ปวดอุ้งเชิงกรานขณะตั้งครรภ์: สาเหตุ และ 5 วิธีบรรเทาอาการที่คุณแม่ทำได้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

อาการ ปวดอุ้งเชิงกรานขณะตั้งครรภ์ (Pelvic Girdle Pain – PGP) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยกว่าที่คุณแม่หลายคนคิด จากสถิติพบว่าคุณแม่ตั้งครรภ์และคุณแม่ใกล้คลอดถึง 1 ใน 5 ต้องเผชิญกับอาการนี้ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและสรีระเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอดลูกน้อย

ถึงแม้จะเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณแม่จะต้องยอมทนกับความเจ็บปวดนะคะ เพราะอาการ ปวดอุ้งเชิงกรานขณะตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่สามารถจัดการและบรรเทาให้ดีขึ้นได้ด้วยวิธีที่ปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการปรับท่าทาง การออกกำลังกายเบาๆ หรือการทำกายภาพบำบัด เพื่อให้คุณแม่สามารถมีความสุขกับการตั้งครรภ์ได้อย่างเต็มที่ค่ะ

 

ปวดอุ้งเชิงกรานขณะตั้งครรภ์ (Pelvic Girdle Pain: PGP) คืออะไร?

อาการปวดอุ้งเชิงกราน หรือ PGP คือ อาการปวดหรือไม่สบายตัวที่เกิดขึ้นบริเวณกระดูกและข้อต่อของอุ้งเชิงกราน ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยในระหว่างการตั้งครรภ์ ในอดีตอาการนี้เคยถูกเรียกว่า ‘ภาวะอุ้งเชิงกรานไม่มั่นคง’ หรือ ‘ภาวะซิมฟิซิสพิวบิสทำงานผิดปกติ (SPD)’

ช่วงเวลาที่มักเกิดอาการ: ปวดอุ้งเชิงกราน สามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงของการตั้งครรภ์ แต่โดยส่วนใหญ่มักจะเริ่มมีอาการในช่วงสัปดาห์ที่ 14 ถึง 30 และในบางรายอาจมีอาการต่อเนื่องไปจนถึงหลังคลอดบุตรได้

ตำแหน่งที่มักเกิดอาการปวด: อาการปวดมักเกิดจากข้อต่อหลักๆ 2 ตำแหน่ง คือ:

  1. ข้อต่อกระดูกเชิงกราน (Sacroiliac joints): คือบริเวณที่กระดูกเชิงกรานมาเชื่อมต่อกับกระดูกสันหลังส่วนล่าง (มักจะรู้สึกปวดบริเวณหลังส่วนล่างหรือก้น)
  2. ข้อต่อหัวหน่าว (Symphysis pubis): คือบริเวณที่กระดูกเชิงกรานมาบรรจบกันที่ด้านหน้า (มักจะรู้สึกปวดบริเวณหัวหน่าว)

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ปวดอุ้งเชิงกราน ต่างจากอาการ ปวดหลังทั่วไป อย่างไร?

เป็นเรื่องปกติที่คุณแม่จะสับสนและแยกความแตกต่างของอาการปวดทั้งสองชนิดได้ยาก เนื่องจากเป็นอาการปวดที่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกัน คือ หลังส่วนล่าง สะโพก และอาจร้าวลงขาได้เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างที่พอจะสังเกตได้ดังนี้

อาการปวดหลังส่วนล่างทั่วไป

  • ตำแหน่งหลัก: จะรู้สึกปวดที่บริเวณแผ่นหลังมากกว่าอุ้งเชิงกราน
  • ลักษณะอาการ: อาจมีอาการปวดรุนแรง และมีลักษณะปวดแปลบๆ หรือปวดเสียวร้าวลงไปที่ก้น ขาหนีบ ต้นขา หน้าแข้ง จนถึงเท้าได้

อาการปวดอุ้งเชิงกราน

  • ตำแหน่งหลัก: ปัญหาเกิดจากข้อต่อกระดูกเชิงกราน ทำให้รู้สึกตึงที่บั้นท้ายและกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง
  • ลักษณะอาการ: โดยปกติแล้วจะไม่รู้สึกเจ็บปวดตลอดเวลา แต่อาการปวดจะปรากฏชัดเจนขึ้นเมื่อทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น พยายามวิ่ง หรือออกกำลังกาย

สรุปง่ายๆ คือ ถ้าอาการปวดหลักๆ อยู่ที่แผ่นหลังและปวดรุนแรง อาจเป็นอาการปวดหลังทั่วไป แต่ถ้าอาการหลักเป็นความรู้สึกตึงที่ก้นและหลังขา และจะเจ็บก็ต่อเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกาย อาจมีแนวโน้มเป็นอาการปวดอุ้งเชิงกรานมากกว่าค่ะ

ปวดอุ้งเชิงกรานขณะตั้งครรภ์ อาการเป็นอย่างไร?

