เด็กชายอยากได้กางเกง มินนี่เมาส์ แต่ถูกแปะป้ายว่าเฉพาะเด็กผู้หญิง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ว่าด้วยเรื่องของเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ การแต่งตัวด้วยกระโปรง หรือลวดลายน่ารัก ก็ยังเป็นคำถามที่เสียมารยาท เมื่อมีคำว่าเพศมาขีดกรอบไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็ก และเรื่องนี้กลายเป็นจุดที่คุณแม่ตั้งข้อสงสัย เมื่อเธอเจอกับตัวเองหลังจากที่ เด็กชายอยากได้กางเกง มินนี่เมาส์ แม่ซื้อให้ตามความต้องการ แต่กลับกลายเป็นเรื่องล้อเลียน ในสังคมส่วนรวม

 

เรื่องนี้เริ่มจากครอบครัวของ อวานี ชาห์ (Avni Shah) คุณแม่ชาวสหรัฐฯ ที่ เด็กชายอยากได้กางเกง มินนี่เมาส์ ผู้เป็นแม่ก็ไม่รอช้าที่จะซื้อให้ แต่เธอกลับพบว่ามินนี่เมาส์และตัวละครหญิงอื่น ๆ มักถูกจำกัดกรอบ ด้วยการอยู่ในป้ายที่มีข้อความว่า “สำหรับเด็กผู้หญิง” ไม่ว่าจะเป็นป้านสินค้า โซนขายสินค้าใดก็ตาม รวมไปถึงสินค้าประเภทอื่นอย่าง ของเล่น เสื้อผ้า และรองเท้า ล้วนแล้วแต่ถูกแบ่งออกตามเพศสภาพ เด็กชายเด็กหญิงเท่านั้น

 

หลังจากที่เธอประสบคำถามนี้ เธอจึงได้ตั้งข้อสงสัยอีกครั้ง กับบรรดาผู้ปกครองที่เธอรู้จักว่า “แต่ละครอบครัวเลือกซื้อเสื้อผ้าให้ลูกอย่างไร” ซึ่งเธอก็ได้คำตอบว่า ส่วนใหญ่แล้วจะจูงลูกไปที่เป็นของเด็กผู้ชาย ถึงแม้ว่าลูกต้องการของสีชมพู หรือลวดลายยูนิคอร์นก็ตาม เพราะไม่ต้องการให้ลูกอับอายจากการถูกล้อเลียน

 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

แต่ถึงแม้เธอจะถามความเห็นบ้านอื่นแล้วก็ตาม เธอยังตัดสินใจที่จะซื้อ กางเกงลายมินนี่เมาส์ ให้กับลูกชายของเธออยู่ดี เมื่อลูกชายของเธอได้รับสิ่งที่ต้องการ หนูน้อยก็ใส่ไปโรงเรียนอย่างมีความสุข แต่เรื่องราวกลับต้องกลายเป็นฝันร้าย เมื่อเขาถูกเพื่อน ๆ ล้อเลียน ในขณะที่เปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกัน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ลูกชายของเธอตระหนักได้ว่า “การที่เขาแต่งกายแบบนี้ มันทำให้เขาถูกมองว่าแปลกประหลาด ไม่สมกับการเป็นผู้ชาย”

 

เรื่องดังกล่าวทำให้เธอรู้สึกว่า “ทำไมเราจึงต้องแบ่งแยกเพศตั้งแต่แรก การแบ่งแยกนี้ส่งผลต่อการมองโลกยังไง” เพราะเธอเชื่อว่าการที่มนุษย์เรา เชื่อในความเท่าเทียม ไม่แบ่งแยกเพศ เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ในการสั่งสอน เพื่อให้ลูกเรียนรู้และเข้าใจในผู้อื่น การที่สอนให้ลูกแยกผู้คนออกเป็นประเภทต่าง ๆ มีผลเสียต่อโลกทัศน์ของเด็ก เป็นการส่งต่อทัศนคติอันตรายที่เหมารวมตั้งแต่ยังอายุน้อย

บทความที่เกี่ยวข้อง : หยุด Bully เพราะเรื่องที่เกิดเป็นปมในใจ ไม่ใช่เรื่องน่าขำ

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การที่เด็กได้รับการอบรม หรือการสอนตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้เข้าใจถึงประเด็นต่าง ๆ เพศ เชื้อชาติ และอัตลักษณ์ จะช่วยให้พวกเขาเข้าใจ และมีความเห็นอกเห็นใจในเพื่อนมนุษย์มากขึ้น การที่แบ่งแยกตั้งแต่เด็ก ส่งผลต่อการเติบโตของลูก

