กิจกรรมแบบนี้? แม่ท้องควรปฏิบัติVSไม่ควรปฏิบัติ

ในช่วงตั้งครรภ์มีทั้งข้อควรทำและห้ามทำมากมาย ยังไม่รวมเรื่องความเชื่อต่าง ๆ ที่เข้ามาอีก แต่ก็เพราะความห่วงใยเกี่ยวกับความปลอดภัยของแม่และทารกในครรภ์นั่นเอง มาดูกันว่า กิจกรรมแบบใดบ้างที่แม่ท้องควรทำหรือไม่ควรทำเพื่อดูสิว่า เรากำลังทำเช่นนั้นอยู่หรือไม่!!! ติดตามอ่านค่ะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

กิจกรรมแบบนี้? แม่ท้องควรปฏิบัติVSไม่ควรปฏิบัติ

กิจกรรมแบบนี้? แม่ท้องควรทำ

ในแต่ละวันคุณแม่มักจะมีกิจกรรมหรือมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย มาดูกันว่าสิ่งที่คนท้องอย่างเรา ๆ ควรทำ เพราะจะส่งผลดีต่อตัวคุณแม่เองและต่อลูกน้อย มีอะไรบ้าง จากคำแนะนำของ พญ.ภักษร เมธากูล ดังนี้

1. หมั่นพูดคุยกับลูกน้อยในครรภ์

หากคุณแม่พูดคุยกับลูกน้อยในครรภ์บ่อย ๆ จะดีต่อพัฒนาการด้านการได้ยิน เพราะความจริงแล้วทารกน้อยในครรภ์รู้จักเสียงต่าง ๆ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์แล้วนะคะ โดยเฉพาะถ้าคุณพ่อคุณแม่คุยกับลูกบ่อย ๆ ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลน่าฟัง พูดประโยคเดิมซ้ำ ๆ เช่น พ่อกับแม่รักหนูนะจ๊ะ ให้ลูกคุ้นเคยตั้งแต่อยู่ในท้อง เมื่อทารกเกิดมาจะมีพัฒนาการทางด้านสมองดีกว่าเด็กที่พ่อแม่ไม่ได้คุยด้วย

นอกจากนี้ การพูดคุยของคุณพ่อคุณแม่และลูกน้อยในท้อง เป็นการเชื่อมความสัมพันธ์และสายใยให้ลูกได้รับรู้ถึงความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูก รวมไปถึงการเสริมสร้างพัฒนาการที่ดีสำหรับระบบประสาท และสมองส่วนควบคุมการได้ยิน ช่วยเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด และเตรียมพร้อมสำหรับพัฒนาการด้านภาษาของลูกไปพร้อมกัน

2. อ่านหนังสือ เสริมพัฒนาการด้านสติปัญญาและอารมณ์

คุณแม่หลาย ๆ คนอาจจะเกิดความสงสัยว่า อ่านหนังสือให้ทารกในครรภ์ฟังเขาจะรู้เรื่องจริงหรือ ? การอ่านหนังสือเปรียบได้กับการพูดคุยกับลูกเช่นกันค่ะ และสามารถเสริมพัฒนาการด้านการได้ยินเช่นกัน หากคุณแม่เลือกนิทานที่มีเรื่องราวสนุกสนานมาเล่าให้ลูกฟังด้วยน้ำเสียงที่เหมาะสม มีจังหวะ ท่วงทำนองในการเล่า จะส่งผลดีต่อพัฒนาการด้านสติปัญญาและอารมณ์ของลูกน้อยในครรภ์อีกด้วยค่ะ

บทความแนะนำ แม่ท้องอ่านหนังสือเสริมความฉลาดทารกตั้งแต่ในครรภ์

3. ลูบท้องกระตุ้นพัฒนาการ

การลูบหน้าท้องเบา ๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นพัฒนาการของทารกในครรภ์นั้น ไม่มีข้อจำกัดว่าต้องทำเป็นการใช้มือลูบขึ้นลงเท่านั้น แต่แนะนำว่าการลูบหน้าท้องของคุณแม่นั้น ส่วนมากจะลูบเป็นลักษณะวงกลม จะลูบจากบนลงล่าง หรือล่างขึ้นบนก็ได้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ประโยชน์คือ การลูบท้องทุกสัมผัสที่เกิดขึ้น จะพัฒนาเส้นใยประสาทของสมองส่วนรับความรู้สึก เพิ่มประสิทธิภาพและความไวในการรับรู้ของทารกและพัฒนาการด้านร่างกายที่ดีเพื่อเตรียมพร้อมให้ใช้งานได้ดีในช่วงหลังคลอด ขณะเดียวกันจะเป็นการสร้างความอบอุ่น และความผูกพันระหว่างแม่ลูก

บทความแนะนำ แม่จ๋ารู้ไหม!!!ลูบท้องกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์

4. กระตุ้นพัฒนาการมองเห็นด้วยไฟฉาย

ในระหว่างที่ตั้งครรภ์มีวิธีการกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์หลากหลายวิธี การส่องไฟฉายเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการด้านการมองเห็นของลูกได้