อาการ ปวดอุ้งเชิงกรานขณะตั้งครรภ์ มีได้หลายระดับ ตั้งแต่รู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อยไปจนถึงอาการปวดที่รุนแรงมาก ซึ่งอาจส่งผลให้คุณแม่รู้สึกเดินหรือเคลื่อนไหวร่างกายได้ลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอาการปวดรุนแรง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ตำแหน่งที่สามารถรู้สึกปวดได้

อาการปวดอาจเกิดขึ้นที่อุ้งเชิงกรานและอาจขยายไปยังบริเวณอื่นๆ ได้แก่:

  • หลังส่วนล่าง
  • หน้าท้องส่วนล่าง
  • ขาหนีบหรือก้น
  • สะโพก
  • ต้นขา
  • ฝีเย็บ (บริเวณระหว่างอวัยวะเพศและทวารหนัก)
  • เข่าและขา

ลักษณะอาการอื่นๆ

นอกจากอาการปวดแล้ว คุณแม่อาจรู้สึกหรือได้ยินเสียงคลิกหรือเสียงเสียดสีบริเวณข้อต่อได้ด้วย

กิจกรรมที่ทำให้อาการปวดอุ้งเชิงกรานรุนแรงขึ้น

อาการปวดมักจะรุนแรงขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวในลักษณะต่อไปนี้:

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • เดินเร็วหรือเดินเป็นระยะทางไกล
  • ขึ้นหรือลงจากรถ
  • พลิกตัวบนเตียง
  • ขึ้นหรือลงบันได
  • ลุกขึ้นจากท่านั่ง
  • มีเพศสัมพันธ์

สาเหตุที่ทำให้ ปวดอุ้งเชิงกรานขณะตั้งครรภ์

สาเหตุที่แน่ชัดของอาการปวดอุ้งเชิงกราน ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและร่างกายของคุณแม่ในระหว่างตั้งครรภ์ โดยแบ่งสาเหตุหลักและปัจจัยเสี่ยงได้ดังนี้

สาเหตุหลักจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

  1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: ในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่ทำให้เอ็นต่างๆ บริเวณอุ้งเชิงกรานคลายตัวและยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด ซึ่งการคลายตัวนี้อาจทำให้ข้อต่อในอุ้งเชิงกรานมีความมั่นคงลดลงและเกิดอาการเจ็บปวดได้
  2. การเปลี่ยนแปลงทางสรีระ: เมื่อมดลูกขยายใหญ่ขึ้น น้ำหนักตัวของคุณแม่จะถูกถ่วงมาที่ด้านหน้าของร่างกายมากขึ้น ทำให้ท่าทางการยืนและการเดินเปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะสร้างแรงกดทับเพิ่มเติมให้กับกระดูกและกล้ามเนื้อบริเวณกระดูกสันหลังและอุ้งเชิงกราน จนนำไปสู่อาการปวดได้

ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเกิดอาการปวดอุ้งเชิงกราน

คุณแม่จะมีแนวโน้มที่จะมีอาการปวดอุ้งเชิงกรานมากขึ้น หากมีปัจจัยเหล่านี้ร่วมด้วย:

  • เคยมีประวัติปวดหลังส่วนล่างหรือปวดอุ้งเชิงกรานมาก่อนตั้งครรภ์ หรือในการตั้งครรภ์ครั้งก่อนๆ
  • เคยได้รับบาดเจ็บที่หลังหรือกระดูกเชิงกราน
  • เคยตั้งครรภ์มาแล้วหลายครั้ง
  • ทำงานที่ต้องใช้แรงกายหนัก
  • มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน
  • กำลังเผชิญกับความเครียดหรือความทุกข์ทางอารมณ์
  • สูบบุหรี่

วิธีบรรเทาอาการปวดอุ้งเชิงกรานด้วยตัวเอง ที่ปลอดภัยสำหรับแม่และลูก

แม้ว่าอาการ ปวดอุ้งเชิงกรานขณะตั้งครรภ์ จะสร้างความไม่สบายตัวและรบกวนการใช้ชีวิตของคุณแม่ไปบ้าง แต่ข่าวดีก็คือมีวิธีง่ายๆ มากมายที่คุณแม่สามารถทำได้เองที่บ้าน เพื่อช่วยบรรเทาอาการและป้องกันไม่ให้ปวดรุนแรงขึ้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มีความปลอดภัยสูง และสามารถช่วยให้ช่วงเวลาตั้งครรภ์ของคุณแม่สบายตัวขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อค่ะ