 

สามีของเธอบอกว่า จริงอยู่ที่ผู้คนอาจจะไม่เข้าใจสไตล์การแต่งตัว แต่ความนิยมของสังคมไม่ควรเป็นตัวเลือก ในการกำหนดความชอบของลูกเรา ซึ่งหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น เธอตัดสินใจเลือกสินค้าหรือเสื้อผ้าที่เป็นของเด็กผู้หญิงเสมอ แก้ด้วยการซื้อไซซ์ที่ใหญ่กว่านั้นนิดหน่อย เพื่อให้พอดีกับรูปร่างของลูกชายเธอ พร้อมทั้งย้ำกับลูกชายว่า “การแต่งตัวแบบนี้มีโอกาสที่เพื่อนคนอื่น จะแสดงความเห็นต่างได้ ลูกต้องปรับตัวและเข้าใจข้อนี้ด้วย”

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การแบ่งแยกเพศตั้งแต่เด็ก ส่งผลเสียจริงหรือ ?

จากผลการวิจัยของ กรมการศึกษารัฐแคลิฟอร์เนีย (California Department of Education) ระบุว่า การแบ่งแยกผู้คน หรือแบ่งเพศ ออกเป็นประเภทต่าง ๆ เป็นเรื่องที่มีผลเสียต่อตัวเด็ก เนื่องจากว่าเป็นหนึ่งในการสร้างทัศนคติ ที่ไม่เหมาะสม และเป็นการเหมารวมที่อันตราย ตั้งแต่อายุยังน้อย

 

ยกตัวอย่างเช่น คำพูดที่บอกว่าสีชมพูเป็นสีของผู้หญิง เด็กผู้ชายต้องห้ามร้องไห้ คนที่เป็น LGBTQ+ มักจะมีอารมณ์แปรปรวน

 

สิ่งที่จำเป็นสำหรับเด็ก ๆ คือการมีหลักสูตรหรือวิธีที่ดี ที่ทำให้เด็ก ๆ เข้าใจถึงความแตกต่าง โดยนับเป็นอีกหนึ่งความสามารถที่น่าชื่นชม เพราะการเข้าใจผู้อื่น เป็นหนึ่งในหนทางลดความอคติ ความขัดแย้ง หรือปัญหาการทะเลาะกัน ซึ่งการสร้างความเห็นอกเห็นใจให้แก่เด็กเล็ก ยิ่งมากเท่ายิ่งทำให้เด็กเข้าใจในมุมมองของผู้อื่นมากเท่านั้น

 

สรุปคือการมีความเห็นอกเห็นใจ เป็นเรื่องที่ช่วยลดอคติของมนุษย์ ที่มีต่อความแตกต่างได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ สีผิว เชื้อชาติ และเป็นอีกหนึ่งส่วนที่ทำให้สังคมน่าอยู่ขั้น ลดปัญหาการบูลลี่ หรือการล้อเลียนไปได้เป็นจำนวนมาก แนวคิดเก่าที่ปิดกั้นความเห็นต่างอย่าง การแบ่งพื้นที่ระหว่างจังหวัด หรือแม้กระทั่งการแยกคนผิวสีในสหรัฐฯ ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า ไม่เป็นข้อดี ขัดขวางไม่ให้สังคมรุ่งเรือง ซ้ำยังก่อความบาดหมางกันมากกว่า

 

ในปัจจุบันสังคมมีความกว้างขวางขึ้น แต่ก็ยังมีความไม่เข้าใจอยู่ เป็นเพราะการแต่งตัวที่ไม่เคยมี หรือขาดการเข้าใจในอีกฝ่าย สังเกตได้จากการที่ศิลปินอย่าง แฮร์รี่ สไตล์ (Harry Styles) สวมจั๊มสูทสีสันสดใสขึ้นแสดงคอนเสิร์ต หรือ นักแสดงชายผิวดำบิลลี่ พอร์เตอร์ (Billy Porter) ที่สวมชุดทักซิโด้ พร้อมกระโปรงยาวเดินพรมแดงในงานประกาศรางวัลออสการ์ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