ในเวลากลางคืน คุณแม่อาจให้คุณพ่อใช้ไฟฉายส่องที่หน้าท้อง แล้ววนเป็นรูปวงกลมรอบสะดือช้า ๆ เพื่อกระตุ้นสมองส่วนที่รับรู้แสง ทารกในครรภ์จะเคลื่อนไหวและสนใจแสงไฟ เมื่อส่องไฟทารกภายในครรภ์จะมีการตอบสนอง เช่น การถีบหน้าท้องหรือการดิ้น แสดงว่า เจ้าตัวน้อยรับรู้และเกิดการตอบสนอง การส่องไฟฉายช่วยกระตุ้นเซลล์สมอง เส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็น เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการมองเห็นหลังคลอดได้อย่างดีค่ะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความแนะนำ ไฟฉายส่องท้องกระตุ้นพัฒนาการด้านการมองเห็น

อ่าน กิจกรรมแบบนี้? แม่ท้องควรปฏิบัติ ข้อ 5 - 6 คลิกหน้าถัดไป

กิจกรรมแบบนี้? แม่ท้องควรปฏิบัติ ข้อ 5 - 6

5. นั่งเก้าอี้โยก

ไม่น่าเชื่อว่า การที่คุณแม่นั่งเก้าอี้โยกเป็นการพัฒนาเซลล์สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ได้ และทำให้ลูกสามารถเรียนรู้ต้องการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน เพราะขณะที่คุณแม่นั่งเก้าอี้โยกนั้น ลูกในท้องก็จะโยกเอนไปมาตามทิศทางการโยกของเก้าอี้ ซึ่งต่อมาลูกจะเรียนรู้ว่าการโยกไปมานั้นเป็นระบบ คือ โยกหน้าตามด้วยโยกหลังเสมอเป็นแบบนี้ทุกครั้ง

เกิดอะไรขึ้นเมื่อลูกเรียนรู้เช่นนี้

ลูกจะรู้จักปรับตัวและตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมนั้น โดยขณะที่เก้าอี้โยกไปข้างหน้า ลูกเริ่มรู้จักการเกร็งตัวไปด้านหลัง ต้านแรงโยกไปด้านหน้า เพื่อพยุงตัวให้ลอยอยู่ตรงกลางเสมอ ลูกจะสามารถทำได้ง่ายเพราะเจ้าหนูลอยตัวอยู่ในน้ำคร่ำ ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวไปมาจะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อและการทรงตัว ลูกที่คลอดออกมาแล้วจึงพลิกคว่ำและหงายได้เร็วาอีกด้วย

6. ออกกำลังกาย

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การออกกำลังกาย นอกจากจะเป็นผลดีต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจของคุณแม่แล้ว การออกกำลังกายยังช่วยพัฒนาประสาทสัมผัสของลูกในครรภ์เป็นอย่างดี เพราะเมื่อคุณแม่เคลื่อนไหว ผิวของลูกน้อยจะสัมผัสกับผนังด้านในมดลูก ซึ่งการสัมผัสนี้จะช่วยพัฒนาใยสมองส่วนการรับความรู้สึกของลูกให้มีขนาดใหญ่ขึ้น หลักการออกกำลังกายสำหรับแม่ท้อง คือ การออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรหักโหม ได้แก่ การเดิน การว่ายน้ำ แอโรบิกในน้ำ โยคะ และยืดกล้ามเนื้อ

การเดิน เป็นการออกกำลังกายช่วยให้กล้ามเนื้อของคุณแม่แข็งแรงขึ้น และสามารถเดินออกกำลังกายได้ตลอดจนถึง 9 เดือน เดินครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 – 4 ครั้ง

บทความแนะนำ เดิน 30 นาทีต่อวันดีต่อสุขภาพครรภ์

การว่ายน้ำและแอโรบิกในน้ำ เป็นการออกกำลังกายที่ดี เพราะในน้ำมีแรงดันทำให้การไหลเวียนโลหิตดีขึ้นโยอัตโนมัติ เลือดที่คั่งอยู่ตามขาและเท้าเป็นเหตุให้เกิดเส้นเลือดขอดและเส้นเลือดดำโป่งก็ไหลกลับสู่หัวใจง่ายขึ้น ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดดีขึ้น ลดอาการบวมน้ำตามมือและเท้า

โยคะ ศาสตร์แห่งโยคะช่วยคุณแม่สร้างสติและสมาธิ ทำให้คุณแม่มีร่างกายและจิตใจที่ดี ที่สำคัญมีประโยชน์ต่อการคลอดทำให้คลอดง่าย ยิ่งถ้าได้ฝึกโยคะหลังคลอดจะทำให้ร่างกายกลับคืนสภาพปกติได้เร็วขึ้นอีกด้วย

บทความแนะนำ วีดีโอฝึกโยคะสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์

การบริหารกล้ามเนื้อง่าย ๆ หากคุณแม่ไม่มีเวลามากนัก โดยเฉพาะคุณแม่ Working Mom อาจใช้วิธียืดเส้นยืดสายหากนั่งหรือยืนนานๆ สามารถทำได้ทั้งอยู่ที่บ้านและที่ทำงาน

