เลือดกําเดาไหล ทําไงให้หาย วิธีปฐมพยาบาลเลือดกําเดาไหล

เลือดกำเดาไหล ต้องเงยหน้าหรือก้มหน้า เลือดกําเดาไหล ทําไง วิธีหยุดเลือดกำเดาไหล ให้เลือดหยุดไหลได้เร็ว

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เลือดกําเดาไหล ทําไงให้หาย สาเหตุที่ทำให้เกิดเลือดกำเดาไหล วิธีปฐมพยาบาลเลือดกําเดาไหล ให้เลือดหยุดไหลได้เร็ว ลูกเลือดกำเดาไหล แม่ต้องทำไงให้หาย

 

สาเหตุเลือดกําเดาไหล

เลือดกําเดาไหลเกิดได้จากหลายสาเหตุ ถ้าร่างกายไม่ได้ส่งสัญญาณอันตรายอื่น ๆ ร่วมด้วย การเลือดกำเดาไหลนี้ ก็มักจะเกิดจาก

  • เลือดกําเดาไหลจากการบาดเจ็บของเยื่อบุจมูก คนที่ชอบแคะขี้มูก ผู้ที่ชอบแคะจมูกจะมีน้ำมูกแห้งกรัง พอแกะ ๆ เกา ๆ ก็เกิดเป็นแผลถลอก แม้แต่การสั่งน้ำมูกแรง ๆ และแม้แต่การเปลี่ยนแปลงความกดอากาศอย่างรวดเร็ว (ขึ้นเครื่องบินหรือดำน้ำ) ก็เป็นสาเหตุให้เกิดเลือดกําเดาไหลได้เช่นกัน
  • เลือดกําเดาไหลจากเส้นเลือดฝอยในโพรงจมูกแตก เพราะอากาศร้อนจัดหรือหนาวจัด
  • เลือดกําเดาไหลจากการผิดรูปของผนังกั้นช่องจมูก รูปทรงของจมูกก็มีผลต่อเลือดกำเดาไหลเช่นกัน หากมีลักษณะโค้งงอหรือเป็นสันแหลม จะทำให้มีน้ำมูกแห้งกรัง แคะแล้วมีเลือดออกได้
  • เลือดกําเดาไหลจากร่างกายขาดวิตามินซี
  • เลือดกําเดาไหลจากอุบัติเหตุ ทำให้ศีรษะ ใบหน้า จมูก ได้รับการกระทบกระเทือน

 

บทความที่เกี่ยวข้อง : เด็ก ๆ ทา แซมบัค ได้จริงหรือเปล่า ? แซมบัคใช้ทาแผลแบบไหนได้บ้าง ?

 

สาเหตุเลือดกำเดาไหลแบบไหนอันตราย

  1. เลือดกำเดาไหลจากการอักเสบในช่องจมูก เช่น ภาวะติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน หรือโรคแพ้อากาศ อาการคือจะมีเลือดคั่งที่เยื่อบุจมูกและเยื่อบุโพรงอากาศข้างจมูก ถ้ามีการสั่งน้ำมูก อาจทำให้เลือดกำเดาไหล ส่วนภาวะอากาศหนาว ความชื้นต่ำ ทำให้เยื่อบุจมูกแห้ง เกิดการอักเสบ และเลือดออกได้ง่ายเช่นกัน
  2. เลือดกำเดาไหลจากเนื้องอกในจมูกหรือโพรงอากาศข้างจมูก เป็นได้ทั้งเนื้องอกชนิดร้ายและไม่ร้าย
  3. เลือดกำเดาไหลจากโรคทางระบบอื่น ๆ
  • โรคเลือดที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ภาวะเกร็ดเลือดต่ำ การได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • โรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่มีความผิดปกติของหลอดเลือด หรือความดันโลหิตสูง ทำให้เส้นเลือดแตกได้

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ทําไมคนท้องเลือดกําเดาไหล

รศ.นพ. ปารยะ อาศนะเสน ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เขียนบทความเรื่อง โรคจมูกและไซนัสในหญิงตั้งครรภ์ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาระหว่างตั้งครรภ์ ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูกที่เกิดจากการตั้งครรภ์ (rhinitis of pregnancy) และยังเพิ่มอุบัติการณ์ของการเกิดภาวะเลือดกำเดาไหล และทำให้โรคจมูกและไซนัสแย่ลงได้ง่าย

  • ระหว่างช่วง 6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ (ไตรมาสที่ 1 และ 2) จะมีการเพิ่มปริมาณของเลือดในหลอดเลือดของแม่
  • ปริมาณของเลือดดังกล่าว จะมีการเคลื่อนตัวออกนอกหลอดเลือดใน 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ (ไตรมาสที่ 3)

ทั้งนี้ เกิดจาก อิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) ซึ่งมีผลในการกระตุ้นระบบประสาทที่มาเลี้ยงเยื่อบุจมูก ทำให้เส้นเลือดในเยื่อบุจมูก มีการขยายตัว และมีการกระตุ้นการทำงานของต่อมสร้างน้ำมูกในเยื่อจมูกมากขึ้น ทำให้เกิดอาการทางจมูก และ/หรือไซนัส หรืออาจทำให้โรคของจมูกและไซนัสที่มีอยู่แล้ว แย่ลงได้ ซึ่งส่วนใหญ่อาการต่างๆ ของจมูกและไซนัสจะดีขึ้นเอง 5 วันหลังคลอด