  1. การปรับท่าทางในชีวิตประจำวัน

  • พยายามให้หัวเข่าชิดกันเสมอ: เพื่อลดแรงกดที่ข้อต่ออุ้งเชิงกราน เช่น เวลานั่งหรือลุกจากรถ และเวลาพลิกตัวบนเตียง
  • การแต่งตัว: ให้นั่งลงบนเก้าอี้หรือขอบเตียงเวลาใส่หรือถอดเสื้อผ้า กางเกง และรองเท้า เพื่อหลีกเลี่ยงการยืนขาเดียวซึ่งอาจทำให้เสียการทรงตัวและปวดมากขึ้น
  • การขึ้น-ลงบันได: ให้ก้าวขึ้นหรือลงทีละขั้น โดยใช้ขาข้างที่แข็งแรงกว่านำก่อนเสมอ
  • การยืน: พยายามลงน้ำหนักที่ขาทั้งสองข้างให้เท่าๆ กัน หลีกเลี่ยงการทิ้งน้ำหนักไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง
  1. การปรับเปลี่ยนกิจกรรมและหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นอาการ

  • เคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ: พยายามขยับร่างกายเท่าที่ทำได้ แต่ให้หยุดหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เริ่มทำให้รู้สึกเจ็บปวด
  • หลีกเลี่ยงการยกของหนัก: ไม่ว่าจะเป็นถุงช้อปปิ้ง, เครื่องดูดฝุ่น, ตะกร้าผ้าเปียก หรือแม้แต่การอุ้มลูกคนโต
  • ลดภาระที่ไม่จำเป็น: ลองสั่งซื้อของออนไลน์ หรือขอความช่วยเหลือจากคนในครอบครัวแทนการไปเดินซื้อของเอง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ: เมื่อรู้สึกว่าต้องพัก อย่าฝืนร่างกาย หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนในท่าเดิมเป็นเวลานานๆ
  • หากต้องเดินกับลูกเล็ก: ลองใช้รถเข็นเด็กเป็นที่พยุงตัวขณะเดิน แต่ไม่ควรเดินไกลเกินไปจนทำให้ขากลับลำบาก
  1. การนอนหลับพักผ่อน

  • ใช้หมอนช่วย: นอนในท่าที่สบาย โดยใช้หมอนสอดรองไว้ใต้ท้องและระหว่างขา เพื่อช่วยพยุงร่างกายและจัดแนวกระดูกเชิงกรานให้เหมาะสม
  1. การออกกำลังกาย

  • ว่ายน้ำ: เป็นการออกกำลังกายที่ดี แต่ควรหลีกเลี่ยง “ท่ากบ” เพราะเป็นการแยกขาซึ่งอาจกระตุ้นอาการปวดได้
  • ปั่นจักรยาน: การปั่นจักรยานแบบอยู่กับที่เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมและปลอดภัย เพราะเป็นการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำ และไม่ต้องกังวลเรื่องการทรงตัว
  1. เรื่องอื่นๆ ที่ช่วยได้

  • เลือกรองเท้า: สวมรองเท้าส้นแบนที่มีส่วนซัพพอร์ตเท้าที่ดี จะช่วยให้การทรงตัวและการเดินของคุณแม่ดีขึ้น
  • การมีเพศสัมพันธ์: ลองปรับเปลี่ยนท่าทาง เช่น ท่าคุกเข่าสี่ขา หรือนอนตะแคง เพื่อลดอาการปวด

หากลองดูแลตัวเองแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือปวดรุนแรงจนกระทบการใช้ชีวิต ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด ซึ่งอาจให้การรักษาเพิ่มเติมค่ะ

 

รับมืออาการปวดอุ้งเชิงกรานในไตรมาส 3 อย่างไร?

เป็นเรื่องปกติที่คุณแม่อาจรู้สึกว่าอาการปวดอุ้งเชิงกรานรุนแรงและชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งถือเป็นโค้งสุดท้ายของการตั้งครรภ์ มาทำความเข้าใจว่าทำไมช่วงท้ายของการตั้งครรภ์อาการถึงรุนแรงขึ้น และมีข้อควรระวังอะไรเป็นพิเศษกันค่ะ

ทำไมอาการปวดถึงรุนแรงขึ้นในไตรมาสที่ 3?

