ตอนที่ยังเป็นเด็กน้อย ลูกๆ มักเรียกหาพ่อแม่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะหิว เหนื่อย หรือแค่ต้องการกอดอุ่นๆ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ลูกน้อยค่อยๆ เติบโต ช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น มีโลกส่วนตัว ความห่างเหินค่อยๆ เข้ามากั้นกลางช่องว่างระหว่างพ่อแม่และลูก กว่าที่พ่อแม่จะรู้ตัว ลูกก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้อง ใส่หูฟังตลอดทั้งวัน เรียกไม่หัน ถามไม่ตอบ ลูกไม่คุยกับพ่อแม่ ไม่แบ่งปันเรื่องราวในชีวิตเหมือนเคย
ลูกไม่คุยกับพ่อแม่ เป็นพัฒนาการตามวัย หรือความไม่เข้าใจกัน
เกิดอะไรขึ้นระหว่างเส้นทางในการเติบโตของลูกๆ กันนะ? ทำไมจู่ๆ ลูกไม่คุยกับพ่อแม่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเพียงพัฒนาการตามวัย หรือมีบางสิ่งที่พ่อแม่ควรทำความเข้าใจมากกว่านี้ มาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันค่ะ
ชวนพ่อแม่เข้าใจเมื่อลูกถึงวัย “ต้องการพื้นที่ส่วนตัว”
การเติบโตและเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติของทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ ลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่ก็เช่นกันค่ะ ขณะที่เราวุ่นวายใช้ชีวิต เผลอแป๊ปเดียวลูกก็กลายเป็นเด็กโต ที่บางครั้งเราอาจตามไม่ทัน เมื่อถึงจุดหนึ่ง การเข้าใจว่าพัฒนาการที่เปลี่ยนไปของลูก อาจทำให้ระยะห่างในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกเพิ่มขึ้น เป็นเรื่องสำคัญ
โดยเฉพาะพัฒนาการด้านความเป็นส่วนตัวของลูก อาจทำให้ ลูกไม่คุยกับพ่อแม่ พ่อแม่ควรเข้าใจและยอมรับ เพราะหากพยายามบังคับหรือกดดันให้ลูกเปิดเผยทุกเรื่อง อาจทำให้ระยะห่างในความสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้น ลองมาดูกันว่าเด็กแต่ละวัยต้องการพื้นที่ส่วนตัวแค่ไหน อย่างไรบ้าง เพื่อให้พ่อแม่ปรับตัวและตั้งรับความเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างเหมาะสม
|
เด็กแต่ละวัยต้องการพื้นที่ส่วนตัวแค่ไหน
|
อายุ 6-7 ปี
เริ่มตระหนักถึงความเป็นส่วนตัว |
- เริ่มรู้สึกเขินอาย และต้องการแต่งตัวหรืออาบน้ำด้วยตัวเอง
- ปิดประตูห้องน้ำ ไม่เปิดทิ้งไว้เหมือนเดิม
- ตระหนักว่าคนอื่นมีความคิดและความรู้สึกที่แตกต่างจากตนเอง
- เริ่มเข้าใจแนวคิดเรื่องขอบเขตส่วนตัว แต่ยังต้องการคำแนะนำจากพ่อแม่
|
อายุ 8-9 ปี
เริ่มต้องการอิสระ |
- เลือกที่จะไม่เล่าหรือแชร์เรื่องส่วนตัวทั้งหมดกับพ่อแม่
