เรียกได้ว่ากลายเป็นไวรัล ที่หลายคนกำลังแชร์ต่อเป็นอย่างมาก เมื่อล่าสุดมีสาวรายหนึ่ง อัดคลิประบายความในใจ ตัดแม่ออกจากชีวิต เพราะแม่ไม่ใช่เซฟโซน เธอต้องโตมาด้วยความยากลำบาก เพราะแม่เอาแต่ทุบตี
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับ Rini Spencer ผู้ใช้งาน TikTok ท่านหนึ่ง ที่ได้โพสต์คลิประบายความในใจ ที่แสนอัดอั้น ทั้งในฐานะคนเป็นลูก และฐานะคนเป็นแม่ โดยเธอระบุว่าเธอตัดสินใจ ตัดแม่ออกจากชีวิต เพราะที่ผ่านมา เธอต้องเติบโตมาด้วยความยากลำบาก และล่าสุดสิ่งนั้น ก็กลับมาทำร้ายลูกของเธออีกครั้ง
Rini Spencer ระบุว่า “ตัวเองเลือกที่จะตัดคนเป็นแม่ออกจากชีวิต” ในอดีต ตัวเธอเองเติบโตมาด้วยการถูกทำร้ายร่างกาย และทำร้ายจิตใจ จากผู้เป็นแม่มาโดยตลอด ด้วยคำพูดที่ว่า ตัวเธอเองไม่ดีพอ, เธออ้วนเกินไป ซึ่งคำพวกนี้ทำให้เธอรู้สึกไร้ค่า นอกจากนี้แม่ยังโมโหร้าย และรุนแรงกับเธอเสมอ จนกระทั่งเธออายุ 17 ปี เธอตัดสินใจออกมาจากบ้าน และแทบไม่เคยติดต่อแม่อีกเลย
เวลาผ่านมาจนกระทั่ง เธอมามีครอบครัวของตัวเอง เธอมีลูกสองคน และสิ่งที่เธอถูกกระทำจากแม่ในตอนเด็ก กำลังกลับมาทำร้ายเธอ และส่งผลร้ายต่อเธอมาก ทำให้เธอต้องดูแลตัวเอง ในด้านสุขภาพใจ เพราะถึงขั้นที่เธอต้องไปเข้าคอร์สทางด้านสุขภาพจิตด้วย
หลังจากนั้นเมื่อสัก 3 ปีก่อนหน้านี้ เธอเพิ่งย้ายกลับมาอเมริกาได้ไม่นาน และได้รับการติดต่อจากผู้เป็นแม่ ของเธออีกครั้ง คาดว่าคงมีใครสักคน ให้เบอร์ใหม่ของเธอกับแม่ไป โดยแม่ของเธอระบุว่า ที่ติดต่อมาตอนนี้ เพราะว่าอยากเจอหลาย อยากต่อความสัมพันธ์ที่ขาดไป
โดยการติดต่อครั้งนี้ แม่ของเธอบอกว่า เธอเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้เป็นแบบในอดีต อยากขอโอกาสอีกสักครั้ง ซึ่งในช่วงที่ติดต่อมา สามีของ Rini เพิ่งจะเสียคุณปู่ไป เป็นช่วงเวลาที่ทั้งคู่อ่อนแอมาก ต้องการคนปลอบประโลม โดย Rini ยอมรับว่า ตอนที่แม่ของเธอปกติ เธอปลอบคนเก่ง อีกทั้งตัวเธอก็คิดและหวังว่า แม่ของเธอจะเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ เพราะลึก ๆ ในใจของเธอ ก็ต้องการครอบครัว ที่รักใคร่กลมเกลียวกัน
Rini เปิดเผยว่า การตัดสินใจคุยกับแม่ในครั้งนั้น เป็นการตัดสินใจอย่างผิดพลาดเป็นอย่างมาก ตอนนั้นในใจเธอก็คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ในใจเธอคิดว่ามันต้องไม่โอเคแน่นอน และมันก็เป็นอย่างที่เธอคิดจริง ๆ เมื่อเธอพาลูกของเธอมาเจอคุณยาย ยายก็เริ่มพูดกับหลานสาว ที่ตอนนั้นอายุ 2 ขวบ ว่า แม่ของเธอ หรือ Rini เป็นคนไม่ดี เป็นคนทำร้ายร่างกาย สร้างเรื่องให้หลานเข้าใจแบบนั้น ก่อนที่คุณยายจะเริ่มส่งข้อความหาคนอื่นในครอบครัว เพื่อน ๆ เพื่อบอกเรื่องที่สร้างขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไป Rini ที่ได้รับข้อความดังกล่าว หลังจากที่เธอรู้เรื่องที่เกิดขึ้น เธอขู่ด้วยการจะไปแจ้ง CPS (โซเชียลของที่อเมริกา) พอไปถามก็ได้คำโกหก จนทำให้เธอสติแตกมากขึ้น หลังจากนั้น Rini จึงต้องปกป้องตัวเอง ด้วยการหาหลักฐาน ด้วยการอัดคลิปวิดีโอสิ่งที่แม่ทำ เผื่อในอนาคตเกิดเรื่องขึ้นอีก
