เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ผู้ใช้เฟชบุ๊ค Ruktai Ace Prurapark โดย ดร.รักไทย บูรพ์ภาค อนุกรรมการประจำคณะกรรมาธิการการพลังงาน และอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศีนครินทรวิโรฒ ได้ออกมาเคลียร์ปมการบริจาควัคซีน Pfizer จำนวน 1.5 ล้านโดส ที่ทางสหรัฐอเมริกาได้บริจาคมาให้กับประเทศไทยว่า อเมริกายืนยันบริจาค Pfizer จุดประสงค์หลัก เพื่อต้องการมอบให้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ก่อนเป็นลำดับแรก
ซึ่ง ดร.รักไทย ยังได้กล่าวว่า อเมริกายืนยันบริจาค Pfizer นั้น มีข้อกำหนดชัดเจนเพื่อการบริจาค โดยเนื้อหาใจความได้กล่าวว่า “เข้าใจความกังวลของทุกคนเลยนะครับผม เมื่อกี้เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จกับทีมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (Members of the U.S. Congress) ของสหรัฐอเมริกาเรียบร้อยแล้วนะครับผม โควตา Pfizer 1.5 ล้านโดสที่บริจาคนี้นั้น ทาง Members of the U.S. Congress/White House จะระบุวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค คือ สหรัฐอเมริกาประสงค์จะให้กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ก่อนนะครับผม วัตถุประสงค์จะได้ชัดเจนครับ แล้วเดี๋ยวถ้ามีเอกสารไหนเปิดเผยได้ ผมจะนำมาถ่ายให้ดูนะครับผม ขอขอบคุณกลุ่มคนไทยในสหรัฐอเมริกาที่ช่วยประสานให้ด้วยนะครับ นี่แหละครับ คนไทยไม่ทิ้งกันครับผม ซึ้งใจน้ำใจคนไทยทุกคนเลยครับ”
ในขณะที่หลายฝ่ายยังคงถกเถียงกัน ถึงกลุ่มผู้ที่จะได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์นี้ โดยประชาชนหลายคนต่างลงความเห็นว่า ควรจะนำมาฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เป็นวัคซีน Booster เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันที่มีประสิทธิภาพ ให้กับผู้ที่ต้องทำหน้าที่ในการดูแล และรักษาผู้ป่วยก่อนเป็นอันดับแรก จนเกิดแฮสแท็ก #ฉีดPfizerให้บุคลากรการแพทย์
เนื่องจากมีการประชุมเรื่องผู้ที่จะได้รับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ล็อตดังกล่าว พบว่ามีหนึ่งในความเห็นจากที่ประชุม ได้มีการคัดค้านการฉีดให้ด่านหน้า หรือบุคลากรทางการแพทย์ โดยระบุว่า “ในขณะนี้ ถ้าเอามาฉีดกลุ่ม 3 แสดงว่าเรายอมรับว่า Sinovac ไม่มีผลในการป้องกัน แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น”
ต่อมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมายืนยัน ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารจริง แต่ยังไม่มีการนำมาปฏิบัติ จึงยังไม่มีผล ซึ่งยังคงต้องมีขั้นตอนการพิจารณาอีกหลายขั้นตอน
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ : วัคซีนโควิด ChulaCov19 เทียบชั้น ไฟเซอร์ โมเดอร์น่า ฝีมือของคนไทย
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของความเห็นดังกล่าว ไม่ได้ถูกระบุเปิดตัวตน ว่าเป็นการแสดงความคิดเห็นของใครในที่ประชุม โดย หนุ่ม กรรชัย ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ เที่ยงวันทันเหตุการณ์ ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า
“เรื่องดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องทางความคิดของคนคนนั้น หลายคนสงสัย ทั้งประชาชน สังคม รวมถึงพี่น้องบุคลากรทางการแพทย์ ก็สงสัย หลายคนถามว่า คิดได้อย่างไร เพราะทุกคนต้องฝากชีวติไว้กับบุคลากรทางการแพทย์ ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา คนข้างหลังจะยิ่งลำบาก หมอตาย เราก็ตาย“
ซึ่งรายงานการประชุมเฉพาะกิจวัคซีนโควิด-19 โดยสรุปนั้น มีการเสนอแนวทางที่จะฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่มคือ
- บุคคลอายุ 12 ปี – ต่ำกว่า 18 ปี
- กลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่ได้รับวัคซีน เช่นผู้สูงอายุ โรคเรื้อรัง และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์
- บุคลากรด่านหน้า กระตุ้นภูมิคุ้มกันเข็มที่ 3
ขอขอบคุณภาพข่าว จากไทยรัฐออนไลน์
ซึ่งเราหวังว่า บุคลากรทางการแพทย์ จะได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และเป็นกำลังสำคัญในการรักษา และดูแลผู้ป่วย ทั้งจากโรคทั่วไป และจากโควิด-19
ที่มา : ruktai.prurapark , mgronline , เที่ยงวันทันเหตุการณ์
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
รวมราคาวัคซีนโควิด-19 และเทียบประสิทธิภาพ ต่างกันอย่างไร?
แม่ท้องอยากรู้ ฉีดวัคซีนโควิดตอนท้อง มีข้อห้ามและข้อระวังอะไรบ้าง ?
สหรัฐฯ วางแผน แบ่งวัคซีนโควิด โดยมีไทยเป็นหนึ่งในนั้น
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!