- ต้องการเวลาส่วนตัว เช่น อ่านหนังสือหรือเล่นเงียบๆ คนเดียว
- เข้าใจมารยาททางสังคมเรื่องความเป็นส่วนตัว เช่น เคาะประตูก่อนเข้าห้อง
- อาจรู้สึกเขินอายเมื่อพ่อแม่แสดงความรักต่อหน้าคนอื่น
|
อายุ 10-11 ปี
เข้าใจเรื่องพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะ |
- เข้าใจว่าตนเองมีเวลาส่วนตัวได้ แม้จะอยู่ในพื้นที่ที่ใช้ร่วมกับคนอื่น เช่น อยากอ่านหนังสือลำพัง ในห้องนั่งเล่นครอบครัว
- ต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบเป็นส่วนตัว ไม่อยากให้พ่อแม่หรือพี่น้องเห็น
- อ่อนไหวต่อของใช้ส่วนตัว เช่น ไม่ชอบให้ใครมาหยิบของโดยไม่ขออนุญาต
- ต้องการเก็บเรื่องเพื่อนและชีวิตที่โรงเรียนไว้เป็นเรื่องส่วนตัว
|
อายุ 12-13 ปี
เป็นตัวของตัวเอง อยากเป็นอิสระ |
- ให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนตัว เช่น อยากมีห้องของตัวเองหรือพื้นที่ที่ไม่มีใครรบกวน
- เก็บเรื่องส่วนตัวมากขึ้น และอาจไม่อยากเล่าทุกอย่างให้พ่อแม่ฟังเหมือนตอนเด็ก
- ตั้งขอบเขตทางกายภาพ เช่น หลีกเลี่ยงการกอดหรือสัมผัสจากพ่อแม่ในที่สาธารณะ
- ต้องการจัดการเรื่องสุขอนามัยและการดูแลตัวเองโดยไม่อยากให้พ่อแม่เข้ามายุ่ง
- กำหนดขีดจำกัดทางสังคมและคาดหวังให้คนอื่นเคารพพื้นที่ของตน
|
การให้ลูกมีพื้นที่ส่วนตัว ไม่ได้แปลว่าพ่อแม่ต้องปล่อยมือจากลูก แต่คือการปรับบทบาทเป็นผู้ให้คำแนะนำและสร้างความไว้วางใจ หากพ่อแม่ไม่เคารพพื้นที่ส่วนตัวของลูก อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวและพัฒนาการทางอารมณ์ของลูกในหลายด้าน อันดับแรก คือความไว้วางใจที่ลดลง เมื่อลูกรู้สึกว่าพ่อแม่ล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว เช่น แอบอ่านไดอารี่ เปิดโทรศัพท์ หรือเข้าห้องโดยไม่ขออนุญาต ย่อมทำให้ ลูกไม่คุยกับพ่อแม่ และอาจนำไปสู่ความห่างเหินในความสัมพันธ์ระยะยาว
นอกจากนี้ ลูกอาจรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอำนาจในการควบคุมชีวิต ส่งผลให้เกิดความเครียดหรือพยายามเรียกร้องอิสระด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม เช่น โกหก ปกปิด หรือก้าวร้าวเพื่อปกป้องขอบเขตของตัวเอง หากพ่อแม่กดดันหรือบังคับให้ลูกเปิดเผยทุกอย่าง อาจทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดและต่อต้าน กลายเป็นการไม่ยอมพูดกับพ่อแม่ในที่สุด

6 เหตุผลที่ลูกไม่อยากเล่าอะไรให้พ่อแม่ฟัง
1. พ่อแม่ถามมากเกินไปจนรู้สึกกดดัน