อ่าน กิจกรรมแบบนี้? แม่ท้องไม่ควรปฏิบัติ คลิกหน้าถัดไป

กิจกรรมแบบนี้? แม่ท้องไม่ควรทำ

ได้ทราบกันแล้วนะคะว่า กิจกรรมที่คุณแม่ควรปฏิบัติมีอะไรบ้าง ทีนี้มาดูกันว่ากิจกรรมที่คนท้องไม่ควรทำหรือควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจจะเป็นผลเสียต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ คำแนะนำกิจกรรมควรหลีกเลี่ยงจาก พญ.ภักษร เมธากูล ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงการเสริมความงามด้วยการโกรกผม ย้อมผม ยืดผม ดัดผม เพราะกิจกรรมเหล่านี้ต้องใช้เคมี ซึ่งบางอย่างคุณแม่อาจจะแพ้ก็ได้ และจะทำให้เกิดการติดเชื้อตามมา

บทความแนะนำ ใช้เครื่องสำอางอย่างไรให้ปลอดภัยทั้งแม่และลูกในท้อง

2. หลีกเลี่ยงการทำเบบี้เฟรซ เนื่องจากมีสารเคมีออกฤทธิ์แรง มากัดผิวของคุณแม่ให้บางลง อาจทำให้ผิวอักเสบและไม่แข็งแรงดังเดิม

3. หลีกเลี่ยงการทาเล็บ เพราะงานวิจัย พบว่า สารเคมีในยาทาเล็บส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์

4. หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนสีผิว เพราะจะทำให้ผิวของคุณแม่บางลง ไม่ทนแดด ทนสภาพแวดล้อม และมลภาวะได้ดีดังเดิม

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

5. หลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อกซ์อย่างเด็ดขาดเพราะการทำโบท็อกซ์คือการฉีดสารเคมีเข้าไปในผิวหนัง อาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่ได้รับสารเคมีเข้าไปกลายเป็นอัมพาตได้

6. หลีกเลี่ยงการสักคิ้ว เพราะหากเครื่องมือไม่สะอาดทำให้คุณแม่ได้รับเชื้อโรคและอาจส่งผลเสียต่อทารกในครรภ์ได้

7. หลีกเลี่ยงการอบไอน้ำ ซาวน่า เพราะจะทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำมากเกินไป

8. หลีกเลี่ยงการถ่ายเอกสาร การใช้งานเครื่องถ่ายเอกสารบ่อย ๆ หรือแม้แต่การนั่งทำงานใกล้เครื่องถ่ายเอกสารจะทำให้ร่างกายได้รับอันตรายจากรังสี และสารเคมีที่แผ่ออกมาจากเครื่องโดยที่ไม่รู้ตัว ถ้าไม่ระมัดระวังอาจทำให้เกิดการสะสมในร่างกาย เป็นสาเหตุทำให้เกิดการแท้งได้ นอกจากนี้หมึกของเครื่องถ่ายเอกสารยังมีสารที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบหายใจ ไอ จาม และทำให้เกิดความผิดปกติต่อลูกในครรภ์ด้วย

บทความแนะนำ อันตรายไหม หากคนท้องเดินผ่านเครื่องสแกนร่างกายทุกวัน

9. หลีกเลี่ยงอาหารที่อุ่นจากไมโครเวฟ เพราะการรับประทานอาหารที่อุ่นโดยใช้ไมโครเวฟบ่อยครั้ง อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการได้รับรังสีไมโครเวฟในขณะที่อุ่น เป็นเหตุให้เกิดความผิดปกติของระบบเซลล์ประสาทของทารกในครรภ์ ดังนั้น คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ย่อมมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าอาหารที่อุ่นโดยใช้ไมโครเวฟ

ได้ทราบกันแล้วนะคะ ว่ามีกิจกรรมใดบ้างที่ควรปฏิบัติและกิจกรรมใดที่ไม่ควรปฏิบัติ เพียงแต่ต้องการให้คุณแม่ทราบถึงข้อดีข้อเสียจากการทำกิจรรมต่าง ๆ ขอให้คุณแม่ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรงและคลอดเจ้าตัวน้อยอย่างปลอดภัยนะคะ

ร่วมบอกเล่าและแชร์ประสบการณ์ในช่วงตั้งครรภ์ คลอดบุตร รวมถึงการเลี้ยงดูทารกน้อย เพื่อเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวอื่น ๆ กันนะคะ หากมีคำถามหรือข้อสงสัย ทางทีมงานจะหาคำตอบมาให้คุณ

อ้างอิงข้อมูลจาก

หนังสือ “เตรียมตัวคลอดอย่างไรให้ปลอดภัยทั้งแม่และลูก” แพทย์หญิงภักษร เมธากูล ผู้เขียน

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

แม่ท้องปั่นจักรยานได้ไหม?

สิ่งที่คนท้องทำได้