X
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้าเข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ตั้งครรภ์
    • คำนวณวันคลอด
    • ฉันกำลังตั้งครรภ์
    • ไตรมาสที่ 1
    • ไตรมาสที่ 2
    • ไตรมาสที่ 3
    • Project Sidekicks
    • ตั้งชื่อลูก
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • อีเว้นท์
    • TAP Awards Winners
    • TAP idol
    • TAP x Safari Largest Treasure Hunt
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

อยากให้ลูกเป็นหมอ พ่อแม่อย่าพลาดลืมทำ 6 ข้อนี้เด็ดขาด !

บทความ 5 นาที
อยากให้ลูกเป็นหมอ พ่อแม่อย่าพลาดลืมทำ 6 ข้อนี้เด็ดขาด !

พ่อแม่ไม่น้อย อยากให้ลูกเป็นหมอ ที่สำคัญ คือ ความสมัครใจของลูกด้วย หากลูกเห็นชอบ ลูกอยากเป็นหมอจริง ๆ ก็ถึงเวลาที่จะต้องเตรียมตัว มีอะไรบ้างที่ลูกต้องรู้ และพ่อแม่จะช่วยได้อย่างไรนั้น ลองอ่านดูในบทความนี้

 

6 ข้อที่ต้องรู้หาก “อยากให้ลูกเป็นหมอ”

ความต้องการที่จะให้ลูกโตมาได้ดีมีชีวิตสดใส ไม่ลำบาก เป็นเรื่องปกติที่คนเป็นพ่อแม่กำลังคิด หลายคนอาจโฟกัสไปที่อาชีพหมอ แม้หลาย ๆ อาชีพก็สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ดังนั้นก่อนที่อยากจะให้ลูกเป็นหมอ จึงควรถามลูกก่อน แล้วค่อยวางแผนต่อไป หากลูกมีความตั้งใจอยากเป็นหมอจริง ๆ โดยเราให้ลองอ่าน 6 ข้อต่อไปนี้ก่อน

 

1. เรื่องอนาคตสำคัญ ต้องถามลูกก่อนเสมอ

ถึงแม้พ่อแม่จะอยากให้ลูกเป็นหมอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป เพราะต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกด้วย เด็กหลายคนอาจไม่รู้ตัวเองว่าโตไปแล้วอยากเป็นอะไร ส่วนหนึ่งนั้นมาจากการแนะแนวที่ไม่ได้ถูกมองว่าสำคัญมากพอในโรงเรียน สำหรับช่วงอายุที่เหมาะสมที่จะคุยเรื่องความฝันจะอยู่ในช่วงประถมศึกษาตอนปลาย ป. 4 – ป. 6 อายุระหว่าง 10 – 12 ปี หรือจะอยู่ในช่วงของมัธยมศึกษาตอนต้นก็ได้ คือ ในช่วง ม. 1 – ม. 3 อายุระหว่าง 13 – 15 ปี หากเป็นไปได้ไม่ควรปล่อยให้ลูกไม่รู้ถึงอาชีพที่อยากเป็นจนถึงช่วง ม.ปลาย เพราะบางอาชีพอาจต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวมากกว่าที่คิด

พ่อแม่สามารถพูดคุยถึงอาชีพต่าง ๆ ได้ ไม่ใช่แค่หมอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาชีพอื่น ๆ ให้ลูกได้รู้ถึงข้อดี และข้อจำกัดของแต่ละอาชีพ รวมถึงลักษณะการทำงานของอาชีพนั้น ๆ ว่ามีภาพรวมเป็นอย่างไร เมื่อลูกมีท่าทีสนใจอาชีพไหน ก็ช่วยลูกศึกษาถึงสิ่งที่อาชีพนั้นทำจริง ๆ หากลูกไม่ได้อยากเป็นหมอ พ่อแม่ก็ควรที่จะยอมรับ และสนับสนุนลูกต่อไป หากเป็นอาชีพหมอต้องเน้นย้ำให้ลูกเข้าใจถึงความรับผิดชอบ หรือการต้องเจอเลือด ไม่ได้สวยหรูและจบแค่การมีเงินเดือนสูง ๆ เท่านั้น

บทความที่เกี่ยวข้อง : ทํานายอาชีพในอนาคตของลูกน้อยจากความฉลาด 8 ด้าน

 

วิดีโอจาก : Netflix Thailand

 