เมื่อลูกโตขึ้น พวกเขาย่อมต้องการความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้น การที่พ่อแม่ถามเซ้าซี้ ตลอดเวลา คาดหวังให้ลูกเล่าทุกเรื่องอย่างละเอียด ย่อมทำให้เด็กๆ รู้สึกอึดอัด จนกลายเป็นต่อต้าน ไม่ยอมพูด ไม่ยอมเล่าในที่สุด
วิธีแก้ไข: ลดความกดดันด้วยการ สร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย พูดคุยในช่วงเวลาที่ลูกสบายใจ เช่น ระหว่างทานข้าว หรือก่อนนอน หลีกเลี่ยงการถามแบบสัมภาษณ์ ที่อาจทำให้ลูกรู้สึกเหมือนกำลังถูกสอบปากคำ นอกจากนี้ พ่อแม่อาจเริ่มด้วยการเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ลูกฟังก่อน ทำเป็นประจำสม่ำเสมอในที่สุด ลูกอาจเปิดใจเล่าเรื่องของเขาโดยที่พ่อแม่ไม่ต้องคาดคั้น
2. พ่อแม่ตำหนิ วิจารณ์ หรือสั่งสอนมากเกินไป
ลองสังเกตตัวเองดูว่า เมื่อลูกเล่าอะไรให้ฟัง คุณตอบสนองอย่างไร คุณรีบตัดสินวิจารณ์ ตำหนิการกระทำของลูกหรือเปล่า หากพ่อแม่มักวิจารณ์ ตำหนิ หรือสอนลูกมากเกินไป ลูกอาจรู้สึกว่าทุกการเล่าเรื่องนำไปสู่การถูกตัดสิน จนสุดท้ายเลือกที่จะไม่พูดอะไรเลย บางครั้งเด็กเพียงต้องการแบ่งปันหรือได้รับความเข้าใจ แต่หากสิ่งที่ได้รับกลับเป็นการตอบสนองเชิงลบ พวกเขาจะปิดกั้นตัวเองจากพ่อแม่
วิธีแก้ไข: เปลี่ยนมุมมองจาก “ฟังเพื่อสอน” เป็น “ฟังเพื่อเข้าใจ” หลีกเลี่ยงการรีบวิจารณ์ ควรฟังลูกให้จบ และใช้คำถามปลายเปิด เช่น “ลูกคิดว่าเรื่องนี้ควรแก้ไขยังไง” เพื่อให้ลูกมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา แทนที่จะรู้สึกว่าถูกตำหนิหรือสั่งสอน
3. พ่อแม่ฟังแต่ไม่เข้าใจจริง
บางครั้งคนเราก็ฟังเพื่อตอบสนอง ไม่ได้ฟังเพื่อเข้าใจจริงๆ ขณะที่อีกฝ่ายกำลังพูด เราก็คิดนำไปแล้วว่าจะตอบอย่างไร ใช้คำพูดแบบไหน ทำให้เสียโอกาสจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังสื่อสาร เมื่อลูกรู้สึกว่าเล่าไปพ่อแม่ก็ไม่เข้าใจ เขาจึงไม่อยากเล่าอะไรให้พ่อแม่ฟังอีก
วิธีแก้ไข: ฝึก Active Listening หรือการฟังอย่างตั้งใจ หลีกเลี่ยงการขัดจังหวะหรือสรุปแทนลูก ลองสะท้อนความรู้สึกของพวกเขากลับไป เช่น
“แม่เข้าใจว่าหนูรู้สึกเสียใจที่เพื่อนทำแบบนั้น” เพื่อให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่รับฟังอย่างแท้จริง
4. พ่อแม่ละเลย หรือยุ่งเกินไป
บางครั้งลูกอาจรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่มีเวลาที่จะรับฟังพวกเขาอย่างตั้งใจ เช่น ขณะที่ลูกเล่า พ่อแม่ก็ก้มหน้ากดมือถือ หรือยังเล่าไม่ทันจบ พ่อแม่ก็ต้องรับโทรศัพท์สายสำคัญ และผละไปทำธุระ โดยไม่รู้ตัวพ่อแม่อาจทำให้ลูกรู้สึกถูกละเลย จนพวกเขาไม่อยากเล่าอะไรให้พ่อแม่ฟังอีก