 

ในกรณีที่เลือดออกปริมาณน้อย อาจใช้ยาหดหลอดเลือดเฉพาะที่ (topical decongestants) หยอด หรือพ่นจมูก ซึ่งออกฤทธิ์โดยทำให้เส้นเลือดในเยื่อบุจมูกหดตัว หรือแพทย์อาจใช้สำลีชุบยาหดหลอดเลือดดังกล่าวใส่เข้าไปในจมูกแล้วให้ผู้ป่วยบีบไว้ ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ 1–3% ephedrine หรือ 0.025–0.05% oxymetazoline เป็นต้น ซึ่งสามารถใช้ในหญิงตั้งครรภ์ เพื่อลดภาวะเลือดกำเดาไหลได้ (ระดับ C) แต่ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเกิน 3–5 วัน และไม่ควรใช้ในระยะใกล้คลอด

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความที่เกี่ยวข้อง : แผลฟกช้ำ ตามร่างกายเด็ก ทำยังไงให้หาย ต้องไปหาหมอหรือเปล่า

เลือดกําเดาไหล แม่ต้องทําไงให้หาย

วิธีหยุดเลือดกำเดาไหล การปฐมพยาบาลเลือดกําเดาไหล

  1. อย่าตกใจถ้าเลือดกำเดาไหล ให้นั่งลงแล้วก้มหัวมาข้างหน้าเล็กน้อยไม่ต้องต่ำมาก (อย่าแหงนหน้าไปข้างหลัง) ที่แนะนำไม่ให้เงยหน้าไปข้างหลังเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดไหลย้อนลงไปในโพรงจมูกทำให้สำลักเวียนหัวและอาเจียนได้ รักษาระดับศีรษะให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจ วิธีนี้จะช่วยให้เลือดกำเดาค่อย ๆ หยุดไหลในที่สุด
  2. บีบตรงเหนือปลายจมูกไม่ให้อากาศเข้าแล้วหายใจทางปากแทน
  3. ประคบจมูกด้วยถุงน้ำแข็ง หรือถ้าไม่มีก็ใช้อะไรที่เย็นจัด ๆ ห่อไว้ด้วยผ้าขนหนูประคบไว้ที่จมูกและแก้ม ความเย็นที่แผ่กระจายไปทั่วบริเวณใบหน้าจะทำให้เลือดที่หมุนเวียนไปอุดคั่งที่จมูกลดจำนวนลง จนเลือดกำเดาหยุดไหลไปเอง แต่ต้องประคบไว้สักพักอย่าใจร้อน

 

เลือดกำเดาไหลแบบไหนอันตราย

สำหรับเด็ก ๆ ที่มีเลือดกำเดาไหลมาก พ่อแม่ต้องสังเกตอาการอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังนี้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • เมื่อเลือดกำเดาไหลไม่หยุดนานเกิน 30 นาที ทั้งที่ใช้วิธีห้ามเลือดเบื้องต้นโดยการบีบจมูกแต่เลือดไม่หยุดไหล
  • เมื่อมีเลือดกำเดาไหลนาน ร่วมกับที่ผิวหนังมีรอยเลือดออก เช่น มีพรายย้ำ จ้ำเขียว หรือ มีจุดแดงหรือจุดเลือดออกตามตัวร่วมด้วย
  • เมื่อมีเลือดออกตามไรฟัน หรือลิ้นร่วมด้วย
  • มีปัสสาวะสีน้ำล้างเนื้อ หรืออุจจาระสีดำคล้ายยางมะตอยหรือปนเลือดร่วมด้วย
  • เมื่อเด็กมีไข้สูงร่วมด้วย
  • เมื่อเด็กมีอาการเวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่กระฉับกระเฉง หรือซีดลง

 

รู้กันไปแล้วว่าเลือดกําเดาไหล ทําไงให้หาย พ่อแม่ต้องสังเกต หากลูกมีเลือดกำเดาไหลไม่หยุด หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ให้ระวังจะเป็นโรคที่ร้ายแรง เช่น โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ เช่น โรควอนวิลล์แบรนด์ (von Willebrand disease – VWD) หรือโรคที่เกิดขึ้นภายหลังซึ่งทำให้เกล็ดเลือดมีปริมาณต่ำลง เช่น โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิต้านทานตนเอง (immune thrombocytopenia  – ITP)

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
คนท้องเดินทางไกลได้ไหม ต้องทำอย่างไร คนท้องกี่เดือนห้ามเดินทางไกล
วิธีป้องกันอุบัติเหตุตอนท้อง เกิดอุบัติเหตุระหว่างตั้งครรภ์ อันตรายแค่ไหน วิธีปฐมพยาบาลคนท้องตกเลือด
ท้องนี้ฝากครรภ์ ทำคลอดที่ไหนดีนะ? รวม 10 สูติ-นรีแพทย์ฝีมือดี ที่คนไข้ต่างก็ยกนิ้วให้
การตรวจร่างกายหญิงตั้งครรภ์ การนัดตรวจครรภ์ หมอตรวจอะไรบ้างระหว่างตั้งครรภ์ ทุกไตรมาส

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/

 

บทความโดย

Tulya