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เธอสติแตก ก็คือภาพที่เหมือนยายกำลังกอดหลาน แต่ความจริงแล้ว ลูกสาวของเธอไม่ต้องการให้กอด หรือหอมแต่อย่างใด ลูกสาวของเธอได้ปฏิเสธจนร้องไห้ แต่ยายไม่ยอม ก็ยังดึงหลานไปกอดจนได้ เหมือนกับเป็นการควบคุมกลาย ๆ
หลังจากนั้นแม่ของเธอ หันมาพูดกับเธอว่า “เด็กควรที่จะต้องชิน ที่ยายทำแบบนี้ด้วยสิ” พอหลานไม่ยอมเข้าเรื่อย ๆ คุณยายก็ระเบิดอารมณ์ สติแตก เอาของที่ซื้อมาในราคา 300 ดอลลาร์ ไปโยนทิ้งหน้าบ้าน ทั้งที่ตั้งใจซื้อมาให้หลาน พร้อมทั้งไล่เธอกับลูกสาวออกมาจากบ้านทันที เธอบอกว่า “นี่แหละคือสิ่งที่คนที่ชอบทำร้ายคนอื่นมักจะทำ” เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ลูกสาวของเธอรู้สึกแย่ และฝังใจมาก ๆ เธอเลยตัดสินใจว่าพอกันที เธอจะไม่มีวันกลับไปจุดเดิมแบบนั้นอีกต่อไป
(รับชมวิดีโอเพิ่มเติม คลิก)
ซึ่งหลังจากเธอเล่าเรื่องนี้ ผ่านทางโซเชียลมีเดีย มีทั้งคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจ พร้อมทั้งตั้งคำถามว่า “ทำไมถึงเอาแม่มาแฉแบบนี้ ไม่รู้จักให้อภัยบ้างหรือ” เธออธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า ตัวเธอเองห่วงลูกที่สุด ไม่อยากให้ลูกแค่ได้ชื่อว่ามียาย แต่ต้องมาเจออะไรแบบเธอ เธอเอาออกไปเลยดีกว่า และรอจนวันนึงที่ลูกเธอสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว อาจจะให้เค้ารู้จักกับยายตัวเองอีกครั้ง สาเหตุที่เธอเลือกแบบนี้ เพราะเธออยากให้ลูกรู้ว่า ไม่มีใครสมควรถูกทำร้ายหรือถูกกระทำ ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นสมาชิกในครอบครัวหรือไม่ก็ตาม
ในทางเดียวกัน มีคนที่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ที่โดนกระทำจากครอบครัว เติบโตมาอย่างที่ถูกทำให้ไร้ค่าตลอดมา ซึ่งมันยังส่งผลมาจนทุกวันนี้ หลายคนเลือกจะตัดพ่อแม่ออกจากชีวิต เพราะสร้างความเจ็บปวดให้เค้ามหาศาล ทุกคนที่จะมีแม่เมื่อพร้อมได้นะ ไม่ใช่แม่ทุกคนที่จะรักลูก หลายครั้งที่เราได้ฟังเรื่องน่าสงสารผ่านสื่อ ก็น่าจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า หลายครั้งครอบครัวก็ไม่ใช่เซฟโซนเสมอไป
หากเรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ของคนไทย อาจจะมีการถูกตราหน้าว่าเป็นลูกอกตัญญู คนบาปอะไรแบบนั้นก็ได้ เพราะเรื่องของคุณ Rini ฟังแล้วได้ประโยชน์จริง ๆ เรื่องการกอดหอมโดยที่เด็กไม่ต้องการ มันคือเรื่องใหญ่เลยนะ ไม่ใช่ว่าเป็นคนในครอบครัว จะแตะเนื้อต้องตัวเด็กได้ตามใจ หากเด็กไม่ต้องการก็ได้ เด็กก็สมควรได้รับความเคารพเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง : เตรียมอุปกรณ์ก่อนพาลูกออกนอกบ้าน ขั้นตอนง่าย ๆ ที่แม่ลูกอ่อนต้องรู้ !