จริงอยู่ที่เริ่มมีความเปิดกว้าง แต่ก็ยังไม่มากพอที่จะหยุดการล้อเลียน หรือการดูถูกจากสังคมได้ หากบ้านไหนที่ยึดแนวคิดเรื่องความเท่าเทียม อาจจะต้องพูดคุยกับลูก หรืออธิบายให้ลูกเข้าใจ และรู้จักในการเคารพผู้อื่น มีความเห็นอกเห็นใจให้มากขึ้น เพื่อที่สังคมจะได้น่าอยู่ และไม่สร้างความ Toxic จนกลายเป็นปัญหาการบูลลี่ หนทางสู่การฆ่าตัวตาย

 

6 แนวทาง Stop Bullying

เมื่อคุณโดนบูลลี่ (bully) คนที่บูลลี่คุณต้องการให้คุณโต้ตอบ ตอบสนองอะไรบางอย่างกลับ เพราะเขาอาจต้องการทำให้คุณกลัว เสียใจ รู้สึกหมดพลัง หรือมีอำนาจน้อยกว่า ดังนั้นหากคุณแสดงออกว่าคุณไม่ได้เสียใจหรือรู้สึกอะไรมากพอ เขาอาจไม่ให้ความสนใจกับคุณต่อเพราะไม่สามารถทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นได้

 

  1. เดินหนี : การเดินหนีออกไปจากเขา แม้ว่าเขาจะติดตามคุณต่อ คุณควรจะแสดงออกเหมือนกับเขาเป็นคนแปลกหน้าด้วยภาษากายที่บ่งบอกว่าคุณไม่สนใจ
  2. เพิกเฉย : ใช้ความนิ่งของคุณหยุด โดยการให้ความสนใจกับสิ่งอื่นแทน การให้ความสนใจกับคนที่บูลลี่คุณ จะทำให้เขาบูลลี่คุณเพิ่มขึ้น
  3. บอกความต้องการของตนเองออกไป : เช่น ตะโกนว่า "หยุด" และเดินออกมาโดยไม่ต้องหันกลับไปมองสิ่งที่เขาทำกับคุณ
  4. ตอบโต้ด้วยการแสดงความมั่นใจในตัวเอง : หากคุณถูกบูลลี่ด้วยการเรียกชื่อหรือล้อเลียนเรื่องรูปร่าง คุณอาจมองเขาด้วยสายตาเปรียบเทียบและเดินหนีออกมา การแสดงออกว่าคุณมีความมั่นใจ มีความสุข
  5. ให้ความสนใจกับคนที่บูลลี่ : แต่ไม่ตอบสนองในทิศทางที่เขาต้องการให้เราเป็น เช่นจ้องมองสิ่งที่เขาทำและไม่ตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อเขาหยุดก็ให้คุณยิ้มให้หรือไม่ให้ความสนใจใด ๆ
  6. บันทึก : คุณสามารถสิ่งที่คุณโดนกระทำด้วยวิดีโอได้ และควรบันทึกไว้อย่างน้อยเพื่อเป็นหลักฐานในการส่งต่อไปให้ผู้ที่ดูแลคุณ หรือมีความสามารถในการช่วยเหลือคุณจากการโดนบูลลี่ได้ การบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นจะช่วยทำให้คนอื่นเห็นว่าสิ่งที่คุณพูดไม่ใช่การกล่าวหาคนอื่นอีกด้วย

 

อย่าลืมว่าปัญหาของการแบ่งแยก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ล้วนเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดข่าวเศร้า อย่างการฆ่าตัวตาย การเป็นโรคซึมเศร้า ที่ร้ายกว่านั้นคือการบูลลี่ ไม่ได้มีอยู่เพียงในโลกโซเชียล แต่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว การรับมืออย่างมีสติ และการปลูกฝังตั้งแต่เล็ก จึงเป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรหันมาให้ความสนใจ และหาทางออกร่วมกันกับลูก เพื่อให้รู้จักการรับมือ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพจิตที่แจ่มใส

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :

สุดสะเทือนใจ! เด็กหญิงวัย 15 ถูกบูลลี่ ตัดสินใจจบชีวิต ทิ้งจดหมายระบายสาเหตุ

เด็กปั๊มบางจาก ไวรัลหล่อทะลุแมสก์ เจอบูลลี่ภาพถอดแมสก์ไม่ตรงปก!

นศ.ถูกบูลลี่ จนต้องลาออก เพราะกินยาต้าน HIV ก่อนเจอความจริงสุดช็อก!

ที่มา : 1, 2, 3

บทความโดย

Kanthamanee Phisitbannakorn