วิธีแก้ไข: หากมีธุระด่วนแทรกขณะลูกกำลังเล่าเรื่อง พ่อแม่ควรสบตา ขอโทษ และอธิบายอย่างจริงใจว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่จะกลับมาฟังต่อทันทีที่เสร็จธุระ และต้องทำตามที่รับปากไว้ หากไม่แน่ใจว่าเรื่องของลูกเร่งด่วนเพียงใด ควรถามลูกว่า รอได้ไหม และชั่งน้ำหนักว่าควรฟังให้จบก่อนหรือไม่ แม้จะตอบสนองไม่ได้ทันที การแสดงความใส่ใจมีความสำคัญต่อความสัมพันธ์ นอกจากนี้ อาจกำหนดเวลา “No Screen, Just Talk” เช่น ก่อนนอนหรือหลังอาหารเย็น เพื่อให้มีช่วงเวลาพูดคุยกันทุกวัน
5. ลูกกลัวถูกดุหรือถูกลงโทษ
หากลูกเคยถูกดุแรงๆ หรือโดนลงโทษเมื่อพูดความจริง พวกเขาอาจเลือกที่จะเล่าอะไรให้พ่อแม่ฟัง หากคุณเป็นพ่อแม่ที่ใช้การลงโทษเพื่อสอนวินัย เช่น เช่น ดุด่าเสียงดัง ตำหนิรุนแรง หรือลงโทษโดยไม่ฟังเหตุผลของลูกให้ครบถ้วนก่อน เพราะมองว่าความผิดพลาดเป็นเรื่องร้ายแรง มักทำให้ลูกหวาดกลัวจนไม่กล้าเล่าอะไรให้ฟัง
วิธีแก้ไข: สร้างความมั่นใจว่าลูกเล่าทุกอย่างให้พ่อแม่ฟังได้โดยไม่ต้องกลัว หากคุณเคยดุหรือทำโทษลูกรุนแรงมาก่อน อาจต้องใช้เวลาสร้างความเชื่อมั่นเพื่อให้ลูกมั่นใจ ควรเปิดใจกับลูกว่าที่ผ่านมาพ่อแม่อาจลงโทษรุนแรงเกินไป แต่พ่อแม่ก็พร้อมปรับปรุงเปลี่ยนแปลง อธิบายให้ลูกเข้าใจว่า พ่อแม่ต้องการช่วยแบ่งเบาปัญหาของลูกและแก้ปัญหาไปด้วยกัน หากต้องการให้ลูกเปิดใจเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังอีกครั้ง พ่อแม่ก็อาจต้องพิสูจน์ให้ลูกเห็นว่าคุณเปลี่ยนแปลงได้ พร้อมรับฟัง มากกว่าจะลงโทษ
6. ลูกเข้าสู่วัยรุ่น
เป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเข้าสู่วัยรุ่น ที่ลูกมักต้องการพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น หากลูกเล่าเรื่องต่างๆ น้อยลง แต่ยังคงมีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกันในครอบครัว พ่อแม่ก็ไม่น่าเป็นกังวล แต่หากลูกเริ่มเก็บตัวผิดปกติ มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปชัดเจน พ่อแม่อาจต้องสังเกต ว่าลูกมีปัญหาอะไรหรือไม่ อาจแสดงให้ลูกรับรู้กลายๆ ว่าพ่อแม่พร้อมรับฟังเสมอหากลูกมีปัญหา
วิธีแก้ไข: หากลูกต้องการมีโลกส่วนตัวตามวัย สิ่งที่พ่อแม่ทำได้คือ เคารพขอบเขตของลูก ไม่พยายามบังคับให้พวกเขาต้องคุยกับพ่อแม่ตลอดเวลา ลองให้เวลาพวกเขาและเปิดโอกาสให้ลูกเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาบ้าง
พ่อแม่ 9 แบบลูกไม่อยากคุยด้วย ใช่คุณหรือเปล่า?