2. หาเวลาว่างเพื่อให้ลูกรู้จักอาชีพหมอมากขึ้น

เมื่อลูกมีความคิดแน่ชัดแล้วว่าอยากเป็นหมอ โดยไม่ได้ผ่านการชักจูงของพ่อแม่ ตลอดเวลาหลังจากนั้น ควรหาเวลาว่างมาศึกษาสิ่งที่หมอจะต้องทำในสาย หรือสาขาความถนัดต่าง ๆ เพื่อเจาะลึกมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันสามารถศึกษาได้ง่ายกว่าเดิมจากการมีสื่อออนไลน์มาเป็นตัวกลางในการศึกษาเก็บข้อมูลได้ ไม่ว่าจะเป็นการดูสัมภาษณ์ของหมอแผนกต่าง ๆ หรือดูว่าคนเรียนแพทย์ต้องเจอกับอะไรบ้าง เป็นต้น นอกจากนี้หากมีคนใกล้ตัวที่เป็นหมอ สามารถหาโอกาสในการพูดคุยกันได้ก็ควรทำ เพื่อให้ลูกได้รับประสบการณ์ และเรื่องราวที่ควรรู้หลาย ๆ แง่มุม หรือการพาลูกไปเข้าค่ายที่เกี่ยวกับหมอ เป็นต้น ไม่ควรศึกษาเพียงไม่กี่วัน เพราะการเตรียมตัวเตรียมใจไว้ก่อนว่าต้องเจออะไรเป็นสิ่งที่ควรทำแต่เนิ่น ๆ

 

3. เลือกสายการเรียนที่เหมาะสม

อย่างที่เราแนะนำไปว่าเรื่องอาชีพในฝันของเด็ก ๆ ควรจะต้องพูดคุยก่อนจะขึ้น ม.ปลาย หากเป็นไปได้ เพราะสายการเรียนจะถูกแบ่งออกชัดเจนใน ม.ปลาย ถือว่ามีความสำคัญอยู่พอสมควร สายการเรียนที่เหมาะสำหรับการเตรียมตัวในชั้นเรียน คือ สายที่ส่งเสริมด้านวิชาการ หรือสาย “วิทย์ – คณิต” นั่นเอง เพราะรายวิชาในห้องเรียนจะมีความเกี่ยวข้องกับสายการเรียนหมอมากกว่าสายการเรียนทั่วไปในช่วง ม.ปลาย

แต่ไม่ได้หมายความว่าเด็กที่เรียนในสายอื่นจะหมดโอกาส เด็กบางคนอาจรู้ตัวช้าว่าอยากเป็นหมอ หรือเรียนอยู่ในสายอื่นที่ไม่ใช่วิทย์ – คณิต ก็สามารถเตรียมตัวได้เช่นกัน ด้วยการหาที่เรียนพิเศษเสริม หาเวลาว่างในการเรียนเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มความรู้ในรายวิชาที่จำเป็น แต่ไม่ได้อยู่ในหลักสูตรทั่วไปในห้องเรียน

 

อยากให้ลูกเป็นหมอ 2

 

4. เตรียมใจ เพราะต้องเรียนหนัก และเลี่ยงความกดดันลำบาก

คนที่อยากโตไปเป็นหมอไม่ได้มีเพียงหลัก 10 คน ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าการแข่งขันนั้นสูงแค่ไหน การที่จะสอบให้ติดหลังจากเรียนจบมัธยมจึงเป็นช่วงที่กดดันมาก ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นผลที่มาจากการเตรียมตัวของเด็กแต่ละคน เพราะนอกจากจะต้องทำคะแนนการสอบตามสนามต่าง ๆ ที่จำเป็นแล้ว สำหรับเกรดการเรียนก็ต้องดูแลให้อยู่ในขั้นสวยหรูด้วย ถ้าทำได้ครบก็จะยิ่งทำให้ลูกได้เปรียบมากขึ้นไปอีก ทั้งหมดนี้เองจึงทำให้เกิดความกดดัน หรือความเครียดจากการเรียนที่มากเกินไป และเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง ในมุมของเด็ก ๆ ผู้ปกครองอาจต้องบอกให้ลูกรู้ในเรื่องนี้ไว้ก่อนด้วย