  1. น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและแรงกดทับ: เมื่อมดลูกขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำหนักทั้งหมดจะกดทับลงบนอุ้งเชิงกรานโดยตรง ประกอบกับกระดูกหัวหน่าวที่เริ่มแยกตัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด จึงยิ่งเพิ่มแรงกดทับมหาศาล ทำให้คุณแม่รู้สึกปวดหลังส่วนล่างและปวดเอ็นยึดมดลูกได้มากขึ้น
  2. ท่าของทารก: ในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ ทารกส่วนใหญ่จะกลับศีรษะลงเพื่อเตรียมคลอด ทำให้ศีรษะของทารกกดลงบนกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานของคุณแม่โดยตรง ซึ่งจะเพิ่มความเจ็บปวดอย่างมากบริเวณหลังส่วนล่าง, กระดูกก้นกบ, ข้อต่อกระดูกเชิงกราน และข้อต่อหัวหน่าว คุณแม่อาจรู้สึก “หน่วง ตึง หรือเจ็บแปลบ” บริเวณฝีเย็บ ซึ่งเกิดจากกล้ามเนื้อส่วนนี้ต้องทำงานหนักเกินไป
  3. ผลของฮอร์โมนรีแลกซิน: ฮอร์โมนนี้จะทำงานอย่างเต็มที่ในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ เพื่อคลายกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นบริเวณอุ้งเชิงกรานให้ยืดหยุ่นที่สุด แต่ผลข้างเคียงคือ เมื่อเอ็นต่างๆ คลายตัว กล้ามเนื้อส่วนอื่นจึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคง ส่งผลให้เกิดอาการตึงและปวดได้ง่าย

บทความที่เกี่ยวข้อง : อุ้งเชิงกรานแคบ กระดูกอุ้งเชิงกรานแคบ คนท้องคลอดเองได้ไหม

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ข้อควรระวังและวิธีรับมือเป็นพิเศษในช่วงไตรมาส 3

เพื่อช่วยประคองร่างกายและลดอาการปวดให้ได้มากที่สุด คุณแม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้ได้ค่ะ:

1. รักษาสมดุลของอุ้งเชิงกราน

  • หลีกเลี่ยงการยืนขาเดียว: ให้นั่งลงบนเก้าอี้หรือขอบเตียงเสมอเวลาแต่งตัว และเวลาจะลงจากรถ ให้หมุนตัวแล้วเหวี่ยงขาทั้งสองข้างออกไปพร้อมกันก่อนลุกขึ้นยืน
  • จัดท่ายืน-นั่งให้ดี: เวลายืน ให้ลงน้ำหนักที่ขาทั้งสองข้างเท่าๆ กัน เวลานั่ง ควรวางเท้าทั้งสองข้างราบกับพื้นเสมอ
  • สวมรองเท้าที่เหมาะสม: เลือกรองเท้าส้นเตี้ยที่รองรับอุ้งเท้าได้ดี เช่น รองเท้ากีฬา จะช่วยพยุงร่างกายได้ดีกว่า

2. บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegels)

การฝึกขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเป็นประจำจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและช่วยพยุงน้ำหนักของทารกได้ดีขึ้น

วิธีทำ: เกร็งกล้ามเนื้อส่วนที่ใช้กลั้นปัสสาวะ ค้างไว้สักครู่แล้วคลายออก พยายามทำให้ได้วันละ 20-30 ครั้ง โดยอาจแบ่งทำเป็นเซต เซตละ 10 ครั้ง

3. พักผ่อนและใช้อุปกรณ์ช่วยพยุง

  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในท่าเดิมนานๆ: อย่ายืนหรือนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะจะยิ่งเพิ่มแรงกดทับ
  • จัดท่านอน: นอนตะแคงโดยใช้หมอนสอดไว้ระหว่างเข่า จะช่วยจัดแนวกระดูกสันหลังและอุ้งเชิงกรานให้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นกลางและสบายที่สุด
  • ใช้เข็มขัดพยุงครรภ์: เข็มขัดพยุงครรภ์ (Maternity Belt) หรือเข็มขัดพยุงอุ้งเชิงกราน (SI Belt) สามารถช่วยลดแรงกดทับและพยุงกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ปวดอุ้งเชิงกรานระหว่างตั้งครรภ์ อันตรายต่อลูกในท้องไหม?