- ตำหนิ ดุด่า วิจารณ์แรง: พูดอะไรก็ถูกจับผิด ทำให้ลูกไม่กล้าเล่าอะไรให้ฟัง
- เอาแต่สอน: ทุกเรื่องกลายเป็นบทเรียน ลูกแค่เล่า แต่พ่อแม่สอนทันที
- ชอบเปรียบเทียบ: พูดทีไรต้องมีชื่อคนอื่นมาเกี่ยว ทำให้ลูกรู้สึกด้อยค่า
- มองข้ามความรู้สึกของลูก: ลูกเศร้า แต่พ่อแม่บอกว่า “เรื่องแค่นี้เอง”
- ใช้คำพูดรุนแรง เสียดสี: ทำให้ลูกรู้สึกแย่หรือกลัวจะถูกตอกกลับ
- ยุ่งตลอดเวลา ไม่เคยมีเวลาให้: คุยทีไรก็ไม่ว่าง เล่นมือถือ หรือรีบตัดบท
- ชอบบ่นหรือพูดลบ: ทำให้บรรยากาศในการคุยอึดอัดและไม่มีความสุข
- ไม่รักษาสัญญา: บอกว่าจะฟังแต่สุดท้ายก็ลืมหรือไม่สนใจ
- เอาปัญหาของลูกไปเล่าให้คนอื่นฟัง: ทำให้ลูกรู้สึกอับอายและไม่ไว้ใจ
พ่อแม่แบบนี้ ที่ลูกอยากเปิดใจ
- รับฟังโดยไม่ตัดสิน: ให้ลูกพูดจนจบก่อน ไม่รีบสอนหรือวิจารณ์
- เข้าใจและเห็นอกเห็นใจ: รับรู้ความรู้สึกของลูก ไม่มองข้ามอารมณ์ของเขา
- มีเวลาให้ลูกจริงๆ: วางมือถือ หยุดสิ่งที่ทำ แล้วตั้งใจฟังลูก
- ให้ลูกมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา: ถามความคิดเห็น ไม่ตัดสินใจแทน
- เคารพความเป็นส่วนตัวของลูก: ไม่ละเมิด ไม่บังคับให้ลูกเล่าเรื่องต่างๆ ตลอดเวลา
- ให้กำลังใจมากกว่าตำหนิ: ชื่นชมจุดดี และช่วยให้ลูกเรียนรู้จากข้อผิดพลาด
- รักษาคำพูดและสัญญา: ถ้าบอกว่าจะฟัง ต้องทำตาม ไม่ให้ลูกผิดหวัง
- ยอมรับความคิดที่แตกต่าง: เปิดใจกับมุมมองของลูก แม้จะไม่เห็นด้วย
- ทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย: ไม่ใช้คำพูดรุนแรง ไม่ขู่ลูก ไม่ทำให้กลัวที่จะพูด
สุดท้ายแล้ว ลูกไม่คุยกับพ่อแม่ อาจเป็นเพราะเขารู้สึกว่าไม่ได้รับความเข้าใจ ถูกตัดสิน หรือไม่ได้รับพื้นที่ให้เป็นตัวเอง พ่อแม่เองก็ต้องปรับเปลี่ยน หากอยากให้ลูกเปิดใจ พ่อแม่ต้องเป็นผู้ฟังก่อน รับฟังโดยไม่ตัดสิน เคารพความคิดและพื้นที่ส่วนตัวของลูก ที่สำคัญคือต้องเข้าใจว่าลูกเติบโตขึ้นทุกวัน การที่ลูกไม่คุยกับพ่อแม่ เริ่มมีเรื่องส่วนตัว หรืออยากมีพื้นที่ของตัวเองเป็นเรื่องธรรมชาติ ยิ่งพ่อแม่เข้าใจและให้พื้นที่ที่เหมาะสม ความสัมพันธ์ก็จะยิ่งใกล้ชิดและคุยกันได้อย่างสบายใจมากขึ้น
ที่มา: Rooted Ministry, Empowering Parents
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เลี้ยงลูกชายให้เป็นผู้นำครอบครัวที่ดี ในอนาคต วิธีสร้างสุภาพบุรุษตัวน้อยในบ้าน
เลี้ยงลูกแบบไม่ดุ 7 เคล็ดลับ ปรับวิธีพูดให้ลูกเชื่อฟัง
ผลกระทบจากสมาร์ทโฟน เด็กรู้สึก “ด้อยค่า” และ “อิจฉา” กันมากขึ้น
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!