แต่ในมุมของผู้ปกครองเองก็ไม่ได้มีหน้าที่แค่คอยส่งเสริมการเรียนของลูกเท่านั้น แต่มีหน้าที่ในการพยายามช่วยลดแรงกดดัน และช่วยผ่อนคลายความเครียดให้กับลูก เช่น ไม่พูดกดดัน บังคับ หรือแสดงความผิดหวังเมื่อผลสอบไม่เป็นดั่งที่ต้องการ แต่เปลี่ยนมาให้กำลังใจ และแรงผลักดันแทน รวมถึงหาโอกาสหรือเวลาว่างในการพาลูกไปทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อคลายเครียดบ้าง เช่น พาไปดูภาพยนตร์, พาไปเที่ยวทะเล, พาไปกางเต็นท์บนภูเขา หรือทำในสิ่งที่ลูกชอบ เพื่อให้ลูกได้มีช่วงเวลาอื่นบ้างนอกจากการเรียนหนังสือ

 

5. เตรียมพร้อมสำหรับสนามสอบที่อาจเปลี่ยนแปลง

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการสอบในแต่ละปี มีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปทีละเล็กทีละน้อย รุ่นพี่อาจสอบแบบนี้ แต่พอมาถึงรุ่นของเราดันสอบอีกแบบแล้ว ดังนั้นสิ่งที่ควรทำในช่วง ม.ปลาย คือ การเรียนรู้สนามสอบที่จำเป็นตั้งแต่เนิ่น ๆ หาข้อมูลในปีการศึกษานั้นว่า หากต้องการสอบเรียนหมอ ต้องใช้คะแนนสอบจากสนามไหนบ้าง จากนั้นก็ศึกษาข้อสอบเก่า ๆ (ถ้ามี) เพื่อสร้างความเคยชิน ดีกว่าการไปรู้ก่อนลงสนามสอบไม่นานว่าจะต้องสอบสนามนี้ด้วย อาจทำให้เตรียมตัวไม่ทันได้ ปัจจุบันมีการแนะนำสนามสอบที่จำเป็นตามเว็บไซต์ หรือ YouTube รวมไปถึงสถาบันกวดวิชาบางแห่งก็อัปเดตให้เด็กฟังโดยตรง หรืออาจขอข้อมูลจากครูแนะแนวร่วมด้วยก็ได้

 

อยากให้ลูกเป็นหมอ

 

6. เตรียมพร้อมกับรูปแบบการสอบ

หลังจากรู้จักสนามสอบเข้ามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่จำเป็นแล้ว สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่ง คือ “อยากเข้ามหาวิทยาลัยไหน ?” เป็นสิ่งที่ยากพอ ๆ กับการหาอาชีพในฝันสำหรับเด็กแน่นอน พ่อแม่ควรปรึกษาพูดคุยกับลูกว่าสนใจที่ไหนบ้าง ทำไมจึงสนใจ และปัจจัยต่าง ๆ ที่ลูกต้องการ เรื่องนี้ควรตัดสินใจร่วมกัน แต่ก็ควรให้ลูกเป็นคนเลือกในช่วงสุดท้าย หากพ่อแม่ไม่ได้มีความติดขัดใด ๆ กับที่เรียนที่ลูกอยากเรียนก็สนับสนุนเต็มที่ แต่ถ้าหากติดขัดในเรื่องค่าใช้จ่าย หรือเรื่องอื่น ๆ ก็ควรรีบพูดคุยกับลูกเพื่อหาข้อตกลงกันใหม่

เมื่อได้มหาวิทยาลัยที่ชอบแล้ว แต่มาก็คือการศึกษาว่าสถาบันนั้น ๆ มีรูปแบบในการรับนักเรียนเข้าไปเป็นนักศึกษาผ่านรูปแบบใดบ้าง ซึ่งโดยทั่วไปมักจะแบ่งออกเป็น 4 แบบ ได้แก่

 

  • รอบ Portfolio : จากการดูแฟ้มผลงานที่เคยทำมา ทั้งในด้านของกิจกรรม การอบรม ไปจนถึงคะแนนสอบ หลักเกณฑ์ในการตัดสินใจขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบัน
  • รอบ Quota : เป็นสิทธิที่สถาบันนั้น ๆ มอบให้กับนักเรียนในพื้นที่ใกล้เคียง หรืออื่น ๆ ตามแต่ละสถาบันจะกำหนด โดยจะเป็นการใช้คะแนนสอบกลางเป็นส่วนใหญ่ในสนามที่มีความเกี่ยวข้อง เช่น O-Net และ วิชาสามัญ เป็นต้น
  • การ Admission 1 และ 2 : เป็นการรับผู้เข้าศึกษาพร้อมกัน ทุกคนมีสิทธิเท่านั้น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 รอบ คือ Admission 1 ใช้คะแนน O-NET, GAT/PAT, วิชาสามัญ และวิชาเฉพาะ ส่วน Admission 2 ใช้คะแนน GPAX, คะแนน O-NET และ GAT/PAT
  • รับตรง Direct Admission : ในแต่ละสถาบันอาจมีรอบการสอบเข้าตรง ซึ่งเงื่อนไขในการรับสอบนั้นแตกต่างกันในแต่ละสถาบัน จึงต้องศึกษาให้ดี และถือว่าเป็นรอบสุดท้ายของสถาบันนั้น ๆ ที่จะรับนักศึกษาใหม่แล้ว