ไม่ “กอด-หอม” ลูกคนอื่น เด็กเล็กเสี่ยงติดเชื้อง่าย
รณรงค์การไม่กอดหอมลูกคนอื่น เพราะผู้ใหญ่คือตัวนำพาเชื้อโรคมาให้เด็กอยู่เสมอ เพราะผู้ใหญ่ภูมิคุ้มกันดีกว่า สัมผัสเชื้ออาจไม่มีอาการ แต่พอส่งต่อมาให้เด็กสัมผัสเชื้อบางทีก็เรื่องใหญ่ เรื่องนี้สามารถอ้างอิงได้จาก เด็กเล็กบางคนที่ไม่เคยออกจากบ้าน แต่เมื่อออกไปในครั้งแรก กลับติดเชื้อ RSV ได้
ทั้งนี้ในการที่ครอบครัว จะพาลูกออกจากบ้าน พ่อแม่ควรต้องรับรู้ความเสี่ยงจากการที่ บุคคลอื่นจะสัมผัสลูกเราในระดับที่เยอะมาก มีโอกาสที่จะต้องสัมผัสคนป่วยหรือเชื้อโรคในระดับหนึ่ง พ่อแม่ต้องชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย ก่อนจะพาลูกออกจากบ้าน
นอกจากนี้ตามสถิติมีการระบุว่า ” มีเด็กป่วย และตายจากการกอดหอมมาไม่น้อยแล้ว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ไข้หวัดใหญ่ยังระบาด RSV ยังมาเรื่อย ๆ มือเท้าปากเพิ่งเริ่มซาลงไป” ดังนั้นการที่ทุกคน ควรจะพึงระลึกว่า “ไม่ใช่ญาติ อย่าไปกอด หอมลูกใครดีที่สุด แม้จะเป็นญาติก็ควรล้างมือ ก่อนสัมผัสเด็กอยู่ดี เพราะนั่นคือความปลอดภัยที่เราหยิบยื่นให้เด็กได้”
5 โรคติดเชื้อรุนแรง ที่มาจากการหอมแก้มเด็ก
- RSV : โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะในเด็กเล็ก
- 4S Staphylococcal scalded skin syndrome (SSSS) : โรคติดเชื้อทางผิวหนัง โดยเฉพาะเด็กทารกแรกเกิดหรือเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ
- เริม : โรคติดเชื้อจากเชื้อไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์
- หัด : โรคหัดเป็นไข้ออกผื่นพบได้บ่อยในเด็กอายุ 1-6 ขวบ
- อีสุกอีใส : โรคติดต่อโดยการหายใจ ไอ จามรดกัน หอมแก้ม
เพราะนอกจากการติดต่อของโรคภัยแล้ว ลูกอาจจะรู้สึกไม่ดี เพียงแต่ยังสื่อสารไม่เก่งก็ได้ เพื่อความสบายใจทั้งของเด็ก ครอบครัว และการไม่รู้สึกแย่ทีหลัง การงดการสัมผัสเด็ก จึงเป็นเรื่องที่หลายคน ควรพึงระวังมากที่สุดค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
โรคติดต่อ RSV เด็กไทยป่วยเพิ่มขึ้น ป่วยซ้ำเกือบทุกปี ควรป้องกันอย่างไร ?
โรค RSV และ โรคมือเท้าปากในเด็ก โรคติดต่อที่ต้องระวังในช่วงปลายฝนต้นหนาว
โรคติดต่อที่คุณพ่อคุณแม่ต้องระวัง 100 เรื่องพ่อแม่ต้องรู้ก่อนลูก 1 ขวบ
ที่มา : facebook, tiktok
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!