ควรทำกับลูกคือการตั้งตั้งสติ แล้วค่อยๆ บอก ค่อยๆ สอนชี้แนะลูกว่าที่เขาทำนั้นอะไรดีไม่ดี แต่ไม่ใช่การด่าทอว่าลูกด้วยถ้อยคำพูดที่รุนแรงทุกครั้ง เช่น ไอเด็กบ้าทำอย่างนี้ได้ไง ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำ หรือไอลูกบ้า เด็กเปรต ไอลูกนอกคอก หรือด่าชนิดที่สัตว์เลื้อยคลานเต็มบ้าน ฯลฯ ขอร้องว่าพ่อแม่อย่าพูดกับลูกแบบนี้เด็ดขาด เพราะการใช้ถ้อยคำด่าว่ารุนแรง นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น คำพูดเหล่านี้ยังจะไปกระทบกับใจลูกให้ยิ่งแย่เข้าไปอีก แล้วเด็กจะมีปมนี้ติดตัวไปจนโต แถมดีไม่ดีลูกก็จะเลียนแบบเอาพฤติกรรมแบบอย่างที่เห็นจากพ่อแม่ ติดตัวไปใช้กับคนอื่นได้นะคะ
3. ไม่เคยชื่นชม แถมยังทำลายความมั่นใจลูก
“ระบายสีส่งประกวดไม่ได้รางวัลที่หนึ่ง แต่ก็ได้รางวัลที่สามนะลูกไม่เป็นไร หนูดีที่สุดแล้วคนเก่งของแม่”
หรือ…
“โง่ ทำอะไรก็ไม่เห็นเหมือนเพื่อน ดูซิเพื่อนเล่นกีฬาก็เก่ง เรียนหนึ่งสือก็เก่ง นี่อะไรเราไม่ได้เรื่องสักอย่าง ไม่เก่งเหมือนพ่อกับแม่เลยสักนิด น่าขายขี้หน้าคนอื่นจริงๆ เลย เด็กคนนี้”
ไม่ว่าลูกจะเรียนเก่ง หรือเล่นกีฬาเด่นหรือไม่ก็ตาม พ่อแม่มีหน้าให้กำลังใจ ชื่นชม และต้องเป็นครู เป็นโค้ชที่ดีคอยสอนชี้แนะแนวทางแก้ไขให้กับลูก แต่ไม่ใช่ไปซ้ำเติมตรงจุดอ่อนของลูก เพราะยิ่งจะทำให้เขาเสียขวัญ หมดกำลังใจ และขาดความมั่นใจกับทุกเรื่องที่ทำ ไม่ว่าจะเรียนหนังสือ เล่นกีฬา เล่นดนตรี ร้องเพลง ฯลฯ เติบโตขึ้นไปก็ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
ที่มา : www.knowledgesharing.thaiportal.net
บทความอื่นที่น่าสนใจ :
14 ข้อที่จะบอกว่าคุณเป็น “พ่อแม่รังแกฉัน” กันหรือเปล่า
อะไรบ้างที่บอกว่าคุณ เป็นพ่อแม่ที่แย่มาก
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!