 

ทั้งหมดนี้คือเรื่องที่เด็ก ๆ จะต้องรู้เพื่อเตรียมตัว เตรียมใจเอาไว้ก่อน และนำไปวางแผนต่อในอนาคต และถึงแม้ต่อไปลูกจะสมหวังหรือไม่ ผู้ปกครองก็ควรจะอยู่เคียงข้างลูกเสมอในทุกผลลัพธ์ที่ออกมา

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :

อยากเป็น หมอรักษาเด็ก ต้องทำอย่างไร พร้อมแนะนำ 8 หลักสูตรการพยาบาลเฉพาะทาง

ผลสำรวจชี้ ครู อาชีพในฝันเด็กไทย ไอดอลในดวงใจคือ พ่อแม่

ลูกพร้อมเรียนกวดวิชาหรือไม่ ชวนคุณพ่อคุณแม่มาเช็กลิสต์กัน !

ที่มา : 1, 2, 3

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

Sutthilak Keawon

  • หน้าแรก
  • /
  • การเลี้ยงลูก
  • /
  • อยากให้ลูกเป็นหมอ พ่อแม่อย่าพลาดลืมทำ 6 ข้อนี้เด็ดขาด !
แชร์ :
  • เผยทริค! วิธีเลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก สำหรับเด็ก ด้วยวิธีง่าย ๆ

    เผยทริค! วิธีเลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก สำหรับเด็ก ด้วยวิธีง่าย ๆ

  • อยากให้ลูกผิวดี ทำอย่างไร? เคล็ดลับง่าย ๆ ช่วยให้ลูกน้อยผิวสวย

    อยากให้ลูกผิวดี ทำอย่างไร? เคล็ดลับง่าย ๆ ช่วยให้ลูกน้อยผิวสวย

  • สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แต่ละยุคสมัยแตกต่างกันอย่างไร มาชมไปพร้อมกัน

    สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แต่ละยุคสมัยแตกต่างกันอย่างไร มาชมไปพร้อมกัน

  • เผยทริค! วิธีเลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก สำหรับเด็ก ด้วยวิธีง่าย ๆ

    เผยทริค! วิธีเลือกผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก สำหรับเด็ก ด้วยวิธีง่าย ๆ

  • อยากให้ลูกผิวดี ทำอย่างไร? เคล็ดลับง่าย ๆ ช่วยให้ลูกน้อยผิวสวย

    อยากให้ลูกผิวดี ทำอย่างไร? เคล็ดลับง่าย ๆ ช่วยให้ลูกน้อยผิวสวย

  • สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แต่ละยุคสมัยแตกต่างกันอย่างไร มาชมไปพร้อมกัน

    สมัยก่อนประวัติศาสตร์ แต่ละยุคสมัยแตกต่างกันอย่างไร มาชมไปพร้อมกัน

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
    • ก่อนตั้งครรภ์
    • การคลอด
    • ระยะการตั้งครรภ์
    • การคลอด
  • พัฒนาการลูก
    • ทารก
    • เด็กก่อนเข้าเรียน
    • ช่วงวัยของเด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • การวางแผนการเงิน
    • การเลี้ยงลูก
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • นมแม่และนมผง
  • โภชนาการ
    • สินค้าเด็ก
    • นมผง
    • เมนูอาหาร
    • สินค้าแม่
  • เพิ่มเติม
    • TAP สังคมออนไลน์
    • ติดต่อโฆษณา
    • ติดต่อเรา
    • Influencer Marketing (KOL)
    • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Sri-Lanka flag Sri Lanka
  • India flag India
  • Vietnam flag Vietnam
  • Australia flag Australia
  • Japan flag Japan
  • Nigeria flag Nigeria
  • Kenya flag Kenya
© Copyright theAsianparent 2023. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

theAsianparent heart icon
เราต้องการส่งแจ้งเตือนข้อมูลข่าวสารไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจไปให้กับคุณ