แม้ว่าอาการปวดอุ้งเชิงกรานจะสร้างความเจ็บปวดและส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวร่างกายของคุณแม่เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ค่ะ ผลกระทบหลักๆ ของอาการนี้จะอยู่ที่ตัวคุณแม่เอง คือทำให้เกิดความเจ็บปวดและส่งผลต่อสมรรภาพทางกายในชีวิตประจำวัน แต่ไม่ได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพของลูกน้อย โดยปกติแล้ว อาการปวดเหล่านี้มักจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายไปได้เองภายใน 3 เดือนหลังคลอด อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าอาการอาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีกในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปค่ะ

 

สัญญาณอันตราย: ปวดแบบไหนที่ต้องรีบไปพบแพทย์

โดยทั่วไปแล้ว หากคุณแม่มีอาการปวดอุ้งเชิงกราน ปวดหลัง หรือปวดสะโพกในระหว่างตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องว่าอาการนั้นเกิดจากภาวะปวดอุ้งเชิงกราน หรือสาเหตุอื่น

อย่างไรก็ตาม มีอาการบางอย่างที่อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะอื่นที่รุนแรงกว่า ซึ่งคุณแม่ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที หากมีอาการปวดร่วมกับอาการดังต่อไปนี้

  • ปวดรุนแรงมากแม้ไม่ได้ขยับตัว
  • มีไข้ โดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีเลือดออกหรือมีของเหลวรั่วซึม (น้ำเดิน) ผิดปกติทางช่องคลอด
  • น้ำหนักลดลง อย่างไม่ตั้งใจ
  • มีปัญหาในการควบคุมการขับถ่าย (ปัสสาวะหรืออุจจาระ)
  • รู้สึกชาหรืออ่อนแรงที่ขา
  • อาการปวดเกิดขึ้นหลังจากประสบอุบัติเหตุหกล้มหรือได้รับการบาดเจ็บ

การจัดการเมื่ออาการปวดรุนแรงมาก

หากแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเป็นอาการปวดอุ้งเชิงกราน ที่มีความรุนแรงมาก และการรักษาเบื้องต้นไม่ได้ผล อาจมีแนวทางการจัดการเพิ่มเติมดังนี้:

  • เมื่อเดินไม่ได้: หากอาการปวดรุนแรงจนไม่สามารถเดินได้ แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน เช่น ไม้ค้ำยัน หรือรถเข็น
  • การควบคุมความปวด: ในบางกรณีที่ปวดรุนแรงมาก อาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อควบคุมและบรรเทาอาการปวด
  • การปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง: หากอาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจส่งตัวไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านความปวดหรือศัลยแพทย์เพื่อพิจารณาการรักษาขั้นสูงต่อไป (แต่การผ่าตัดเพื่อรักษา PGP นั้นพบได้น้อยมาก)

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากอาการปวดอุ้งเชิงกราน

แม้อาการ ปวดอุ้งเชิงกรานขณะตั้งครรภ์ จะไม่เป็นอันตรายต่อทารก แต่หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคุณแม่ได้ เช่น

  • เกิดความยากลำบากในการทำกิจวัตรประจำวันและการดูแลลูก
  • อาจนำไปสู่ภาวะปวดเรื้อรังหลังคลอด
  • ส่งผลให้คุณภาพชีวิตโดยรวมลดลง

 

ปวดอุ้งเชิงกรานคลอดธรรมชาติได้ไหม ?

คุณแม่ที่มีอาการปวดอุ้งเชิงกราน ส่วนใหญ่สามารถคลอดแบบธรรมชาติผ่านทางช่องคลอดได้ค่ะ แต่อาจจะต้องมีการวางแผนล่วงหน้า เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับแผนการคลอดบุตรกับคุณพ่อหรือคุณหมอไว้ก่อนค่ะ และที่สำคัญก็เพื่อลดอาการปวดของคุณแม่ลงด้วยนั่นเอง 

โดยสรุปแล้ว อาการปวดอุ้งเชิงกรานเป็นภาวะที่พบได้บ่อย ไม่เป็นอันตรายต่อทารก และสามารถจัดการได้ สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณแม่สามารถทำได้คือการนำเทคนิคการดูแลตัวเองต่างๆ ไปปรับใช้เพื่อบรรเทาอาการ ควบคู่ไปกับการสังเกตสัญญาณเตือนที่ต้องรีบไปพบแพทย์ และอย่าลังเลที่จะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม การดูแลและใส่ใจร่างกายของคุณแม่ในวันนี้ คือการสร้างรากฐานที่แข็งแรงเพื่อต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัวในวันข้างหน้าค่ะ

ที่มา: https://www.tommys.org/ , https://www.pregnancybirthbaby.org.au/ , https://www.wpbphysio.co.uk/

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เทคนิค ลดปวดเชิงกรานระหว่างตั้งครรภ์ด้วยตนเอง

ปวดอุ้งเชิงกราน ขณะตั้งครรภ์ เจ็บท้องน้อย ปวดจี๊ด จะเป็นอันตรายหรือไม่

การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์สำคัญอย่างไร

อัปเดตล่าสุด 3 กันยายน 2568

บทความโดย

Weerati